พลังแห่งรัก


มีหลายคนพูดว่าการทำงานในโรงพยาบาลเหมือนได้ทำบุญทุกวัน เพราะได้ช่วยให้เขาหายป่วย เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะทุกครั้งที่ทำให้เขาหายป่วย หายเจ็บปวด ทำให้ใจของฉันยิ้มได้ทุกครั้ง “ ผู้ป่วย” ฟังแล้วก็รู้สึกหดหู่ เพราะบางคนป่วยทั้งกาย และ ใจ

กริ๊ง กริ๊ง ๆๆๆ ฉันรับสาย “ พี่ ที่โรงพยาบาลมีหมอไหมครับ” เป็นเสียงของน้องพยาบาลที่อยู่ รพ.สต.อีกเกาะหนึ่ง “มีค่ะ มีเรื่องอะไรเหรอค่ะ” “ผมจะส่งผู้ป่วยเด็กอายุ 4 ปีไปพบหมอ” “เด็กเป็นอะไรเหรอ” ฉันถามไปและได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเด็กตามสายโทรศัพท์มา “ เด็กล้มรถมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่ 9 โมงเช้า ศีรษะฟาดพื้น”ฉันเหลือบมองนาฬิกานี้มันเกือบ 11โมงจะเที่ยงแล้วนี่“มีแผลเปิดที่ศีรษะ เนื้อหายไปเลย เห็นถึงกระโหลกศีรษะเป็นเด็กพม่าไม่มีบัตรด้วยครับ”“แล้วระดับความรู้สึกเป็นอย่างไร”“รู้สึกตัวดีร้องปวดแผลตลอด จะส่งไปพบหมอและเอ็กซเรย์ครับ”“ส่งมาได้เลย เดี๋ยวตอนลงเรือข้ามฟากมา ให้โทรบอกอีกครั้งนะจะได้เอารถ Ambulance ไปรับค่ะ”“ ครับๆ”

จนถึงเที่ยงฉันก็ยังไม่เห็นผู้ป่วยเด็กและเสียงโทรศัพท์ให้ออกไปรับเลย เกิดอะไรขึ้น ฉันเริ่มกังวลเพราะฉันเป็นพยาบาลส่งต่อวันนี้ จึงโทรศัพท์กลับไปยังน้องพยาบาลที่อยู่ รพ.สต.อีกครั้ง “ผู้ป่วยเป็นอย่างไรบ้าง นี้เที่ยงแล้วยังไม่เห็นเลย” “ พี่ พ่อกับแม่เด็กไม่ยอมพาไป เขาไม่มีเงิน และกลัวตำรวจจับด้วย พวกเขาไม่มีบัตรแรงงานต่างด้าว” “แล้วเขาทำงานที่ไหน” “ทำที่โรงแรม….”ฉันเข้าใจปัญหานี้ดี และรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมพ่อแม่เด็กถึงดื้อนัก ไม่เป็นห่วงลูกเลยเหรอ ฉันสูดหายใจเข้าออกยาวๆตั้งสติอีกครั้ง“เดี๋ยวน้องโทรกลับไปยังโรงแรมหานายจ้างเผื่อจะช่วยเขาได้นะแล้วเป็นอย่างไรให้โทรกลับมาด้วยนะ”“ ครับ”

เวลา 14.00 น. จึงได้รับโทรศัพท์อีกครั้ง “พี่เอารถออกมารับได้เลย ลงเรือข้ามฟากมาแล้ว ผมมาส่งเด็กด้วย เด็กเริ่มดูซึมๆแล้วพี่”ฉันก็ไม่ได้ซักรายละเอียดอะไรอีกเลย รีบออกไปรับผู้ป่วยทันที ด้วยกังวลกับคำพูดที่ว่า “เด็กซึมลง” เพราะรับรู้ได้ทันทีแล้วว่าเด็กอยู่ในภาวะวิกฤต หากช้ากว่านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วยเด็กคนนี้ หัวใจฉันเริ่มเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เวลา 14.20 น. ฉันก็ได้เห็นภาพเด็กน้อยตาปรือ 2 ข้างคล้ายจะปิด เด็กเริ่มซึมแล้วจริงๆ ด้านบนศีรษะมีผ้าก๊อซหนาปิดไว้ คราบเลือดไหลซึมลงมาถึงหน้าผาก บริเวณหน้าเป็นแผลถลอก และภาพผู้หญิงผู้ชายวัยกลางคน แววตาหม่นหมอง ใช้มือสองข้างประคองศีรษะและลูบบนแผลของลูกน้อยและพูดว่า “ตื่นๆ ตื่นลูก อย่าหลับนะๆ ฮือ ๆ ฮือๆ” ตลอดทาง ไม่สนใจว่าฉันกับน้องพยาบาลจะพูดอะไรกัน น้องพยาบาลบอกว่าทางโรงแรมไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะ เป็นแรงงานรายวัน แต่มีพี่ชายที่เป็นพนักงานของโรงแรมมีบัตรแล้วให้ยืมเงินมา ถึงได้มากัน ฉันไม่รอช้ารีบบอกพนักงานขับรถให้เร่งความเร็วขึ้น

ถึงโรงพยาบาล ฉันและทีมหมอพยาบาลช่วยกันให้การรักษาพยาบาลด้วยความเร่งรีบ ฉันเอื้อมมือไปเปิดแผลบนศีรษะของเด็กน้อยเพราะมีเลือดไหลซึมล้นออกมาและจะได้ประเมินบาดแผลว่าเป็นย่างไร แต่แล้วก็มีมือหนึ่งเข้ามากระชากมือที่ฉันจะเปิดแผลให้เด็กน้อย ฉันหันขวับไปพร้อมกับแรงที่กระชากแขนฉัน แต่เมื่อพบสายตาคู่นั้น ใจฉันก็อ่อนยวบลง เพราะเป็นสายตาที่เว้าวอนของแม่ที่รักลูกดั่งแก้วตาดวงใจที่ไม่อยากให้ลูกเจ็บปวดจากการทำแผล เพราะเสียงร้องที่เจ็บปวดของเด็กน้อยที่ฉันได้ยินทางเสียงโทรศัพท์ครั้งแรกคงทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดราวกับว่าแผลนั้นอยู่ที่หัวใจของเธอเองถึงฉันจะเป็นพยาบาลห้องฉุกเฉินมานานกว่ายี่สิบปี ได้เห็นแผลเล็ก แผลใหญ่ เลือดอาบมามากมาย จนทำให้ใจฉันชินชาเสียแล้ว แต่เมื่อลูกน้อยของฉันเองประสบอุบัติเหตุมีแผลที่นิ้วชี้ต้องตัดกระดูกออกหนึ่งข้อนิ้ว หัวใจของฉันที่เป็นแม่ ไม่ใช่หัวใจของพยาบาลห้องฉุกเฉินก็แทบสลาย น้ำตาเอ่อล้นทุกครั้งที่เห็นลูกร้องให้เจ็บปวดเมื่อทำแผล ฉันเข้าใจดี จึงเอื้อมมือไปจับที่แขนเธอเบาๆ แล้วบอกว่า “ทำแผลให้ใหม่นะจะได้ประเมินบาดแผล” แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าทำอย่างไรดีนะที่ไม่ต้องเปิดแผลหลายครั้งเด็กน้อยคนนี้จึงไม่ร้องปวด จึงถ่ายรูปบาดแผลเอาไว้ให้แพทย์ดู ฉันสัมผัสมือเธออีกครั้งและบีบเบาๆเพื่อส่งผ่านความรู้สึกของความเป็นแม่ซึ่งกันและกัน คราวนี้เธอปล่อยแขนฉันออกและยินยอมให้ฉันทำแผลแต่โดยดี แต่ก็ยังเอามือทั้งสองของเธอกุมมือลูกน้อยเอาไว้ “ จุ๊ จุ๊ ๆ ๆ” คือเสียงปลอบเมื่อเด็กน้อยร้องให้ แผลของน้องใหญ่ มีเนื้อหายไปไม่สามารถเย็บปิดให้ติดกันได้ แผลลึกถึงกะโหลกศีรษะ และที่สำคัญมีภาวะแทรกซ้อนจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ เ ด็กซึมลง เริ่มมีอาเจียน ระดับความรู้สึกตัวลดลง แพทย์ลงความเห็นว่าต้องส่งตัวไปรักษาต่อโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จึงได้บอกให้แม่ทราบ ทันทีที่ได้รับข่าว แม่เด็กน้อยก็ร้องโฮออกมา พวกเราทีมพยาบาลรู้สึกสลดใจกับแม่ไปด้วย “ไม่ไป ไม่ไป หมอฉันไม่มีเงิน ฉันกลัว กลัวถูกจับฮือๆ ฮือๆ” แม่ของเด็กน้อยพูดทั้งน้ำตา สลับกับปลุกเรียกลูกน้อย “ตื่นๆ ตื่นๆลูก ฮือๆ ฮือๆ” ฉันยืนมองด้วยใจที่ว่างเปล่าและคงไม่ต่างกับทีมพยาบาลที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน ภาพผู้หญิงร้องให้เหมือนถูกพรากของรักไป…

นี่แหละ “ผู้ป่วย” ที่ป่วยทั้งกายและใจของฉัน ฉันเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมเราต้องเยียวยารักษาทั้งใจและกายด้วย…

จู่ๆความคิดฉันก็แว่บขึ้นมาเหมือนมีความหวัง จึงไปเรียกพ่อของเด็กน้อยมาพูดคุย เพราะฟังและพูดภาษาไทยได้ดีกว่าแม่ พ่อรับรู้ถึงอันตรายของโรคจึงรีบมาพูดกับภรรยาใช้เวลาไม่นานพ่อของเด็กน้อยก็เข้ามาบอกฉันว่า “ตกลงครับเพื่อลูกของผม ผมและเมียไม่กลัวถูกตำรวจจับแล้ว แต่..มีเรื่องหนึ่งให้หมอช่วย คือ คือ ผมค้างค่ารักษาไว้ก่อนได้ไหมครับ” สีหน้ามีแววกังวลไม่กล้าสบตาฉัน “ค่าใช้จ่ายค้างไว้ได้ไม่ต้องกังวลนะ ตอนนี้ต้องรีบนำส่งเด็กน้อยไปโรงพยาบาลบนบกก่อน”ฉันเห็นรอยยิ้มในแววตาของผู้เป็นพ่อ

เวลา 15.00 น.เรือโดยสารประจำทางจะเป็นเรือไม้หางยาวซึ่งไม่สามารถวางเปลนอนผู้ป่วยด้านในเรือได้เลย เพราะในเรือเป็นเก้าอี้นั่งแบบถาวร ถ้านำส่งผู้ป่วยด้วยเรือโดยสารเที่ยวนี้ จะต้องนำเปลนอนผู้ป่วยมาไว้ด้านหัวเรือซึ่งไม่ได้มุงหลังคาเรือไว้ แต่ เพื่อเด็กน้อยที่ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลบนบก ไม่ต้องเสียเงินค่าเหมาเรือ จึงไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคสำหรับพยาบาล ส่งต่อ แต่เมื่อมาถึงท่าเรือ ด้านหน้าของเรือโดยสารที่เราวางแผนไว้วางเปลผู้ป่วย ตอนนี้เต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ 3 คันวางอยู่ โดยที่เราไม่สามารถวางเปลนอนได้เลย ฉันและน้องพยาบาลมองสบตากัน นี่กี่ชั่วโมงแล้วนะที่เด็กน้อยคนนี้นอนเจ็บปวดอยู่ไม่ถึงมือหมอเฉพาะทางสมองสักที ฉันรำพึงอยู่ในใจรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับอุปสรรคที่มันมากมายเหลือเกิน “ตื่นๆ ตื่นๆลูก อย่าหลับนะ ฮือๆ ฮือๆ” เสียงนี้ ทำให้ฉันมีพลังที่จะต่อสู้กับอุปสรรคข้างหน้าได้อย่างไม่ย่อท้อ จึงรีบไปถามเจ้าของเรือว่า “บนหลังคาเรือวางเปลนอนผู้ป่วยได้ไหม” ปะเจ้าของเรือตอบว่า “หากลูกหมอนั่งได้ ไม่กลัวร้อน ลูกหมอนั่งได้เลยนะ วันนี้มีผู้โดยสารและของที่ต้องบรรทุกมากจริงๆ” ไม่รอช้าฉันจึงได้นำส่งผู้ป่วยเด็กน้อย..บนหลังคาเรือ…

ถึงจะเป็นเวลาบ่ายสามแล้ว แสงแดดไม่ร้อนระอุเท่ากับตอนเที่ยงวันแต่มันก็ร้อนจนรู้สึกว่าแสบผิวกาย ฉันสะดุ้งอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงพ่อของเด็ก “หมอครับเอาผ้าห่มมา เดี๋ยวผมบังแดดให้นะครับ” ฉันตื่นจากภวังค์เห็นแววตาที่สงบ อ่อนโยนลง รับรู้ได้ว่า ถึงเขาจะมีความทุกข์ใจ กังวลใจแค่ไหน แต่ยังมีน้ำใจที่จะแบ่งปันให้กัน ขอให้เด็กน้อยปลอดภัย พ่อและแม่ของเขาได้มีโอกาสโอบกอดชื่นชมลูกคนนี้อีกครั้งเถอะ

2 อาทิตย์ผ่านไป “หมอ หมอ” ฉันหันหลังกลับไปตามเสียงที่รู้สึกคุ้นเคย พบกับพ่อของเด็กน้อยที่ยิ้มให้ฉัน ฉันรู้สึกว่ารอยยิ้มที่ส่งมาให้ฉันมันเต็มตื้นหัวใจจริงๆพ่อของเด็กน้อยกลับมาเสียค่ารักษาพยาบาลที่ค้างไว้ และได้บอกว่าเด็กน้อยปลอดภัยตอนนี้วิ่งเล่นซนได้แล้ว เหลือที่แผลบนศีรษะที่ต้องยังไปทำแผลทุกวันที่ รพ.สต. ฉันดีใจกับเด็กน้อยด้วย ที่มีโอกาสได้มีชีวิตอยู่กับครอบครัว พ่อและแม่ก็ได้มีโอกาสโอบกอดลูกด้วยความรักอีกครั้ง


นางฟ้าสีขาว……


หมายเลขบันทึก: 609783เขียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2016 20:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม 2016 20:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท