812. เศรษฐี 4.0


Mental Model

วันก่อนดูหนังเรื่อง The Passenger เช่นเคยครับถ้าเป็นหนังอวกาศ ผมไม่พลาดอยู่แล้ว แถมขึ้นชื่อว่าเป็นหนังอวกาศ ที่มียานอวกาศสวยที่สุดที่เคยเห็นมา เรื่องนี้พูดถึงเรื่องอนาคตที่มีธุรกิจอย่างหนึ่ง คือการส่งคนไปตั้งรกรากบนดาวดวงใหม่ เพราะโลกแย่มากๆ แล้ว ดาวใหม่ ให้โอกาสที่ดีกว่า เพราะทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ แต่ดาวนี้ใช้เวลาเดินทาง 120 ปี เวลาเดินทางต้องแช่แข็งคนเดินทาง แล้วไปตื่นอีก 120 ปีข้างหน้า ว่ากันว่าการเดินทางด้วยวิธีนี้ มีการเดินทางไปหลายลำแล้ว ตัดมาถึงเหตุการณ์ที่ยานลำหนึ่ง กำลังเดินทางปรากฏ ว่ยานเจออุกาบาตพุ่งชน เกิดเหตุการณ์ผิดปรกติ ทำให้ผู้โดยสานหนึ่งในสองพันกว่าคนตื่นขึ้น หลังยานเดินทางไปเพียง 30 ปี

...ยุ่งแล้ว เหลือกว่า 90 ปีถึงจะถึงดาวดวงใหม่ ชายคนนี้พยายามกลับไปนอนแช่แข็ง แต่ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ เลยจำยอมใช้เวลาอยู่คนเดียวบนยานที่มีความสะดวกมากมายเหมือนโรงแรมชั้นหนึ่งไปปีกว่า ภายหลังเหงามากทนไม่ไหว เลยตัดสินใจปลุกผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาเป็นเพื่อน โดยบอกผู้หญิงว่าเป็นอุบัติเหตุ ทั้งสองใช้ชีวิตด้วยกันจนรักกัน ที่สุดผู้หญิงรู้ความจริงเลยโกรธ ตัดสัมพันธ์ผู้ชายไป เหตุการณ์ในยานเริ่มแย่ลง เพราะระบบเริ่มล้มเหลวไปเรื่อย ที่สุดพระเอกช่วยกู้ยานจนกลับมาเหมือนเดิม และก็ค้นพบวิธีการที่จะทำให้นางเอกแช่แข็งไปอีก 90 ปี ... แต่ต้องไปคนเดียว เขาจะอยู่จนตายไปในยาน



Moment นี้ครับที่ตัดสินทุกอย่าง นางเอกจะหลับเพื่อตื่นมาใช้ชีวิตอย่างที่ฝัน ... เพราะนางเอกที่เป็นนักเขียนฝันว่าจะนอไปตื่นที่อีกดาว จากนั้นจะใช้ชีวิตในดาวใหม่ 1 ปี แล้วเดินทางกลับมาโลก โดยจะกลับมาเขียนประสบการณ์การเดินทาง และการใช้ชีวิตโลกใหม่ แล้วทำหนังสือขาย... คำถามคือเธอจะเข้าไปในแคปซูลแช่แข็งเหมือนเดิมคืออยู่เพื่ออนาคต หรือจะเลือกที่จะอยู่กับพระเอก คืออยู่กับปัจจุบัน แล้วตายในยาน

เรื่องนี้ผมไม่อยาก Spoil ไปดูกันนะครับ

เรื่องนี้ดูไปจะเห็นเป็นหนังปรัชญาแล้วครับ ไม่ใช่หนังวิทยาศาสตร์ธรรมดา

เท่าที่ผมมองเรื่องนี้เป็นเรื่องของการ Reframe (การเปลี่ยนกรอบ) ครับ..มนุษย์เราจะมีกรอบความคิดของเรา นางเอกมีกรอบการคิดคือจะเดินทางไปกลับ เพื่อเก็บข้อมูลมาเขียนสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในอนาคต กรอบตัวนี้กำหนดทุกอย่างในชีวิต ชีวิตเธอเดินตามกรอบ ...แต่เมื่อเจอคนรัก และต้องตัดสินใจเลือก เธอต้องเปลี่ยนกรอบแล้ว กรอบที่หันมาอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด นี่คือกรอบใหม่ เธอจะเลือกอะไร ไม่ว่าเธอจะเลือกอะไร มันจะส่งผลต่อชีวิตของเธอที่เหลือ



กรอบความคิดแบบนี้ เราเรียกสั้นๆว่า Mental Model (เมนทัล โมเดล) ...หรือเรียกอีกชื่อว่ารูปแบบครอบคิด Mental Model หรือจะเรียกว่า “กรอบความคิด” ก็ได้ เป็นวิธีการที่มนุษย์คนหนึ่งๆ มองโลกรอบตัว Mental Model ... มีผลต่อการกระทำของคนๆหนึ่ง Mental Model ของมนุษย์ก็ประมาณว่า ถ้าทำแบบนี้จะได้อย่างนั้น เช่นคุณเห็นข้าวผัดกุ้ง ตอนคุณหิว.. Mental Model ของคุณในกรณีนี้คือ... ถ้าคุณกินข้างผัดกุ้ง คุณจะอิ่ม หายหิว... สังเกตไหมครับ ทำให้คุณใช้ชีวิตได้ง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรซับซ้อน แต่ละวันคนเราจะใช้ Mental Model จำนวนมหาศาล เพื่อทำให้เราตัดสินใจได้ง่าย ...

แต่อะไรที่มีคุณก็ย่อมมีโทษ .. Mental Model ทำให้เราทำอะไรตามความเคยชิน ..เช่นตอนใช้ GPS กันใหม่ๆ Mental Model ของเราจะบอกว่า เชื่อ GPS เลย..ขับตามไปถึงเอง..ใช่ครับ รายนี้เป็นคนแคนาดา.. Mental Model ทำพิษ ขับตามไปปรากฏว่าหมอกจัด มองไม่ค่อยเห็น GPS พาลงแม่น้ำ (เป็นถนนที่สร้างไว้เป็นทางลาด เพื่อนำเรือลงแม่น้ำ) นี่ก็เกือบตาย...


Mental Model มีผลต่อความรุ่งเรืองและล่มสลายของธุรกิจ...จำ Blackburry ได้ไหมครับ 10 ปีก่อน ใครไม่มีนี่เชยเลย.. Blackburry ถูกออกแบบมาด้วย Mental Model ที่ว่า ..มือถือต้องอยู่ได้นานๆ ไม่ดับง่ายๆ สองวันขึ้น ...เพราะนักธุรกิจต้องเดินทาง.. App ต้องไม่มีอะไรมาก Graphic มากไม่ได้ เดวถ่านหมดเร็ว ...Mental Model ทำให้ Blackburry โตเอา โตเอาครับ กลายเป็นบริษัทที่ทรงพลัง มีอำนาจมากที่สุดในโลก เทคโนโลย เงินทุน คนมีไม่จำกัด... ต่อมา Apple ทำ Iphone ออกมา Graphic เพียบ ...คนที่ Blackburry บอกว่า..ตลกแล้ว อย่างนี้แบตหมดไว ไปไม่รอดหรอก... สตีฟ จ๊อปบอกมาเกรียนๆ แบบง่ายๆว่า.. ถ้าแบตหมดก็ไปชาร์ตที่ Starbucks สิ...ฮา... นี่ครับ Mental Model ...เห็นชัดๆ ว่าใครไปใครอยู่ ตอนนี้คุณไม่เห็นใครใช้ Blackburry เลย

Mental Model เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก มีทั้งคุณทั้งโทษ กำหนดชะตากรรมในชีวิตของคนและองค์กรได้เลย..

พูดง่ายๆ ในชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง และองค์กรหนึ่งๆ การทบทวน Mental Model ของตนเองต้องทำอย่างต่อเนื่องๆ ไม่งั๊นอาจถึงขั้นตกหล่ม หรือประสบความหายนะได้เลย

ย้อนกลับมาที่หนังเรื่อง Passenger หนังเรื่องนี้นางเอกมี Mental Model (กรอบ) ..ที่ในที่สุดต้องตัดสินว่าจะทำอย่างไร จะยึดตามนั้น หรือ Reframe (เปลี่ยนกรอบใหม่)... เพราะกำหนดความสุข ทุกข์ในชีวิตได้หมดเลย ... มันมีห้วงขณะที่เราต้องตัดสินว่าจะอยู่ในกรอบเดิม หรือเปลี่ยนกรอบใหม่

เนื่องจากเป็นเรื่องความรัก เลยขอวิเคราะห์ต่อ จำกรณีความรักของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่กับคนสนิทสาว ที่ประกาศให้ใช้นามสกุลของตนเอง ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นภรรยาหลวงได้ไหมครับ ในงานเปิดตัวที่เผยแพร่ทาง Youtube เป็นงานวันเกิด มีการเปิดตัวคนสนิทที่ได้รับอนุญาตให้ใช้นามสกุลตำรวจท่านนั้น ..โดยในวันงานมีข้าราชการ นักการเมืองและผู้ใหญ่ดังๆ ในสังคมไปยืนตบมือให้เกียรติเจ้าภาพในงาน ...

เริ่มมีคำถามตามมาว่า... กรณีนี้ครูจะสอนลูกศิษย์อย่างไร ...

ได้ครับ ..ผมว่านี่คือ Mental Model (กรอบ) อะไรบางอย่างที่ต้องการการปรับกรอบใหม่ (Reframing) แล้ว

ปรับอย่างไร

สำหรับคู่รักที่เป็นข่าว ผมไม่อยากเขียนถึง เพราะไม่ควรค่าอะไร ผมไม่อยากตัดสิน ...กรรมเป็นของท่านเอง..มันจะตามไปไล่ล่าท่านเอง..ไม่เป็นภาระอะไรกับผม

แต่อีกเรื่องที่ผมเห็นคนใหญ่คนโตไปปรบมือในงานไปร่วมงานกับคนที่เชื่อว่ามีนิสัยประหลาดๆ ผิดศีลมาตลอดแบบนี้สิ ที่ผมอยากพูด... น่ายกย่องมากเหรอครับ....น่าคบหา..ทำไมผมไม่เห็นคนเดินกลับระหว่างมีการแถลง หรือการกระโดดกอดกันของคู่รัก...ทำไมเห็นคนสำคัญของบ้านเมืองปรบมือ

ประมาณว่าเศรษฐีทำอะไรก็น่ารักเสมอ ไม่ผิด

คนรู้กฏหมาย คือคนที่สามารถใช้กฏหมายมาสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองได้ ไม่ต้องแคร์ว่าจะสร้างความฉิบหายทางจิตใจให้ใคร

ยิ่งรวยเป็นเศรษฐี แถมเป็นนักกฏหมาย ยิ่งน่ารัะก น่าปรบมือให้?

ประหลาดไปไหม..กำลังทำอะไรกันครับ

ตอนแรกไม่รู้จะอธิบายด้วยอะไร เพราะหนักอึ้งจริงๆ บังเอิญผมไปดูเทศนาของท่านว. วัชรเมธี ที่ท่านไปเทศน์ให้บุคลากรและนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ให้ฟัง เรื่องสอนวาณิชให้เป็นเศรษฐี ผมเลยพอจะอธิบายอะไรบางอย่างได้ ว่าอ้อ...มันเป็นเรื่องของกรอบความคิด

แนะนำครับ ควรดูเป็นอะไรที่โดนมากๆ

หลังดู Clip ท่าน ท่านว.ทำให้ผมเห็นกรอบความคิดบางอย่างดังนี้

ท่านว. บอกว่า “วาณิช หมายถึง คนที่มีเงินมาก คนที่ร่ำรวย คนที่มั่งคั่ง คนที่ถือครองทรัพยากรเงินเป็นจำ นวนมาก นี่คือ “วาณิช” แต่ถ้าวาณิชคนไหนรวยแล้วก็ให้ ได้แล้วก็แบ่งปัน วาณิชคนนั้นจะขยับฐานะขึ้นมาเป็นเศรษฐี แต่ในเมืองไทย นิยามคำ ว่า “เศรษฐี” ว่าหมายถึง คนรวย แต่แท้จริง ในทางพุทธศาสนา ท่านแยกกัน คนรวยธรรมดาๆ ถือครอง ทรัพยากรการเงินมากกว่าชาวบ้าน ท่านเรียกว่า “วาณิช”แต่วาณิชที่รวยแล้วก็ให้ ได้แล้วก็แบ่งปัน ท่านเรียกว่า “เศรษฐี” เพราะ “เศรษฐี แปลว่า ผู้ประเสริฐ” คนที่เป็นวาณิชก็สามารถ เป็นเศรษฐีได้ คนที่เป็นเศรษฐีก็สามารถเป็นวาณิชได้ ถ้ารู้จัก จับหัวใจที่ว่า “รวยแล้วให้ ได้แล้วแบ่งปัน”

ท่านยังยกตัวอย่างลงลึกเรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐี เทียบได้คือบิลล์ เกตต์แห่งยุคพุทธกาล .. ที่รวยแล้ว ปฏิบัติธรรม สร้างวัดให้พระพุทธเจ้า และเปิดโรงทานสี่มุมเมืองให้คนจน นี่ครับเศรษฐี ...

สรุปคือวาณิช คือคนหาเงินเก่ง...เศรษฐีคือคนที่ไปกว่า คือแบ่งปันด้วย เป็นคนดีด้วย...

คนเป็นวาณิชต้องยกระดับตัวเองไปเป็นเศรษฐีครับ

ตอนนี้สังคมไทยไม่รู้จักคำสองคำนี้แล้ว เราใช้คำว่าเศรษฐีมาเรียกคนรวยหมด โดย Mental Model บอกว่า พวกนี้คือคนดี.. จบกันครับ... เราจึงเห็นดาราหลงรักวาณิช ที่จริงๆ แล้วอาจเป็นเจ้าของกิจการกู้เงินนอกระบบ หรือแก๊งหมวกกันน๊อก... ตัวใครตัวมันครับ ระยะยาวไม่โสภาแน่... ดารากราบรถ นี่ก็มุ่งมั่นจะเป็นวาณิช ที่สุดไปงอตรงปลาย ไม่รักษาสติดีๆ ไม่ไปเป็นเศรษฐี ตอนนี้ไม่มีงานแล้ว

ผมถ้ามีการแยกให้ดีว่าใครเป็นวาณิช หรือเศรษฐี ผมว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์นี้ ที่คนเก่งๆ ไปตบมือให้คนแก่ที่ดูมีความเป็นวาณิชเท่านั้น คนเหล่านี้คงไปตบมือวันเกิดให้เศรษฐีตัวจริง

เช่นท่านนี้ครับ ...คุณตาคุณยายมอบที่ดินมูลค่านับร้อยล้านให้รพ.ปากเกล็ด โดยปัจจุบันยังใช้ชีวิตแบบชาวบ้านเหมือนเดิม... คงไม่เสียเวลาไปตบมือให้ผู้ใหญ่วาณิชท่านนั้น ... เพราะยังไม่ใช่คนประเสริฐ...คุณตาคุณยายต่างหากเป็นเศรษฐี เป็นผู้ประเสริฐ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองควรไปตบมือให้สองท่านนี้...

(ดูข่าวเต็มที่นี่ http://workpointtv.com/news/18223)

คุณหมอศาสตรจารย์นายแพทย์ทองอวบ อุตรวิเชียร พื้นฐานครอบครัวร่ำรวยมาก จบต่างประเทศ แต่ท่านกลับมาอุทิศตัวเป็นหมออยู่คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อยู่ตั้งแต่เป็นดินสีแดง เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่เจริญ ตอนนี้เติบโตจบบางศูนย์งานวิจัย เช่นศูนย์วิจัยพยาธิใบไม้ในตับ ก้าวขึ้นเป็นศูนย์วิจัยอันดับต้นๆ ของโลก ลูกชายท่านก็กลายมาเป็นอาจารย์หมอนายแพทย์เอกสิทธิ (เสียชีวิตไปแล้ว) ..ก็มาใช้ชีวิตเศรษฐีที่นี่ แทนที่จะเป็นวาณิชอยู่กรุงเทพ.. ไม่มีใครปฏิเสธว่าสองท่านนี้คือปูชนียะจริงๆ


(ดูประวัติท่านได้ที่นี่ http://www.hiclasssociety.com/hiclass/detailconten...)


