​บริบทท้องถิ่นไทยที่ยากลำบาก


​บริบทท้องถิ่นไทยที่ยากลำบาก

28 กรกฎาคม 2559

ทีมวิชาการ สมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย [1]

ท้องถิ่นทุกวันนี้วางตัวลำบาก

ว่าจะเขียนเรื่องท้องถิ่นนึกไม่ออกว่าจะเขียนไปทางไหน เอาเป็นว่า ท้องถิ่นมีความนุ่มลึก (ซึ้ง) ขอเขียนแบบรวม ๆ จับฉ่าย “เหมาโหลยกเข่งท้องถิ่น” หรือเรียกเต็มยศว่า “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” (อปท.)

หลายสิ่งหลากหลายมากมายในท้องถิ่นรวมเข้าด้วยกัน มันออกมาเป็น “บริบทของท้องถิ่น” ในกระแสปัจจุบันมีอาทิเช่น เรื่องที่ไม่ควรข้ามในงานท้องถิ่น, การใช้บทบาทและหน้าที่ของคนท้องถิ่น, รอยต่อของกระบวนงานบริหารท้องถิ่น, บทบาทในงานฝากและงานตรงของท้องถิ่น, ท้องถิ่นควรจะบริหารงานในระบบราชการหรือระบบเฉพาะ, กฎระเบียบท้องถิ่นควรจะให้หน่วยราชการแก้ไปแก้มาเช่นนี้หรือ, ท้องถิ่นควรจะพัฒนาบ้านเมืองหรือพัฒนาการเมือง, ความหมายท้องถิ่น, เป้าหมายท้องถิ่น, ความไม่เท่าเทียมฯ, สังคมบ้านนอกท้องถิ่นจะไปทางไหน เป็นต้น

นอกจากนี้ ในระยะเปลี่ยนผ่านเอาแค่ 10 ปีเศษ ประมาณปี 2547 ที่ผ่านมา นับเริ่มจากปีที่ท้องถิ่นมี “นายก อปท.” ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงเป็นต้นมา [2] ท้องถิ่นเริ่มมีวัฒนธรรมที่แปลกแตกต่าง ในหลายประการเป็นสิ่งที่ “ไม่พึงปรารถนา” โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน ผลประโยชน์ทับซ้อน การเมืองระบบอุปถัมภ์ ที่วงการอื่นเขาอาจไม่มีกันหรือ มีแต่ก็ไม่เหมือนกัน อันถือเป็น “นวัตกรรมใหม่” ที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ที่ใครก็เลียนลอกไม่ได้ ซึ่งนวัตกรรมใหม่นี้ได้แผ่กระจายไปทั่วทุกท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็ว จนเรียกได้ว่า ทุกวันนี้ท้องถิ่นส่วนใหญ่จะเป็น “พิมพ์เดียวกันหมด” ไม่ว่าท้องถิ่นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ว่าได้

ในบริบทเหล่านี้ ว่ากันว่า ทั้งชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ และ รวมไปถึงรัฐบาล หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ นักวิชาการก็สับสนอลหม่าน ที่เปลือกนอกอาจดูดี ไม่มีความขัดแย้ง แต่มีเรื่องที่หาข้อยุติกันได้ยากพอสมควร ที่ยังไม่มีผลงานที่เป็นข้อสรุปตายตัว ในเรื่องการกระจายอำนาจ โดยเฉพาะในเรื่องการบริการสาธารณะ ซึ่งในรายละเอียดหลายเรื่อง เป็นปัญหาที่ถกเกียงกันยาวนานที่สำคัญ คือ เรื่องการบริหารงานบุคคลข้าราชการส่วนท้องถิ่น และเรื่องรูปแบบการปกครองท้องถิ่น

