นิสัยที่ดี 5 ประการสำหรับการเรียนภาษา (5 Good Learning Habits in the Language Classroom)


เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้โพสต์นิสัยที่ดี 5 ประการในการสอน เพื่อครูในการสอนที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการตระหนักรู้ว่าการสอนและการเรียนนั้นเป็นเหมือนกับถนน 2 ทาง ก็เหมือนกับการเต้นแทงโก ซึ่งต้องมี 2 เช่นเดียวกัน ตอนนี้ฉันคิดว่าถึงเวลาเสียทีในการนำเสนอนิสัยที่ 5 ประการสำหรับการเรียนรู้

คนแต่ละคนย่อมมีรูปแบบ (style) การเรียนรู้ของตนเอง สิ่งนี้หมายความว่าจะทางที่ใช้ได้กับทุกคนเป็นสิ่งที่ยาก ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งอาจใช้ไม่ได้ผลสำหรับการศึกษา ซึ่งจะมีที่ที่เป็นส่วนบุคคลมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม จะมีนิสัยบางอย่างในการช่วยให้ผู้เรียนมีจิตใจเชิงบวก และวิธีการต่างๆในกระบวนการเรียนรู้ภาษา ถึงแม้ว่าบางข้ออาจไม่ดีที่สุดสำหรับใครบางคน แต่นิสัย 5 ประการนี้ก็เหมาะกับการเรียนการสอนภาษา และผู้เรียนจะได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติ

1. ถามคำถาม (ask questions)

การเรียนรู้เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ บางทีอาจเป็นการดูถูกที่กล่าวว่าการเรียนรู้ไม่ใช่เป็นกีฬาที่นั่งดู จริงๆแล้วเป็นเรื่องเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียนภาษา ซึ่งทำให้คุณไม่ได้แต่เพียงคำใหม่ๆ หรือไวยากรณ์เท่านั้น แต่ยังต้องฝึกภาษาอันใหม่ในการพูดแบบเจ้าของภาษา และเข้าใจสิ่งฟังหรืออ่านได้อย่างคล่องแคล่ว

กระบวนการเรียนรู้จะดียิ่งขึ้น หากคุณได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ สิ่งนี้หมายความถึงไม่เพียงแต่ฟังและกระทำงานต่างๆเท่านั้น แต่การตั้งคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับภาระงานที่ได้รับจากคุณครูด้วย

ไม่ว่าตอนไหนในบทเรียน เป็นที่แน่นอนแล้วว่าคุณจะเต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับหัวข้อในบทเรียน ยกมือขึ้นและถาม จงถามเป็นประจำ และคุณจะพบว่าความเข้าใจในตัวภาษานั้นจะลึกซึ้งขึ้นลึกซึ้งขึ้น

บางครั้งปัญหาอาจดูง่ายๆ แต่มันย่อมเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอื่นๆได้ด้วย ซึ่งจะช่วยในการเปิดหัวข้อ และความเข้าใจแบบลึกซึ้ง

2. จงใช้โอกาสทุกโอกาสในการปฏิบัติ (Use every opportunity to practice)

ถึงแม้มันจะกล่าวได้ง่ายๆ แต่สุภาษิตเก่าๆบอกเราว่า การฝึกเพิ่มความสำเร็จ ซึ่งไม่มีสิ่งใดจริงได้กว่านี้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกด้านภาษา

เพราะภาษาเกี่ยวข้องกับการสื่อสาร การที่คุณจะเป็นผู้สื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียน ซึ่งคุณจะต้องควบคุมและพัฒนาทักษะต่างๆทั้งสิ้น

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติได้ การจะเป็นจำเป็นต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอ หากคุณมีโอกาสที่จะปฏิบัติ สุดท้ายก็จะกลายเป็นธรรมชาติอย่างที่สองของคุณ

โอกาสอาจหมายถึงออกไปหาบุคคลและฝึกปฏิบัติกับเขา แต่บางครั้งก็อาจเป็นการจับคู่ หรือเป็นกลุ่ม ที่ครูของคุณจัดให้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมครูถึงให้จับคู่ ทั้งนี้ก็เพื่อฝึกการสนทนานั่นเอง

3. จงให้ความสนใจกับบทเรียน ไม่ใช่สิ่งที่จดบันทึก (focus on the lesson, not the notes)

ผู้เรียนจำนวนมากใช้เวลาไปกับการจดบันทึก (notes) ที่ละเอียดที่สุด ซึ่งเป็นความชัดเจนและเหนื่อยอ่อนพอๆกัน แม้กระนั้นการจดบันทึกแบบนี้ต้องใช้ทั้งพลังงานและสมาธิ ในการจดบันทึกนั้นเธอจะต้องเสียเวลาไปกับการทบทวนบทเรียนจำนวนมาก

จงอย่าทำสิ่งนี้ กระบวนการทางภาษาเป็นเหมือนกับกระบวนการทางประสาท (neurological process) ซึ่งจำเป็นต้องได้สภาวะแวดล้อม (exposure) ที่เป็นภาษาที่เราเรียน และการปฏิบัติมากๆ ยิ่งไปกว่านั้น การสื่อสารในชีวิตจริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการจดบันทึกที่ทำมาเป็นอย่างดี และคลังคำศัพท์ด้วย การสื่อสารในชีวิตจริงคือการมีการโต้ตอบที่เป็นธรรมชาติ และการคิดที่รวดเร็ว

สิ่งนี้หมายความว่าเธอจะต้องใช้เวลาไปในบทเรียนมากกว่าการไปจดบันทึก และใช้เวลาโดยส่วนใหญ่กับการฝึกปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้สมองได้รับ (acquire) ภาษาที่กำลังเรียนอยู่ ไม่ใช่เพียงแต่การจดบันทึก, การถามคำถาม, และปฏิบัติการในห้องเรียนเท่านั้น

4. จงจดบันทึกด้วยการมือเท่านั้น (handwriting note only)

การระลึกรู้ (recall) เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเรียนรู้บางสิ่ง ก็เหมือนกับความสามารถในการนำข้อมูลและความรู้มาใช้ได้ยังไงยังงั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมช่วงการทบทวน หรือการแก้ไขใหม่ (revision session) จึงเน้นไปที่ความสามารถของคุณในการระลึกรู้ข้อมูลจากบทเรียนที่ผ่านมาอย่างที่มีประสิทธิภาพและถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างจากสิ่งอื่นในการศึกษา การระลึกรู้ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยี จริงๆแล้ว ในการรายงานจาก Scientific America บอกเราว่าผู้เรียนที่จดบันทึกด้วยการเขียนจะมีได้คะแนนสูงกว่าคนที่จดบันทึกด้วยคอมพิวเตอร์, laptops และ tablet มากๆ

ในขณะที่การจดบันทึกมีความสำคัญ ฉันอยากจะแนะนำในเรื่องการจดบันทึกสิ่งที่มีความสำคัญในบทเรียน และอยากให้คุณกลับมาอ่านหลังจากเรียนบทเรียนนั้นๆแล้ว และจะเห็นว่าคุณสามารถจำสิ่งที่จดบันทึก และพัฒนามันให้กว้างขวางออกไปได้ สิ่งนี้จะเน้นไปที่การระลึกรู้ (recall), ความเข้าใจ (understanding), การประยุกต์ใช้ความรู้ (application of knowledge)

5. แก้ไข, แก้ไข, แก้ไข (revise, revise, revise)

ในขณะที่บทเรียนเรียนเฉพาะเรื่อง แต่การเรียนรู้ (learning), การจำ (recall), และการประยุกต์ใช้ความรู้ (the application of knowlegde)เป็นสิ่งที่เกิดร่วมกัน การเรียน Present Perfect ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอสามารถใช้กาลเวลานี้หลังจากบทเรียนแล้วเท่านั้น

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงต้องกลับไปทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาแล้ว ฉันขอแนะนำว่าให้กลับไปทบทวนบทเรียนที่ผ่านมา 24 ชั่วโมง (1 วัน) หลังจากการจบ, หนึ่งครั้งในสัปดาห์, และอีก 1 ครั้งในหนึ่งเดือน

แปลและเรียบเรียงมาจาก

Anthony Ash. 5 Good Learning Habits in the Language Classroom

https://eltblog.net/2016/07/09/5-good-learning-habits-in-the-language-classroom/

หมายเลขบันทึก: 616054เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2016 05:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 กันยายน 2016 05:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท