ศูนย์เรียนรู้ชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงบ้านปลักไม้ลาย
( นาย สุธรรม จันท์อ่อน )
ประวัติส่วนตัว
นาย สุธรรม จันทร์อ่อน อายุ 57 ปี
เลขประจำตัวประชาชน 3-7302-00007-88-1
อาชีพ เกษตรกรรม ( แบบอินทรีย์ ) ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 54 หมู่ 10 ตำบลทุ่งขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม 73000
เบอร์โทรศัพท์ 081-3845253
การศึกษา
สถานะภาพครอบครัว
สมรสกับนาง ประยงค์ จันทร์อ่อน มีบุตร-ธิดา จำนวน 3 คน ชาย 2 คน หญิง 1 คน
ด้านสังคม
หลักคิดในการประกอบอาชีพการเกษตร
จากการที่ได้น้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ ในการประกอบอาชีพด้านการเกษตร คือดำเนินชีวิตแบบพอเพียง พอประมาณ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ จนเป็นที่ยอมรับจากญาติพี่น้อง บุคคลทั่วไปและคนในชุมชน ได้นำเป็นแบบอย่างในการทำงาน มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์และนำความรู้ที่ได้นำไปปรับให้เกิดประโยชน์กับพื้นที่ของตนเอง
ประวัติความเป็นมาศูนย์เรียนรู้ชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงบ้านปลักไม้ลาย
จุดเริ่มต้นจากการที่มีปัญหาในชุมชน ปัญหาครอบครัวและปัญหาหนี้สิน ส่วนใหญ่ในชุมชนและในครอบครัวมีภาระหนี้สินจากการทำเกษตรในระยะยาวและโอกาสที่จะใช้หนี้สินหลุดยาก เพราะว่าชุมชนมีพื้นที่ดินเสื่อมโทรมปลูกอะไรก็ได้ผลผลิตน้อยลง แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้นจึงเกิดเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตอย่างไปไม่รอด จึงได้กลับมาคิดหรือวิเคราะห์ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ปัญหาอยู่ตรงไหน ก็ปรากฏว่าปัญหาอยู่ที่เราทำเกษตรแบบผิดวิธีและแนวความคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแบบที่เราเข้าใจเราเข้าใจแค่ผิวเผิน พอนำมาปฏิบัติจริงปรากฏว่าไม่ได้ผล แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่เราเข้าใจ คือ กินน้อยใช้น้อยแบบพอมีพอกินทำแค่พอมีพอกิน ก็เลยคิดว่าการอยู่แบบพอมีพอกิน คือ เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจริงๆแล้วคือไม่ใช่ในความเป็นจริง แม้แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ไม่ได้ทำแบบพอมีพอกิน กินน้อยๆใช้น้อยๆซึ่งจริงแล้วก็ไม่ใช่ แต่ท่านทำเป็นระบบแบบกึ่งธุรกิจหรือเรียกว่าธุรกิจก็ได้
ในแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจึง หมายถึง การทำเกษตรที่คิดถึงต้นทุน คิดถึงกำไร พอไปเห็นที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำที่สวนจิตรลดา ทำให้เริ่มเข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงที่เข้าใจคือการเข้าใจแค่ผิวเผินถ้าปฏิบัติแบบที่เข้าใจไปไม่รอดแน่ การปฏิบัติแบบกินน้อยๆใช้น้อยๆ ออมก็ออมแล้ว อดก็อดแล้ว ปลูกทุกอย่างที่กินก็แล้วจริงๆแล้วไม่ใช้ การปฏิบัติแบบนี้คือการปฏิบัติแบบตัวคนเดียวถ้าเป็นครอบครัวต้องเปลี่ยนแนวคิด คำว่า เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ คำว่า เศรษฐศาสตร์ + กิจกรรม + พอเพียง คือการคำนึงถึงการบริโภค ความต้องการของผู้บริโภค คำนึงถึงสามารถในการผลิต เท่ากับคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง เมื่อเข้าใจคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง จึงกลับมาเริ่มทำใหม่และประสบความสำเร็จมีกินมีใช้มีเงินเหลือใช้หนี้ได้หนี้สินเริ่มหมดจึงเป็นที่มาของการรวมกลุ่มคน มีความเข้าใจว่าการทำแนวนี้ช่วยปลดหนี้ได้สามารถมีเงินเหลือก็เลยมีคนมาเรียนรู้ ซึ่งตอนนั้นเขาเรียกกันว่า “ โรงเรียนเกษตรกร ” ซึ่งก่อตั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2538-2539 ได้ทำมานานประมาณเกือบ 10 ปี แล้วต่อมาปี พ.ศ.2549 ได้เปลี่ยนมาเป็นศูนย์การเรียนรู้ เนื่องจากว่าวันที่เปลี่ยนจากโรงเรียนเกษตรกรมาเป็นศูนย์การเรียนรู้ ปัญหาก็คือเกษตรกรที่เข้ามาเรียนรู้มีจำนวนเยอะและต่อเนื่องทุกวัน จึงทำให้ไม่มีเวลาในการปฏิบัติกันในแปลง เวลาที่ทำการเกษตรน้อยลงเลยจัดทำให้มีการอบรมเป็นคอร์ด ก็เลยเป็นที่มาของศูนย์การเรียนรู้ ใครที่ต้องการเรียนรู้ต้องสมัครเรียนรู้เป็นคอร์ดๆเนื่องจากว่าทางศูนย์การเรียนรู้ไม่มีงบประมาณสนับสนุนจึงมีการจัดเรียนกันเพียงแค่ครึ่งวันใช้เวลาในการอบรม 7 วันจึงจะจบคอร์ด จากนั้นต่อมาปี พ.ศ.2550 ได้มีงบประมาณจากกระทรวงเกษตรก็เลยเปลี่ยนมาเป็นอบรมคอร์ดละ 4 วันเพราะสามารถอบรมเต็มวันได้
ศูนย์การเรียนรู้นี้จะมีวิทยากรเป็นคนในชุมชนที่มาเรียนรู้แล้วไปปฏิบัติประสบความสำเร็จจริง จึงได้กลับมาเผยแพร่และส่งต่อความรู้ให้กับผู้ที่สนใจ แต่ละคนมีความรู้ไม่เหมือนกันบางคนมีความรู้เรื่องดินก็มาเป็นวิทยากรเรื่องดิน บางคนมีความรู้เรื่องพืช ผักและผลไม้ก็มาเป็นวิทยากรด้านพืช ผักและผลไม้และบางคนรู้เรื่องน้ำหมักปุ๋ยหมักก็มาเป็นวิทยากรในเรื่องน้ำหมักปุ๋ยหมัก ปัจจุบันศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้มีการทำนา การเลี้ยงไก่และเลี้ยงหมูแบบที่ไม่ใช้สารเคมีไม่ใช้อาหารจากตลาด ปุ๋ยหมัก น้ำหมัก ปลูกผักหลายๆชนิดในแปลงเดียวโดยการหว่านเมล็ดปนกัน นอกจากนี้ยังเลี้ยงแพะ เลี้ยงปลาและเลี้ยงกุ้ง เป็นต้น
พื้นที่
มีพื้นที่ทั้งหมด 17 ไร่ แบ่งเป็นบ่อเลี้ยงปลา แปลงหญ้า ประมาณ 10 ไร่ ส่วนอีก 7 ไร่ นั้นเป็นที่ปลูกบ้านที่พักอาศัยและปลูกหน่อไม้ฝรั่ง พริก มะเขือ กล้วยน้ำว้า ไผ่ ไว้รอบๆบริเวณ
ไม่มีความเห็น