นักวิชาการนักวิจัยศึกษาท้องถิ่นยาก

ในความยุ่งยากอย่างหนึ่งของนักวิชาการ นักวิจัย ก็คือ “ข้อมูลสถิติเชิงวิจัยที่อ้างอิงได้” มีข้อมูลเฉพาะหลายอย่างที่แม้แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบท้องถิ่นโดยตรงได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ก็ยังไม่มีข้อมูล “เชิงวิเคราะห์” ไว้ตรวจสอบอ้างอิง ข้อมูลหลายอย่างต้องมีการสำรวจเก็บข้อมูลกันหน้างานเป็นการเฉพาะครั้ง เมื่อมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้น เช่น ข้อมูลจำนวน อปท. ที่มีจำนวนงบประมาณน้อย ประชากรน้อย มีเขตพื้นที่ทับซ้อนฯ ข้อมูลจำนวนพนักงานจ้างทั่วไป พนักงานจ้างตามภารกิจ ข้อมูลสถิติการทุจริตคอร์รัปชั่น ข้อมูลการปรับระดับข้าราชการท้องถิ่นฯ ข้อมูลการปรับชั้นเทศบาลจากขนาดเล็กเป็นขนาดกลาง ฯลฯ หรือ แม้แต่ข้อมูลที่บอกว่ามีข้าราชการส่วนท้องถิ่นตามระบบเดิม (ระบบซี) ได้รับผลกระทบจากการปรับเป็นระบบแท่ง ก็ยังไม่สามารถแยกแยะจำนวนออกมาได้ เป็นต้น

ฉะนั้น ในการศึกษาวิจัย ด้านท้องถิ่น รวมทั้งการวิพากษ์สังคม จึงขาดข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่เป็นข้อสรุปที่เป็นตัวเลข สถิติ หรือผลการศึกษาวิจัยอ้างอิงที่ถูกต้องชัดเจน ในหลาย ๆ กรณีเป็นที่เป็นภารกิจมืด ดำ ที่ตรวจสอบไม่ได้ เช่น ยอดการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ หรือ ข้อมูลจำนวนครั้ง จำนวนเงินงบประมาณที่บกพร่อง ทุจริตฯ เพราะขาดระบบควบคุมตรวจสอบ การประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการ เพราะ ข้อมูลที่มีก็คือ การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจไม่มีหลักเกณฑ์ใด ๆ ลักษณะจัดสรรตามสะดวก ความใกล้ชิด ความง่ายในการบริหาร การจัดสรร ฯลฯ จึงเป็นการจัดสรรเงินเชิง “อุปถัมภ์ต่างตอบแทน” เพื่อให้ครบจำนวนตามเป้าหมายและวงเงินเท่านั้น จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่า อปท. เดิมซ้ำ ๆ กัน ที่มักจะได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจอยู่เสมอ ๆ เป็นต้น

นักวิชาการ หรืองค์กรการศึกษา หรือสถาบันฯ มักได้รับการจ้างให้ศึกษาวิจัยด้วยวงเงินมหาศาล แต่ผลการศึกษาอาจไม่เป็นไปตามที่คาด กลับกลายเป็นการรับรองความถูกต้องในประเด็นที่กำลังศึกษาก็ได้ โดยมิใช่การศึกษาในผลกระทบรอบด้าน ไม่มีข้อมูลวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบ เพราะ “ไม่มีข้อมูล” หรือ “ศึกษาให้ข้อมูลแบบหลอกตนเอง” ด้วยข้อมูลจัดฉาก เสนอหน้า นอกจากนี้ผลการศึกษาก็มิได้นำมาใช้อย่างจริงจัง เช่น ปี 2553 ได้ว่าจ้าง สถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ (สปร.) ดำเนินการศึกษาวิจัย เรื่อง การปรับปรุงระบบจำแนกตำแหน่งและค่าตอบแทนของข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ระยะที่ 2) [3] หรือที่เรียกกว่า “การศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนข้าราชการท้องถิ่นเป็นระบบแท่ง” ที่ศึกษากันมากว่า 6 ปี แต่ความชัดเจนเข้าใจของข้าราชการส่วนท้องถิ่นยังไม่เข้าใจ เป็นต้น

งานโครงการหลายโครงการเพื่อนำร่องแนวคิด แม้เป็นแนวทางที่ดี แต่หากขาดการท้วงติง การยอมรับในผลสะท้อนมุมกลับ การโปรโมทเชียร์เกิน โดยไม่คิดมุมย้อนกลับ มีลักษณะเป็น “มือปืนรับจ้าง” แม้เป็นจรรยาบรรณวิชาชีพ แต่หากขาดการกำกับควบคุมตรวจสอบ ตรรกะความเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” เป็นประโยชน์ได้เสียรับเงินใครก็รับใช้คนนั้น จึงอาจมีอยู่ได้

แผนยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาว

ในเรื่องการเมืองท้องถิ่นที่หลายฝ่ายสรุปว่า ต้องพัฒนาจิตสำนึกรับผิดชอบ “คุณธรรม จริยธรรม” ปลูกฝังกันใหม่ คงพอมองเห็นแววในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (ปี 2560-2564) ซึ่งแผนนี้จะเกาะเกี่ยวอยู่กับ “แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี” ตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใน 6 ด้าน คือ (1) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (2) ความมั่นคง (3) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (4) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน (5) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและความเท่าเทียม และ (6) การพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของคน [4]

ในโรดแมปแผนยุทธศาสตร์ชาติคงมิใช่เฉพาะท้องถิ่น แต่รวมในบริบทของการปฏิรูปประเทศทั้งหมดแน่นอนว่าอานิสงส์นี้ท้องถิ่นคงได้รับประโยชน์เต็ม ๆ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมแก่ท้องถิ่นเพื่อการจัดการบริการสาธารณะที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ

ห่วงสังคม AEC ไทยไม่ทันเขา

การก้าวเข้าสู่สังคม AEC [5] ของไทย ก้าวมาพร้อมกับ การก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” (Ageing Society) [6] หรือสังคมคนชราที่กำลังคืบคลานมาในอีกไม่ถึงสิบปีนี้ ที่มิใช่กระทบแต่สังคมอุตสาหกรรม แต่สังคมชนบทท้องถิ่นบ้านนอกก็กระทบเช่นกัน เพราะสังคมไทยต้องมีภาระในการดูแลคนแก่ที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นด้วย

ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่นสหภาพเมียนมา หรือ พม่าที่คนไทยเรียกกัน โดยผู้นำตัวจริงนางอองซานได้เดินทางมาเยือนไทย [7] ข้อเรียกร้องที่เสนอ รัฐบาลไทยก็คงต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตาม จะว่าไปเพราะไทยง้อ แรงงานเขา หากไทยเรายังไม่ใช้เทคโนโลยีปรับโครงการผลิต สินค้าและบริการ ปัญหาการผลิตต่าง ๆ ก็คงจะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เพราะตามประสาวิสัยไทยเราที่เป็นเพียงผู้บริโภค มิใช่นักคิดนักลงทุน

ปัญหาวิสัยทัศน์อย่างหนึ่งของคนไทยก็คือ “คิดได้แต่ก็ไม่ทำ” แม้จะมีความพยายามคิดพัฒนาเครื่องทุ่นแรง ก็เฉพาะภาคเกษตร และเครื่องใช้เครื่องครัว มันเป็นมรดกความคิดที่สืบทอดต่อเนื่องมานาน ฉะนั้น ปัจจัยการผลิต หรือสินค้าใหญ่ ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรม เครื่องมือเครื่องใช้นำเข้าจากต่างประเทศ ฝรั่ง ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี จีน หรือซื้อเขาทั้งนั้น

เปิด AEC เต็มรูปแบบเมื่อใด ไทยเราคงแย่ ปัญหาแรงงานต่างด้าว ปัญหาประชากรแฝงที่มากขึ้น อปท. ต้องดูแล รับผิดชอบมากขึ้น โดยเฉพาะชายแดน และเมืองใหญ่ เช่น จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ ปทุมธานี (ไม่รวม กทม.) ภาษาอังกฤษคนไทยก็ไม่ดี สู้ ฟิลิปปินส์ มาเลย์ พม่าไม่ได้ แถมคนไทยยังสื่อสารได้แต่ภาษาไทยภาษาเดียว ในขณะนี้แรงงานเมียนมา ที่จะได้เปรียบในภาษาแม่เมื่อกลับประเทศแล้ว ยังได้เปรียบภาษาไทย ด้วย นอกจากนี้กระแสเวียดนามกำลังมาแรง ในการแย่งตลาดนักลงทุนต่างชาติจากไทยไป แถมมีแรงงานถูกกว่าด้วย

มีข้อสังเกตว่าประเทศเพื่อนบ้าน เวียตนาม ลาว พม่า เขมร เขาหมดศรัทธาภาคราชการเขาแล้ว ชีวิตในสังคมของประเทศเพื่อนบ้านเขาได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันเองในงานบริการสาธารณะจนชินแล้ว แต่ในขณะที่สังคมไทยตรงกันข้าม จึงเป็นจุดแข่งขันอย่างหนึ่งใน AEC ที่น่าเป็นห่วงนัก