ถ้าในระดับโลกตอนนี้ก็เห็นจะเป็นบิลล์ เกตต์ที่เปลี่ยนสถานะตัวเองจากวาณิชไปเป็นเศรษฐีเต็มตัว ทัรพย์สมบัติมหาศาสลตอนนี้ บิลล์ไปทุ่มเทแก้ปัญหาระดับโลกเช่นต้องการกำจัดมาเลเลียให้หมดไปจากโลก วอเร็น บัฟเฟ็ต คนที่รวยอันดับต้นๆ ของโลก ก็ประกาศยกมรดกเกินกว่า 90% ให้เป็นการกุศล ไปแล้ว ตอนนี้ก็บริจาคให้มูลนิธิของบิลล์ เกตต์เป็นจำนวนมหาศาล ... ร่วมอุดมการณ์กัน


หกเศรษฐีที่ผมพูดมานี่เป็น “ผู้ประเสริฐ” จริงๆ ต่างจากวาณิช และคู่รักอย่างกับฟ้าและเหว

สังคมเราต้องยกย่องคนประเสริฐครับ ไม่ใช่คนที่ยังเป็นลูกผีลูกคนอย่างวาณิช ..ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นแรงใจให้วาณิชกระดับตัวเองเป็นเศรษฐีให้ได้

ตอนนี้คุณคงมีกรอบใหม่แล้ว ใครเป็นวาณิช ใครเป็นเศรษฐี

สรุปแล้ว เลิกยกย่องซะทีครับ ไม่ต้องสนใจคู่รักวาณิชมากรัก แต่ถ้ามีโอกาส ก็ช่วยยกระดับท่านเป็นเศรษฐี เพราะกำลังทรัพย์ท่านมาก กำลังความรู้ก็มาก ถ้าเอาไปช่วยสังคม หรือโลกได้นี่ทรงพลังเลย ไม่งั๊นก็เป็นผีบ้า ฟุ้งซ่าน สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านไปวันๆ หรือไม่ก็ทำลายสังคมในระยะยาว

ดูก็ได้มันเกี่ยวไหม ...ผมลองนึกถึงชื่อวาณิชในเมืองไทย ไม่ยากครับ เพียบ แต่พอถึงเศรษฐีแทบนึกไม่ออก น่ากลัวไม่ครับว่าเกิดอะไรขึ้น

มีครั้งหนึ่งฟังลูกศิษย์บ่นเกี่ยวกับจังหวัดของตนเอง ที่คนรวย คนมีความสามารถเพียบ จำนวนมากมีการศึกษาสูง จนป.โท ป.เอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่แปลกครับเมื่อปีก่อน มีการบ่นว่าเมืองเขาจะแย่แล้ว เพราะน้ำจะหมดเขื่อน...เป็นไปได้ไงครับ เมืองมีคน Genious ล้นฟ้า มีคนรวย มีความรู้เต็มเมือง แถมมีอิทธิพลต่อการเมืองด้วย แต่ปล่อยให้เมืองตัวเองไม่มีน้ำ ...ฤาว่าเมืองนี้มีแต่วาณิช ที่สนใจแต่ความอยู่รอดของตัวเอง และลูกหลาน มากล้นเมือง แต่หาเศรษฐีที่มีแนวคิดและทำแบบบิลล์ เกตต์ไม่ค่อยได้ ไม่ต้องแปลกใจครับ ด้วยคำว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา ที่สุดป่าหมด ไม่ค่อยมีใครใช้อิทธิพลความร่ำรวย สติปัญญามา มาสร้างเมืองให้ยั่งยืนอย่างจริงจัง บ้าไหมครับ... และไม่ค่อยมีใครพูดด้วย มีแต่จะเป็น Hub ของ Logistics... Hub ของการรักษาพยาบาล.... แต่สักพักไม่มีน้ำ ..อยู่ได้ไหมครับ .ไม่มีทาง

นี่คือเรื่องของ Mental Model อย่าปล่อยให้กรอบความคิด มาทำลายอนาคตเราเอง เราต้องหมั่นตรวจสอบ ปรับเปลี่ยนเสมอ

คราวนี้เราจะตรวจสอบ Mental Model และปรับเปลี่ยน Reflrame อย่างไร มีหลายวิธีครับ เช่น

  1. ค้นหานิยามที่แท้จริง (Definition) จากแหล่งข้อมูลที่นับถือ ทางผมก็หันไปดูพระที่ผมเคารพ ครูที่ผมนับถือ หลายเรื่องท่านพูดไว้ เช่นกรณีท่านว. คุณจะเห็นเลย พอท่านดึงนิยาม และเรื่องเล่าในพระไตรปิฏกมาบอก..ชัดครับ คุณเห็น Mental Model คุณทันที อะไรไม่ชัดก็ชัดขึ้น มันจะเกิดการปรับเปลี่ยน Reframe ..เห็นได้ชัดว่าคุณจะมองโลกเปลี่ยนไป... ผมแนะนำครับคนที่จะช่วยปรับเปลี่ยน Mental Model ได้ที่ผมเห็นยุคนี้ได้แก่ท่านป.ปยุตโต หลวงพ่อกล้วย ท่านว. วชิรเมธี อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ ในทางวิชาการฝั่งบริหารได้แก้ Peter Drucker, Peter Senge เป็นต้น ถ้าคุณสงสัยว่ามีอะไรแปลกๆ ลอง Search หาคำสอน หรือไม่ก็ลองไปฟังจริงๆ ท่านจะเห็น Mental Model ท่านเอง แล้วปรับเปลี่ยนมุมมองที่ไม่เข้าท่าในชีวิตได้เลย การกระทำ และชะตาชีวิตเปลี่ยนแน่นอน สมัยนี้อาจเริ่มที่ WIKI ก็ได้ แต่ตามไปดู Reference มันจะ Link ไปถึงต้นฉบับ คุณตามไปอ่านต้นฉบับเลย จะดีมากๆ
  2. ลองทำงานร่วม หรือเรียนอะไรคนต่างสขาวิชา ต่างอาชีพดู จะได้มุมมองอะไรใหม่ๆ ได้ Mental Model ใหม่ๆ Steve Jobs เองสนใจอิเล็กทรอนิกส์มากๆ แต่ตอนมหาวิทยาลัยกลับไปเรียนเรื่องการออกแบบตัวอักษร ซึ่งดูไม่เกี่ยวอะไรมาก Steve เรียนอย่างตั้งใจ ลงลึก และที่สุดกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบตัวอักษร จนนำมาสู่การออกแบบตัวอักษร โปรแกรมจนปฏิวัติวงการพิมพ์ จากแบบเรียงพิพม์ใช้เครื่องโรเนียว ตอนนี้เปลี่ยนไปใช้คอมพิวเตอร์หมด นี่เรียกว่า Mental Model ระดับเปลี่ยนโลกเลย ...


เอาหล่ะ ผมได้ทำหน้าที่ครู อย่างที่ใครหลายคนกำลังท้าทายใน Social Networking ว่ากรณีรักของเศรษฐีใหญ่วันเกษียณกับคนสนิทเปลี่ยนนามกลุล สุดื้อฉาวนั้น ผมจะสอนลูกศิษย์อย่างไร ...ผมทำแล้วครับ

แล้วบทความนี้เขียนไว้สอนลูกด้วย "เป็นเศรษฐีให้ได้นะลูก"

และที่สำคัญตรวจสอบ พัฒนา เปลี่ยนกรอบความคิดบ่อยๆนะ จะได้ไม่ติดกรอบ

และสำหรับประเทศไทย ที่กำลังก้าวสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 เราต้องการเศรษฐี 4.0 ครับ ต้องการมากๆ ด้วย เพราะปัจจุบันมีน้อยไป

เลิกตบมือ เลิกจัดอันดับวาณิข โดยมามั่วปนกับเศรษฐีซะที

คนรุ่นหลังจะได้มีแบบอย่างดีๆ เราจะได้มีประชากรมีทีมีสัมมาฐิติ เป็นประชากร 4.0 กันจริงๆ

วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจาณานะครับ

และสวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง มี Mental Model ที่ยอดเยี่ยม และเป็นเศรษฐีกันทุกคนนะครับ

บทความโดยดร.ภิญโญ รัตนาพันธ์ุ www.aithailand.org



หมายเลขบันทึก: 620922เขียนเมื่อ 1 มกราคม 2017 10:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 มกราคม 2017 16:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท