สารภาพกันอย่างไม่อายตรงนี้เลยว่า ก่อนหน้านี้หากจำต้องพูดถึงกิจกรรมชมรมรุ่นสัมพันธ์ ผมมักให้ความสำคัญกับโครงการ “ความรู้นี้พี่ให้น้อง” มากกว่าโครงการอื่นๆ
แต่เอาเข้าจริง- ครั้นมีโอกาสได้สัมผัสลึกกับโครงการอื่นๆ ถึงกลับอยากตบกะโหลกกะลาตัวเองแรงๆ เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่มีชื่อว่า “จุดประกายไฟใส่สีความฝัน” นั้นพอได้เปิดใจศึกษาจริงๆ จังๆ กลับสัมผัสได้ว่ามีความน่าสนใจไม่แพ้โครงการอื่นๆ
โครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝัน ถือเป็นกิจกรรมเชิงประเพณีนิยมอีกกิจกรรมหนึ่งของชมรมรุ่นสัมพันธ์ที่ถูกขับเคลื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่มากับโครงการความรู้นี้พี่ให้น้อง จากวันนั้นจวบจนปีนี้ (2558) โครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝันได้แตกเนื้อหนุ่มและเป็นสาวเต็มตัว เพราะมีอายุถึง 14 ปี – หรือ 14 อีกครั้งแล้วนั่นเอง
ล่าสุดโครงการจุดประกายไฟใส่สีความฝัน ครั้งที่ 14 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2558 ณ โรงเรียนคำสร้อยพิทยาสรรค์ อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ประกอบด้วยวัตถุประสงค์หลักคือการแนะแนวการศึกษาแก่นักเรียนและการพัฒนาศักยภาพ หรือทักษะชีวิตของสมาชิกในชมรมผ่านกิจกรรมการบริการสังคมตามครรลองจิตสาธารณะที่เชื่อมโยงกับปรัชญามหาวิทยาลัย (ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน) และอัตลักษณ์นิสิตที่ว่า “เป็นผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน”
กิจกรรมครั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6
การแนะแนวการศึกษาที่ว่านี้ไม่ได้มุ่งเน้นว่าให้นักเรียนต้องทะลักเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเสียทั้งหมด หากแต่กระตุ้นให้นักเรียนเกิดมุมมองต่อการพัฒนาชีวิตผ่านระบบและกลไกของการศึกษาตามความสนใจของตนเองเป็นสำคัญ
เรียกได้ว่าสนใจอะไรก็เลือกที่จะขีดเส้นชีวิตตนเอง หรือเรียนรู้ที่จะตั้งเป้าหมายชีวิตตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ใช้ชีวิตแบบวันต่อวันไร้แรงบันดาลใจและไร้เป้าหมายชีวิต
ในทำนองเดียวกันก็รวมถึงการแนะแนวเพิ่มเติมในสาระวิชาต่างๆ เพื่อสร้างกระบวนการของการทบทวนความรู้ และกระตุ้นให้เกิดการเตรียมความพร้อมในนักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างจริงๆ จังๆ
เช่นเดียวกับการสอดแทรกสาระความเป็นชีวิตของวัยรุ่น หรือเยาวชนไทยให้กับนักเรียน เพื่อให้พวกเขาเข้าใจและตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองในฐานะพลเมืองของสังคม โดยเริ่มตนจากการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
สร้างคน สร้างงาน สร้างการเรียนรู้ข้ามสายวิชาชีพ
ด้วยเหตุที่กิจกรรมหลักคือการแนะแนวการศึกษา จึงมองได้ว่าทีมงานย่อมมอบหมายให้นิสิตแต่ละคณะ ได้รับผิดชอบการแนะแนวการศึกษาในวิชาชีพตนเองเป็นหลัก
แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไม่เป็นเช่นนั้น-
โครงการนี้ได้กำหนดให้นิสิตที่สมัครเข้าร่วมโครงการทุกคนได้แสดงความสามารถของตนเองในด้านต่างๆ โดยไม่เจาะจงด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อคัดเลือกเข้าสู่ “สายงาน” ของการเป็น “พี่บอร์ด” เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้บรรยาย หรือผู้แนะแนวการศึกษา ซึ่งหลักๆ แล้วจะต้องมีบุคลิกภาพที่ดี พูดจาฉะฉาน มีวาทศิลป์ กล้าแสดงออก มีไหวพริบในการสื่อสารและตอบคำถาม รวมถึงมีอัธยาศัยที่ดี
และที่สำคัญคือ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นพี่บอร์ดหาใช่จะได้แนะแนวการศึกษาในวิชาชีพตนเอง ตรงกันข้ามกลับต้องทำหน้าที่แนะแนวการศึกษาเกี่ยวกับคณะอื่น หรือวิชาชีพอื่น !
ใช่ครับ-มองในมุมอีกมุม เหมือนการ “ใช้คน ไม่ตรงกับงาน” สุ่มเสี่ยงต่อการล้มเหลวไม่ใช่ย่อย มันเหมือนพัฒนาคนบนฐานที่ไม่ใช่ตัวตนของเขานั่นเอง
แต่ก็อย่างว่า - ทุกๆ กิจกรรมย่อมมีปรัชญาการเรียนรู้เป็นของตนเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเปิดใจเรียนรู้บนฐานวัฒนธรรมของกิจกรรม หรือองค์กรนั้นๆ แค่ไหน
ประเด็นดังกล่าวนี้ เหล่าบรรดาแกนนำชมรมฯ ได้อธิบายถึงหลักคิดของการออกแบบกระบวนการดังกล่าวให้ผมฟังอย่างตรงไปตรงมาประมาณว่า ...
ครับ-ฟังดูก็เข้าท่าไม่ใช่ย่อย เสมือนการฝึกให้คนเราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆที่อยู่รายรอบตัว เหมือนการเรียนรู้แบบองค์รวมและไม่แยกส่วน เหมือนให้รู้ว่าโครงสร้างของต้นไม้ประกอบด้วยรากแก้ว –รากฝอย-ลำต้น –กิ่งก้าน-ใบ-ดอก-ผล ฯลฯ
ยิ่งฟังก็ยิ่งดูเหมือนว่า ทุกสิ่งอย่างล้วนมีเหตุผลของตัวเองจริงๆ
เสาะหาความรู้สู่การเผยแพร่ : การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของนิสิตที่ชวนประทับใจ
ภายหลังการคัดเลือก “พี่บอร์ด” เสร็จสิ้นแล้ว บรรดารุ่นพี่ หรือคณะกรรมการบริหารชมรมจะมอบหมายให้แต่ละคนได้รับผิดชอบคณะ/วิชาชีพที่ต้องแนะแนวการศึกษา กล่าวคือแต่ละคนจะไม่ได้นำเสนอเรื่องราวคณะต้นสังกัดของตนเอง พร้อมๆ กับการจัดกลุ่มจัดทีมให้กับน้องๆ อย่างเสร็จสรรพเพื่อป้องกันมิให้แต่ละคนเกาะกลุ่มอยู่แต่กับเพื่อนเก่าจนไม่เปิดพื้นที่สู่การเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ กับเพื่อนใหม่ๆ
หรือกระทั่งการไม่เปิดใจที่จะเรียนรู้เรื่องเก่าๆ กับเพื่อนใหม่ๆ
ใช่ครับ-ฟังดูก็คงไม่มีผิดไม่มีถูกอีกตามเคย ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลในตัวเองเสมอ
ถัดจากนั้นแต่ละกลุ่มจะเริ่มต้น “เสาะหาความรู้” (ข้อมูล) ของคณะที่ตนเองได้รับมอบหมายร่วมกัน โดยทีมงานหลักจะไม่ได้ชี้เป้าว่าต้องเสาะแสวงหาความรู้จากที่ใด หรือใช้กระบวนการใดในการเสาะหาความรู้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว แต่ละกลุ่มจะใช้วิธีการที่ไม่ต่างกันนัก เป็นต้นว่า
ครั้นได้ความรู้ หรือข้อมูลมาแล้ว แต่ละกลุ่มจะมา “โสเหล่” (เสวนา) จัดกระทำต่อข้อมูลเป็นหมวดหมู่ ออกแบบการทำงานนับตั้งแต่การออกแบบสื่อทั้งที่เป็นนิทรรศการ แผ่นพับ วีดีทัศน์ powerpoint รูปแบบการนำเสนอ มอบหมายภารกิจคนในกลุ่มว่าใครต้องทำอะไร รวมถึงการฝึกซ้อมภายในกลุ่มอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ยังไม่จบเท่านั้น- ไม่ใช่แค่ฝึกซ้อมภายในกลุ่มเท่านั้น แต่ต้องยกทีมมานำเสนอให้เหล่าบรรดารุ่นพี่และคณะกรรมการบริหารชมรมฯ ที่มากด้วยความรู้และประสบการณ์ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกระบวนการของการแนะแนวการศึกษา ทั้งในมิติที่เป็นข้อมูล – สื่อ - รูปแบบการนำเสนอ รวมถึงบุคลิกภาพ