หลากหลายปัญหาที่รุมเร้าเกษตรกรท้องถิ่น

เมื่อพูดถึงท้องถิ่น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพูดถึงเกษตรกร ด้วยจำนวนที่มากถึงสี่ล้านครัวเรือน [8] คิดเป็นจำนวนประชากรได้มากกว่าสิบล้านคน ซึ่งคนเหล่านี้จะปักหลักอยู่ในชนบทท้องถิ่นนั่นเอง

ปัญหาการขาดปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน ปัญหาเรื่องดินฟ้าอากาศที่ไม่เป็นใจ ความแห้งแล้งน้ำ ที่ขาดแคลน ฝนที่ไม่ปกติ เพราะเราทำลาย ลืมธรรมชาติ ไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปัญหาหนี้สินชาวนา หมกมุ่นหวย โชคลาภ ทั้งหวยบนดิน ใต้ดิน หวยหุ้นที่เล่นกันทุกวัน

โอทอปหรือสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ [9] ก็หดหายลดลงไปตามกระแส ด้วยอาจมีอคติที่คนเก่าเขาทำดีไว้มากเกิน หรืออย่างไร โครงการภาคราชการไทยหลาย ๆ โครงการไม่ต่อเนื่องยั่งยืน จึงเป็นโครงการ “ไฟไหม้ฟางสร้างภาพ” สังคมเราโกหกกันเสียจนเคยตัว

การเกษตรอินทรีย์ [10] ข้าวกล้อง ข้าวดำ ข้าวอินทรีย์ ข้าวไรซ์เบอร์ลี่ ข้าววิตามิน ขายไม่ออก ต้นทุนสูง มีปัญหาด้านคุณภาพมาตรฐาน ไม่มีตลาด ไม่มีคนซื้อ หรือ ไม่สามารถขยายกิจการตลาดได้ตามกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้น

การเกษตรสมัยใหม่และ “การเกษตรทางเลือก” (Alternative Agriculture or Sustainable Agriculture) [11]จึงเป็นแนวทางใหม่ที่ต้องพัฒนานำมาให้แก่เกษตรกรไทย อาทิ เกษตรกรไทยต้องฉลาดคิด ฉลาดทำ “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” (Smart Farmer) [12] ก็ต้องมาตั้งหลักกันก่อน แถมต้องจัดการบริษัทนายทุนใหญ่ที่มีลักษณะ “เกษตรพันธสัญญา” (Contract Farming) [13] อาทิ บริษัทเจียไต๋ ซีพี ที่กำลังเติบใหญ่ ขยายขอบเขตกิจการโดยอาศัยความได้เปรียบเรื่องเงินทุนและเทคโนโลยี ไปยังตัวแทนชาวบ้านเกษตรกรทั้งหลาย ที่อาจต้องไปบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวที่มีมากมาย และราคาถูก ไม่ว่าพม่า ลาว เขมร แม้แต่แรงงานเวียดนามก็ตาม เพราะ บริษัทนายทุนเกษตรพันธสัญญาจะไปใช้บริการของแรงงานต่างด้าวได้

ขอฝากแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ

การรณรงค์ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ (Sufficiency Economy) [14] ให้การเรียนรู้แบบธรรมชาติ ให้การปลูกฝังและให้สัมผัสการใช้ชีวิตแบบธรรมชาติกัน จริงๆตั้งแต่เด็กๆ และเยาวชน โดยการจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้” ขึ้นในชุมชน ในท้องถิ่นชนบท เพื่อเป็นการทำอะไรที่ดีๆ ให้กับชุมชนซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านเกิด และเพื่อสืบสานหลักคิดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ เหนืออื่นใด เพื่อหวังกระชับวิถีชีวิตของท้องถิ่นให้หวนคืนความเป็นตัวตนของตนเอง และสิ่งที่ดีงาม เฉกเช่นสังคมไทยเมื่อสี่สิบห้าสิบปีก่อนเอาไว้เหมือนเดิม

เหล่านี้ คือบริบทรวม ๆ ของท้องถิ่นไทยที่น่าสนใจ ในการก้าวย่างเข้าสู่สังคม AEC และ สังคมสูงวัยในอนาคตอันใกล้นี้ ท้องถิ่นมาวางแผนกันหรือยัง



[1] Phachern Thammasarangkoon & Ong-art saibutra & Vajarin Unarine, Municipality Officer ทีมวิชาการ สมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย, หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2559 ปีที่ 67 ฉบับที่ 23103 หน้า 10, การเมืองท้องถิ่น & หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ปีที่ 63 ฉบับที่ 44 วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม – วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2559, หน้า 66, เจาะประเด็นร้อน อปท.

[2] การแก้ไขกฎหมายจัดตั้ง อปท. ในการเลือกผู้บริหารโดยตรง ดังนี้

(1) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามมาตรา 35 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2546

(2) นายกเทศมนตรี ตามมาตรา 48 ทวิ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2546

(3) นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ตามมาตรา 58 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2546

[3] สำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น, รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง การปรับปรุงระบบจำแนกตำแหน่งและค่าตอบแทนของข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ระยะที่2) เสนอต่กระทรวงมหาดไทย จัดทำโดย สถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ (สปร.), กุมภาพันธ์ 2553, http://localmoi.club/wp-content/uploads/2016/01/ra1528OK.pdf

& สำนักงาน ก.ถ., รายงานสรุป การปรับปรุง ระบบจำแนกตำแหน่ง และค่าตอบแทนของข้าราชการส่วนท้องถิ่น เสนอต่อกระทรวงมหาดไทย, จัดทำโดย สถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ (สปร.), ตุลาคม 2551, www.local.moi.go.th/19.12.2551.pdf

[4] อนัญญา มูลเพ็ญ, คิกออฟแผนฯ12 สศช.เข็น 10 ยุทธศาสตร์, posttoday, 22 กรกฎาคม 2559, http://www.posttoday.com/analysis/interview/444171?refer=https%3A%2F%2Fwww.google.co.th%2F

[5] AEC คือ อะไร และจะมีผลกระทบกับไทยอย่างไร, 5 มีนาคม 2555, www.thai-aec.com/41 & AEC...เปลี่ยนประเทศไทย ก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2558, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 29 พฤษภาคม 2555, http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1338296131 & ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คืออะไร (AEC), www.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน.net

[6] ประเทศไทยจะเป็นสังคมสูงวัยในอีก 10 - 30 ปี ข้างหน้า ซึ่งตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขว่าในอีก 20 ปี ข้างหน้าใน พ.ศ. 2578 ประเทศไทยจะ “เข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” โดยมีประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปในสัดส่วนที่มากกว่าร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด ดู สธ.เตรียมพร้อมรับอีก 20ปีข้างหน้า ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด”, สำนักข่าวไทย , 23 เมษายน 2558, http://www.tnamcot.com/168674 & ดู อาเซียนกับสังคมผู้สูงอายุ, 21 ธันวาคม 2558, www.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=5102&filename=index & นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์, คนไทย "จนตอนแก่" ปัญหาใหญ่ระดับชาติ, CFP® ที่ปรึกษาการเงินธนาคารไทยพาณิชย์, 25 กรกฎาคม 2559, http://www.scb.co.th/line/tip/money-plan.html

ประเทศไทยในปี 2558 เข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุ" (Aging Society) สัดส่วนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 และ ในปี 2564 (อีก 5 ปี) จะเป็น “สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ” หรือ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” (Aged Society) สัดส่วนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20

[7] การเยือนไทยครั้งที่สองของ “ออง ซาน ซู จี”, 23 มิถุนายน 2559, http://news.thaipbs.or.th/content/253396 & ข่าวเด่น กต. : ผลการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของ นางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างวันที่ 23 – 25 มิถุนายน 2559, 25 มิถุนายน 2559, http://www.mfa.go.th/main/th/media-center/28/67964-ผลการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของ-นางออ.html

[8] ข้อมูลสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2557) ประเทศไทยมีพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด 320 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ทำนา 149 ล้านไร่ (ร้อยละ 46) มีชาวนาเกือบสี่ล้านครัวเรือน เป็นการทำนาในเขตชลประทาน 29.6 ล้านไร่ (ร้อยละ 19) เป็นพื้นที่นาน้ำฝน (นอกเขตพื้นที่ชลประทาน) 109 ล้านไร่ (ร้อยละ 73) ดู การปฏิรูปชาวนาไทย, กลุ่มงานบริการวิชาการ 2, สำนักวิชาการ, สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2557, http://library2.parliament.go.th/giventake/content_nrcinf/nrc2557-article03.pdf & & ครม.งัด4มาตรการช่วยชาวนา แจกไร่ละพัน 3.7 ล้านราย-ธ.ก.ส.ให้ประกันภัยฟรี, ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 มิถุนายน 2559, http://www.thairath.co.th/content/643929

[9] “โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์” หรือ One Tambon One Product เป็น “โครงการผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น” หรือ Outlet To On-Shelf Peer working เดิม “โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์” เกิดจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ พ.ศ. 2544 ประกาศ ณ วันที่ 7 กันยายน 2544 สมัยพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เรียกสั้นๆว่า โอทอป (OTOP)

ปี 2553 นโยบายรัฐบาลยังคงใช้ชื่อ “โอทอป” (OTOP) แต่ปรับเปลี่ยนคำเดิม จาก “หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์” หรือ One Tambon One Product เป็น “ผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น” หรือ Outlet To On-Shelf Peer working แบ่งเป็นสองส่วน คือ โอทอปที่ผลิตโดยชุมชน เรียกว่า “ผลิตภัณฑ์ชุมชน” ส่วนที่ 2 คือผลิตภัณฑ์มาจากผู้ประกอบรายเดียว เช่น ห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท เรียกว่า “ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น” อ้างจาก กัลยาณี สูงสมบัติ, ผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น, 2554

[10] ความหมายของเกษตรอินทรีย์และเงื่อนไขของ IFOAM (International Federation of AgricultureMovement) คือ ระบบการเกษตรที่ผลิตอาหารและเส้นใย ด้วยความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจ โดยเน้นการปรับปรุงบำรุงดิน การเคารพต่อศักยภาพทางธรรมชาติของพืชสัตว์ และนิเวศน์ การเกษตรอินทรีย์จึงลดการใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอก และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ เช่น ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ ขณะเดียวกันก็ประยุกต์ใช้ธรรมชาติในการเพิ่มผลผลิต และพัฒนาความต้านทาน ต่อโรคของพืชและสัตว์เลี้ยง

ดู พรรณาภา ปรัชญาศิริ, ความเข้าใจ”เกษตรอินทรีย์”, 4 มีนาคม 2551, https://www.gotoknow.org/posts/168978

[11] เสรี แข็งแอ, เกษตรทางเลือก, คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลับขอนแก่น, 2548, http://vet.kku.ac.th/farm/data3/25.pdf

& ธานีซิตี้(นามแฝง), ระบบเกษตรในประเทศไทย : การเกษตรทางเลือก, OKnation, 29 กันยายน 2550, http://www.oknation.net/blog/kontan/2007/09/29/entry-1

[12] สุรัตน์ อัตตะ, วางกรอบภาคการเกษตรไทย สู่รูปแบบ 'สมาร์ทฟาร์มเมอร์', 28 ธันวาคม 2555, http://www.komchadluek.net/detail/20121228/148201/วางกรอบเกษตรไทยสู่สมาร์ทฟาร์มเมอร์.html

[13] องค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) นิยามการเกษตรพันธสัญญา หรือคอนแทรคฟาร์มมิ่ง (contract farming) ว่า “เป็นการตกลงกันระหว่างเกษตรกรกับบริษัทแปรรูป หรือค้าขายสินค้าเกษตรเพื่อที่จะทำการผลิตและจัดหาผลิตภัณฑ์เกษตรภายใต้ข้อ ตกลงซื้อ-ขายล่วงหน้า ซึ่งมักจะกำหนดราคาไว้ด้วย ข้อตกลงดังกล่าวมักจะเกี่ยวข้องกับการที่ผู้ซื้อจัดหาปัจจัยมาสนับสนุนการ ผลิตในระดับหนึ่ง เช่น ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ และคำปรึกษาทางด้านเทคนิค”

FAO suggests the following definition for contract farming:

“…an agreement between farmers and processing and/or marketing firms for the production and supply of agricultural products under forward agreements, frequently at predetermined prices. The arrangement also invariably involves the purchaser in providing a degree of production support through, for example, the supply of inputs and the provision of technical advice.” (Eaton and Shepherd, 2001, p.2))

[14] จุมพล วิเชียรศิลป, แนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง (Sufficiency Economy), มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, http://www.stou.ac.th/Offices/rdec/nakornnayok/Main/NK-STOU_Porpeng/Data/แนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง.pdf

หมายเลขบันทึก: 611308เขียนเมื่อ 27 กรกฎาคม 2016 07:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม 2016 16:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท