ประเทศจีนมีการปรับลดอัตราอ้างอิงของสกุลเงินหยวนเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559 ธนาคารประชาชนจีน(PBOC)ออกแถลงการณ์ ปรับลดอัตราอ้างอิงของสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ลงมาอยู่ที่ 6.50 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้ค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดมากขึ้น และค่าเงินหยวนที่แข็งค่าเกินไปก็จะเสียเปรียบ จะส่งออกยากขึ้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียเปรียบจีนต้องยืดหยุ่นค่าเงินมากขึ้น
เหตุผลที่ทำให้ประเทศจีนลดค่าเงินหยวน
ค่าเงินหยวนอ่อนค่าอยู่ที่ 6.58 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าที่สุดในรอบ 4 ปีครึ่ง และจากนี้ไปมีทิศทางเป็นไปได้สูงที่จะอ่อนค่าลงอีก และอาจจะอ่อนค่าถึง 7.3 หยวน ด้วยเหตุผลหลัก 2 ข้อคือ 1 จีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ 2 ทำให้ส่งออกง่ายขึ้น และมีทุนทั่วโลกออกมาลงทุนในจีนมากขึ้น 3 ทำให้มีสภาพคล่องในเศรษฐกิจมากขึ้น
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย
1ทำให้ประเทศไทยค้าขายกับจีนได้ยากขึ้นเพราะจะบริหารค่าเงินบาทได้ยากขึ้น ถ้าค่าเงินบาทไม่อ่อนค่าตาม 2เสียเปรียบในแง่ส่งออก จะลำบากเพราะแข่งขันกับประเทศจีน 3ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทจะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ เช่น จะต้องอ่อนค่าลงตามเงินสกุลอื่น เช่นการส่งออกของไทยกับทุกประเทศจะรวนจากค่าเงินที่ผันผวน เพราะทุกครั้งที่ดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น เงินหยวนจะอ่อนค่า และจะทำให้เงินสกุลอื่นๆผันผวนตาม และโอกาสเกิดสงครามค่าเงินได้ง่ายขึ้น คือมีการลดค่าเงินแข่งกัน
คำแนะแนวทางปรับตัวรับมือของกลุ่มธุรกิจของไทยกับภาวะเศรษฐกิจของจีน
ประเทศไทยควรหาโอกาสในการร่วมลงทุน หรือการต่อยอดธุรกิจจากจีนในอุตสาหกรรมขนส่ง วัสดุก่อสร้าง วิศวกรรมและรับเหมาก่อสร้าง การท่องเที่ยวและภาคบริการ อสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับกลุ่มคนที่เข้ามาทำงานในไทย เช่น คอนโดมิเนียม บ้านพักตากอากาศ ตลอดจนกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร สินค้าเกษตร "แต่สิ่งที่ธุรกิจไทยต้องระมัดระวัง คือการเข้ามาแข่งขันของธุรกิจจีนในไทย เพราะจีนมีทั้งเงินทุนและเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้มีการแข่งขันด้านราคากับธุรกิจเดิม ของประเทศไทยที่มีอยู่ในตลาด
ขอบคุณความรู้ครับ