ถึงเวลาสิ้นสุดสถานภาพ ฉันมีบุญ(ดังคำที่คนรอบตัวว่า) ได้อยู่ในสภาพแม่ชีถึง 91 วัน
อิป้าเลิกเล่นเป็นชีแล้วหล่ะ ซื้อตั๋วจากดาวอังคารจะกลับไปโลกมนุษย์แล้วนะ
ต้องขอบคุณหลวงตาและบุคลากรแห่งวัด พร้อมด้วยญาติมิตรที่ช่วยดูแล และสนับสนุนการกระทำของฉันให้บรรลุตามที่ตั้งใจไว้
คิดนะคะว่าถ้าต้องอยู่ในสภาพแม่ชีต่อไป ฉันจะเป็นอย่างไร ณ เวลานี้ ตอบเลยว่า โลกแห่งวัดไม่ใช่ทางของฉัน แต่ “ดี” และ “ดีมาก” ที่ได้มา 1 ชีวิตของฉันมีเรื่องราวของวัด พุทธศาสนา พระสงฆ์ เป็นชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่ทำให้ชีวิตของฉันมีสีสันมากขึ้น และเข้าใจคำว่าชีวิตมากขึ้น ยังตั้งใจว่าหากมีเวลาอีกฉันจะจัดสรรตัวเองไปสู่การปฏิบัติธรรมให้ต่อเนื่อง
ฉันลาศีล 8 และรับศีล 5 พร้อมกราบลาหลวงตามาด้วยความเรียบง่าย ฝากคำขอบคุณถึงวัดและคณะสงฆ์ ตลอดจนญาติธรรมไว้บนเฟสบุ๊คเพื่อประกาศให้โลกรู้ถึงความขอบคุณนั้น
ขอบคุณการต้อนรับจากเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ มีวาระเลี้ยงรับทำให้ฉันกลับสู่โหมด “ชาวโลก”
ไม่กินข้าวเย็นมา 3 เดือน น้ำหนักลงค่ะแม้จะไม่มาก แต่คนที่พบหน้าก็ทักว่า...ผอมลง เมื่อกลับมาก็เจอสภาพสังสรรค์เพื่อการต้อนรับกลับสู่โลกเจอภาวะกินๆๆๆ เล่นเอาท้องอืดเลยทีเดียว แต่ฉันก็ไม่อยาก อด หรืองด...ในบรรยากาศสังสันท์กับเพื่อนฝูง...มันทำเกิดอาการ “ขัดพาข้าว” และคนในบ้านของเราจะเป็นต่างคนต่างมุมต่างกิน จึงไม่แปลกที่ฉันจะมีเหตุผลในการอ้วนคืน
ที่ว่าสมองสองซีกของฉันต้องทำงานหนักก่อนลาศีลนั้น อะไรคือโลกแห่งแม่ชี อะไรคือโลกแห่งชาวโลก มันจะเชื่อมต่อกันอย่างไรให้ฉันมีชีวิตดียิ่งๆขึ้นไป
-ฉันติดการตื่นเช้า ตี 4-5 ปรากฏว่าไปทำงานแล้วง่วงนอนในช่วงบ่าย ง่วงแบบทำอะไรไม่ได้เลย...ฉันเริ่มฝึกตื่น 6 โมงเช้า กลับบ้านให้ไว (ปกติจะกลับ 6 โมงเย็นหรือ 1 ทุ่ม) แล้วนอนให้ไวขึ้น
-ฉันเบื่อการรับโทรศัพท์ เล่นไลน์ เล่นเฟส...แต่โลกของฉัน การทำงานก็ใช้การสื่อสารบนไลน์เป็นหลัก...มันใช่ไหม ก็ต้องฝึกตัวเองในสนุกกับการเล่นโซเซี่ยล บางวันโพสต์ 7 โพสต์เชียว....อิป้าเป็นบ้าไปแล้ว ไม่อยากเล่นก็ไม่ต้องเล่น...สาระสำคัญตรงไหน....แต่นายอิป้าอาจจะไม่เข้าใจ ถ้าไม่เกาะติดก็ตกข่าว เมื่อตกข่าวก็ตกขอบ
-ฉันเห็นผลของการกำหนดอาหาร ที่มีต่อสุขภาพอย่างเห็นได้ชัด ฉันพยายามกินข้าวเช้า งดข้าวเย็น แต่ยากมาก โลกของฉันเวลาอาหารเย็นคือเวลาได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว เวลาเช้าเป็นเวลาตัวใครตัวมัน ดังนั้นข้าวเย็นคงต้องสรรหาเมนูเบาๆ แทนมื้อหนักและมื้อใหญ่ ส่วนของเช้ายังจัดกาแฟเป็นหลัก...พยายามจะทำให้เป็นมื้ออาหารอย่างน้อยก็สัก 2-3 วันในสัปดาห์ ขี้เหร่ก็ให้เป็นกาแฟกับขนมแกล้ม แต่ 3สัปดาห์ผ่านไปรู้สึกจะกลับมาเป็นเพียวกาแฟแล้วค่ะ
-ฉันติดการสวดมนต์และทำสมาธิ ไม่ใช่ข้ออ้าง บ้านหลังน้อยนั้นมีผู้อาศัยร่วมกัน กับหมาเจ้าหญิงอีกตัว ไม่มีห้องพระหรือห้องส่วนตัว ดังนั้นการปฏิบัติต้องเหมาะสมกับสถานที่ (Place) ไม่ใช่อยากปฏิบัติแล้วผู้อยู่ที่อยู่ร่วมทำหน้าปูเลี่ยนๆ หรือไปหงุดหงิดที่เค้าเปิดทีวีเสียงดัง นี่ก็เป็นศิลปะที่ฉันจะบริหารความอยาก ทำสมองสองซีกให้ลงตัว ปฏิบัติให้สมกับกาล...อ้อ...นี่คงเป็นเหตุผลที่คนหลายคนไปสวดมนต์ที่วัด
-ฉันยังติดเล่าเรื่องเมื่อ 3 เดือนระหว่างการปฏิบัติ...พยายามให้ออกมาในแนวร้ายสาระ ไม่ใช่แนวของการสอนสั่ง...ไปปฏิบัติแค่นี้มิอาจหาญไปบอกกล่าวหรือสั่งสอนใคร แต่เชื่อไหมคะมันมีคำศัพท์หรือแนวคิดที่ติดมาที่อดีตแม่ชีอย่างฉันต้องระวังให้มาก ชาวโลกคงไม่มีใครอยากใช้ชีวิตร่วมกับแม่ชีหรอกค่ะ ดังนั้นความเข้าใจสถานการณ์จึงจำเป็นสำหรับฉันในการปรับตัวอยู่ร่วมกับชาวโลกในช่วงแรก มันไม่ใช่เรื่องยากเกินไปเพราะฉันไม่ใช่เพียวศาสนา
-ฉันยอมรับศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ได้ให้ศาสนานำชีวิต ปีนี้อายุหลัก 4 ยังมีอะไรให้ทำอีกมาก ครอบครัว งาน เพื่อน ตัวเอง ฉันพยายามไม่คิดถึงวัด ไม่คิดถึงพระ น่าแปลกนะคะ 3 เดือนมันทำให้ฉันรู้สึกผูกพัน เชื่อในความรู้สึกไหมคะ...มันคิดถึงค่ะ...คิดว่าบอกคนรอบข้างเค้าคงไม่เข้าใจ โยมผู้หญิงคนหนึ่งเคยบอกว่า พี่คงเคยมีอะไรผูกพันกับที่แห่งนี้มาแต่ชาติปางก่อน จริงไม่จริงฉันไม่รู้ ณ โลกนี้เวลาฉันกินอะไรฉันก็คิดอยากเอาทำไปถวายพระ พอวันหยุดสุดสัปดาห์ฉันก็อยากไปวัด ฤา ฉันจะติดวัด (555-คุณพระทั้งหลายดูท่าจะซวยแหล่วๆๆๆ) บ่อยครั้งที่พระ เณรส่งสารมาว่าวัดคิดถึง แต่ฉันต้องดีดตัวเองออกมา...ศาสนาเป็นของจริง แต่การไปอยู่วัดไม่ใช่เรื่องจริง ฉันจะไปวัดอีกทีแบบคนรู้ขนบ รู้สิ่งที่จะไปเรียนรู้เอา แต่จะไม่ไปแบบแก่วัดแก่วา
-เวลาแสดงความคิดเห็นในด้านศาสนา ฉันต้องออกตัวว่า ฉันว่า ทัศนะของฉันว่า อาจจะเป็นอคติ จงพิจารณาให้ดี ผู้หญิงหลายคนอยากจะไปปฏิบัติแบบฉันบ้าง หลายคนเริ่มเตรียมตัว สิ่งที่ฉันบอกกล่าว คือ ในทัศนะของฉันการไปปฏิบัติระยะยาว ต้องดูที่จริตของเจ้าอาวาส ว่าตรงกับจริตของเราผู้จะปฏิบัติหรือไม่ เพราะจริตนั้นมันนำไปสู่การปฏิบัติ...และการปฏิบัติที่ทุกคนตั้งใจจะไปสัมผัสคือ การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ชอบอะไรให้เลือกอันนั้น
-ฉันติดการกินผัก วัดที่ฉันไปอยู่นั้นญาติโยมนำผักพื้นบ้านมาถวายไม่ได้ขาด คนวัดเองก็ปลูกไว้บริโภค ฉันมีหน้าที่ไปเก็บดอกแคนาซึ่งจะบานและร่วงในตอนเช้าตรู่ ...ยังคิดถึงความรู้สึกดีดีตอนนั้นได้แม้ว่าจะต้องรบกับมดแดง หลวงตาเองก็เป็นนักบริโภคผักตัวยง พาข้าวถวายหลวงตาจะขาดผักไม่ได้เลย นับว่าฉันได้มีการมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการบริโภคเพราะได้ทำเป็นประจำเป็นระยะเวลาที่มากพอ....มันทำไปสู่คำพูดที่ว่า...”นิสัยหน่ะปรับเปลี่ยนได้...ถ้าจะเปลี่ยน”
- 3 เดือนระหว่างการปฏิบัติ ฉันไม่ดูทีวี มันเสี่ยงต่อการผิดศีล 1 ใน 8 ข้อ ทำให้ฉันไม่ติดโทรทัศน์ กลับมามนุษย์โลก ทำให้ต้องมาหัดดูทีวี ดูข่าว เพื่อที่จะพูดกับคนอื่นเค้ารู้เรื่อง และให้สารสนเทศประกอบการทำงานและการดำเนินชีวิตต่อไป
-วันแรกของการไปทำงาน ฉันไม่อยู่บ้าน 91 วัน กลับออกจากวัดมามีเวลา 13 ชม.ก่อนตื่นไปทำงานในเวลา 08.00 น. ฉันนั่งจ้องตู้เสื้อผ้า ตรูจะใส่ชุดอะไรไปทำงานดี ช่วงที่ผ่านมาใส่แต่ชุดขาว หรือเสื้อขาวกับผ้าถุง แถม งง ตอนแต่งหน้าไปทำงาน เป็นว่าทาแก้มก่อนทาครีมรองพื้น อ้าววววว ตอนฝึกสมองกันใหม่
มีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันเลิกเล่นบทแม่ชีแล้ว แต่มันก็ปรับเปลี่ยนนิสัยตลอดจนแนวคิด แนวคิดของฉันชัดเจนและหลากหลายสีมากขึ้น มันทำให้คิดถึงทฤษฏีหมวก 6 ใบของดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน่ (Six Thinking hats) หลังจาก 3 เดือนมานี้มันทำให้ฉันหยิบหมวกที่ฉันมีขึ้นมาใช้ได้ตรงสถานการณ์มากขึ้น รู้มากขึ้นที่จะหยิบหมวกมาใส่ร่วมกับเสื้อผ้าหรือที่เป็นอยู่ เรื่องแบบนี้ไม่ลองด้วยตนเองก็ไม่รู้หรอก แม้ว่าราชการจะไม่อนุญาตให้ฉันไปเป็นแม่ชีตามกฏหมายอีก แต่ถ้าว่างเมื่อไหร่ฉันตั้งใจจะไปกราบขอศีล 8 บ้างเป็นบางวัน เพื่อให้ตนเองได้ฝึกจิต ฝึกปฏิบัติและเรียนรู้ต่อไป
ฉันก็ได้แต่หวังว่าหลวงตา หลวงพี่ทั้งหลาย คงจะรับความอินดี้ของฉันได้และเมตตาฉันเช่นที่ผ่านมา แม้ฉันไม่ใช่พุทธศาสนิกชนดีเด่น
ไม่มีความเห็น