โดยส่วนตัวผมมองว่ากระบวนการเช่นนี้น่าสนใจมาก เนื่องเพราะเป็นกระบวนการสร้างการเรียนรู้ที่เปิดพื้นที่ให้แต่ละคนได้ข้ามพ้นตัวเองไปสู่ศาสตร์อื่นๆ ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้อย่างเป็นทีม ฝึกฝนให้เรียนรู้ด้วยตนเองและทีมอย่างหลากหลายรูปแบบ แถมยังสนับสนุนให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบกิจกรรม ฝึกวิเคราะห์ข้อมูล ฝึกการสกัดข้อมูลออกมาเป็นสื่อและการสื่อสารสร้างพลัง ฯลฯ
และยิ่งมีการทดลอง/ทดสอบก่อนการปฏิบัติจริงร่วมกัน ยิ่งช่วยตอกย้ำถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้บนฐานคิดของ PDCA การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การจัดการความรู้ร่วมกัน ฯลฯ
มิหนำซ้ำการได้เรียนเชิญวิทยากรจากกองบริการการศึกษามาช่วยแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการแนะแนวการศึกษาและบุคลิกภาพของนักแนะแนวการศึกษา ยิ่งทำให้ผมเห็นภาพของการพัฒนาตัวตนของนิสิตผ่านกิจกรรมนี้อย่างน่าประทับใจ
ใช่ครับ- แปลกแต่ก็น่าสนใจ ... ไม่มีผิด ไม่มีถูก ทุกอย่างมีเหตุผลและครรลองของตัวเองเสมอ
สำหรับบันทึกนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน ... ไว้จะมาเล่าต่อ อีกครั้งนะครับ
หมายเหตุ : ภาพและเรื่องราว โดยชมรมรุ่นสัมพันธ์
และปากคำแห่งการแบ่งปัน โดย เมธี ชุ่มนาเสียว (ศึกษาศาสตร์) เพชราภรณ์ เชื้อไพบูลย์ (การบัญชีและการจัดการ) ชฏาพร อันสนั่น (วิทยาลัยการเมืองการปกครอง) อ้อมฤดี วิเศษวุฒิ (สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์) ปรัชญาพร วิชโย (วิทยาศาสตร์) รุ่งศจี คุปวานิชพงษ์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์)
มีกิจกรรมที่หลากหลายมาก
แต่ไปไกลเหมือนกันนะครับ
คิดถึงตอนเป็นนิสิตแล้วไปที่พัทลุงเลย
รู้สึก 'อิ่มใจ' ค่ะ
ครับ ดร. ขจิต ฝอยทอง
เดิมผมมองว่าโครงการนี้ คงเหมือนแนะแนวการศึกษาทั่วๆ ไป เหมือนที่เราเคยเป็นนักเรียนแล้วมีรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยฯ มาช่วยแนะแนวการศึกษา สร้างแรงบันดาลใจให้เราได้รู้สึกอยากเรียนต่อให้สูงขึ้น
แต่พอมาดูจริงๆ ประเด็น กระบวนการทำงานน่าสนใจดีครับ มีที่ไหนให้พูดในเรื่องที่ไม่ใช่วิชาชีพตนเอง 5555 แต่พอเปิดใจฟัง กลับเห็นกระบวนการสร้างคน สร้างงานอย่างน่าสนใจ มันยิ่งตอกย้ำให้ผมเชื่อและให้ความเคารพว่า ทุกสิ่งอย่างมีเหตุผล มีครรลองของมันเองจริงๆ ....
ขอบพระคุณ อ.ดารนี ชัยอิทธิพร มากๆ นะครับ
ผมใช้เวลาพูดคุยกับนิสิตกลุ่มนี้ นานพอสมควร แต่ใช้เวลาเขียนเรื่องนี้นานกว่า ถึงตอนนี้ก็ยังเขียนไม่จบ บันทึกถัดไปจะเขียนเกี่ยวกับรูปแบบกิจกรรม การเลือกพื้นที่ การสร้างการมีส่วนร่วม และผลลัพธ์ของกิจกรรม ครับ