ก่อนจิตดับ


ดิฉันใช้เวลาทำใจในการจะเขียนเรื่องนี้มาสักระยะหนึ่ง เนื่องจากยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของคุณพ่อดิฉันเอง นับตั้งแต่คุณพ่อของดิฉันได้เสียชีวิตลงด้วยโรคปอดติดเชื้อเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2558 ด้วยวัย 91 ปี คุณพ่อจากไปอย่างสงบในช่วงบ่ายวันนี้น แต่สิ่งที่ดิฉันอยากจะเล่าให้ฟังคือ ก่อนหน้าที่ท่านจะเสียชีวิตลงมีเหตุการต่างๆ เกิดขึ้นเหมือนเป็นการเตือนว่าวันเวลาแห่งชีวิตของท่านใกล้จบสิ้นลงแล้ว

ดิฉันเห็นอาการของท่านก่อนที่จะถึงวันนั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่เป็นภาพติดตามาจนทุกวันนี้ อาการของคนใกล้ตาย จำได้ว่าวันแรกที่นำตัวท่านส่งโรงพยาบาล ท่านมีอาการหายใจไม่ออก สำรักเสมหะตลอดเวลา หรือที่เรียกว่าเสมหะพันคอ เป็นอาการที่อันตรายอย่างมากของคนสูงอายุ วันนั้นดิฉันรอท่านอยู่ที่ โรงพยาบาล มีรถร่วมกตัญญูนำท่านมาส่งเข้าห้องฉุกเฉินทันที ดิฉันตามเข้าไปดูท่านอาการโคม่ามาก ดวงตาของท่านลุกโพนเหมือนคนที่ถูกบีบคอหายใจไม่ออก ท่างโรงพยาบาลช่วยกันดูดเสมหะและใช้ท่อช่วยหายใจจสอดไปในปากของท่าน ตอนนั้นคิดว่าท่านคงไม่รู้สึกตัวมันเป็นอาการของคนใกล้ตาย และแล้วหมอก็ยื้อชีวิตท่านไว้ได้สำเร็จ และนำท่านออกมาพักที่ห้องด้านนอก วินาทีแรกที่ดิฉันเห็นท่าน ท่านคว้ามือดิฉันไว้และบีบมือแน่น มองดิฉันด้วยน้ำตาคลอ ดิฉันรุ้ได้เลยว่าท่านเจ็บปวดเหลือเกิน ท่านพูดไม่ได้ เพราะมีท่อช่วยหายใจเสียบอยู่ที่ปาก ท่านได้แต่บีบมือดิฉันเบาๆและหลับตาลง ดิฉันจึงพูดกับท่านเพียงว่า "ไม่เป็นไรแล้วนะคุณพ่อ ไม่ต้องกลัวอยู่กับหมอแล้วนอนพักก่อนนะ" ท่านหลับตาฟังโดยไม่ได้ลืมตามาอีก

และนั่นเป็นแค่ฉากเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนจิตดับ หรือก่อนตายนั่นเอง หลังจากนั้นดิฉันต้องพาท่านย้ายโรงพยาบาล เนื่องจากที่นี่ไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งมันยากมากกับการจะหาโรงพยาบาลใหม่ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เพราะโรงพยาบาลรัฐแต่ละที่ปฏิเสธที่จะรับคนไข้่ต่อ อ้างว่าเป็นวันหยุดไม่มีเจ้าหน้าที่ ดิฉันก็ไม่เข้าใจเหตุผลของเขา แต่มีข้อแนะนำบางอย่างคือ ถ้าจะส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลรัฐบาลในเหตุฉุกเฉินเช่นนี้ ขอให้นำตัวส่งไปเลยไม่ว่าจะเป็นวันไหน เพราะเมื่อถึงที่นั่นแล้วทางโรงพยาบาลจำเป็นต้องรับคนไข้ฉุกเฉินนี้ไว้ ควรจะเป็นโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือทางการแพท่ย์ครบ แต่โชคยังคงเข้าข้างดิฉันบ้าง ทางญาติได้สามารถติดต่อโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งได้แถวนนทบุรี จึงย้ายท่านในคืนนั้นเลย

เมื่อถึงโรงพยาบาลแห่งใหม่ได้เข้าพักในห้องรวม เตียงคุณพ่ออยู่ใกล้ประตูทางเข้าออกเนื่องจากเป็นผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังตลอดเวลา ที่นั่นสามารถเข้าเยี่ยมได้สองเวลาคือ 12:00 และ 18:00 น. ครั้งละ 1 ชั่วโมง วันต่อมาคุณพ่อมีอาการดีขึ้นบ้างแต่ยังไม่สามารถหายใจได้เองยังคงต้องใช้ท่อช่วยหายใจเสียบไปทางปากซึ่งมันทรมานอย่างมาก ไม่สามารถพูดได้เลยและเมือขยับตัวท่อก็จะทิ่มปอด ดิฉันสงสารท่านมากท่านเจ็บแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และวันต่อๆ มา ในวันที่สี่ท่านมีอาการดีขึ้นหน้าตาท่าดูสดใสขึ้น พวกพี่น้องของดิฉันเริ่มมีความหวังขึ้นมาว่าท่านคงจะหาย ท่านพูดไม่ได้แต่เขียนหนังสือบอก ดิฉันว่า เก็บของกลับบ้าน ท่านคงอยากกลับบ้าน ดิฉันจึงได้แต่บอกท่านว่านอนที่นี่อีกสองสามคืนแล้วย้ายไปห้องพิเศษจะได้มานอนเป็นเพื่อนท่านได้ และในช่วงเย็นวันนั้น พี่ชายได้มาเยี่ยมท่านเขาเล่าให้ฟังว่าขณะที่ยืนคุยข้างๆ เตียงท่านอยู่นั้น เนื่องจากเตียงของท่านอยู่ข้างประตูเข้าออก เมื่อมีคนเข้าออกท่านจะต้องเหลือบตาไปมอง แต่ตอนนั้นไม่มีใครเข้ามาท่านเหลือบตาไปมองและทำตาลุกโพรงเหมือนเห็นอะไรบางอย่างท่านมองตามจนมาหยุดที่ปลา่ยเตียง ชีพจรของท่านเริ่มเต้นเร็วขึ้นสังเกตุได้จากเครื่องวัด พี่ชายดิฉันจึงถามท่านว่า เห็นอะไรใช่หรือไม่ ท่านได้แต่พยักหน้า พี่ชายจึงบอกให้ท่านสวดมนต์ในใจและอธิฐานอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ท่านจึงหลับตาและชีพจรก็เริ่มปกติ

หลังจากดิฉันได้กลับถึงบ้าน เข้าห้องพระสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของท่าน เมื่อออกจากห้องพระเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม พี่ชายโทรศัพท์มาบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นทางโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าคุณพ่อดึงท่อช่วยหายใจออก ซึ่งอันตรายอย่างมากถ้าต้องเสียบกลับไปใหม่เพราะจะทำให้เชื้อโรงเข้าสู่ปอดได้ง่าย เช้าวันรุ่งขึ้นดิฉันรีบไปเยี่ยมท่าน สีหน้าท่านแย่ลงไปอีก ดวงตามีเส้นเลือดขึ้นรอบๆ เท้าข้างซ้ายบวมเล็บเป็นสีม่วงคล้ำ นั่นคืออาการของไตเริ่มไม่ทำงาน เริ่มมีอาการของไตวายแล้ว คุณหมอบอกว่าให้ทำใจเพราะแกมีอาการแทรกซ้อนจากไตวาย ปอดติดเชื้ออย่างรุนแรง สายตาที่ท่านมองมาทางดิฉันเริ่มสิ้นหวัง มือทั้งสองข้างถูกมัดไว้กับเตียงเพื่อกันท่านดึงท่อช่วยหายใจออก ท่านทรมานมาก พูดไม่ได้ มือก็ถูกมัดเหมือนถูกจองจำ ดิฉันได้แต่มอง อยากแบ่งเบาความเจ็บปวดมาจากท่านเหลือเกิน ก็ได้แต่คลายปมที่ผูกมือข้างขวาของท่านออกและพี่ชายก็จับมือท่านไว้ ขณะนั้นเตียงข้างๆ มีภรรยาของผู้ป่วยคนหนี่งสวดมนต์ให้สามีที่นอนป่วยฟัง คุณพ่อจึงยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกมัดตั้งขึ้นที่หน้าอกเหมือนพนมมือ ดิฉันจึงถามท่านว่าเป็นอะไรท่านชี้นิ้วไปที่เตียงข้าง ๆ แต่ตอนนั้นดิฉันไม่เข้าใจว่าคืออะไร ถ้ารู้ดิฉันคงแก้มัดมือของท่านอีกข้างให้ท่านพนมมือ หลังจากนั้นท่านก็ลับตาและไม่ลืมตามามองดิฉันอีก แต่ดิฉันเห็นน้ำตาที่ปิ่มอยู่รอบตาท่าน ดิฉันจึงนวดหัวคิ้วให้ท่านและบอกกับท่านว่า "คุณพ่อหลับให้สบายนะ ไม่ต้องห่วงใคร พวกลูกๆ จะรอเยี่ยมอยู่ด้านนอก นอนพักก่อนนะ" และนั่นคือประโยคสุดท้ายที่ดิฉันได้พูดกับท่าน และท่านก็รับรู้อยู่ และวันนั้นเมือดิฉันเดินทางกลับบ้าน เป็นเวลาประมาณ สามสี่โมงเย็น ทางโรงพบาลโทรมาแจ้งว่า คุณพ่อมีอาการหัวใจหยุดเต้น ทางโรงพยาบาลได้ปั้มหัวใจท่านและให้ยากระตุ้นไปแล้ว แต่ท่านเหมือนจะไม่ยอมรับยาแล้วหัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆ พวกเราจึงรีบย้อนกลับไปหาท่านอีกครั้่งเพื่อจะได้ดูใจท่านเป็นครั้งสุดท้าย แต่พวกเราก็ไปไม่ทันวาระสุดท้ายก่อนจิตดับของท่าน

ระหว่างที่นั่งรอนำท่านไปห้องดับจิตนั้นเอง ได้มีโอกาสคุยกับภรรยาของผู้ป่วยเตียงข้างๆ ที่สวดมนต์ให้สามีฟัง เธอเล่าว่า คืนก่อนสามีเธอมีอาการทรุดลงและบอกว่าไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวแล้วจะไปแล้ว เธอจึงถามสามีว่าทำไมไม่สู้ สามีตอบว่า "มีคนมายืนรอรับเต็มไปหมดเลย" ซึ่งภรรยาก็มองไม่เห็นใคร ดิฉันจึงคิดได้ว่าถ้าเช่นนั้นสิ่งที่คุณพ่อเห็นคืนนั้นคงเป็นผู้ที่จะมารอรับดวงวิญญาณของท่านไปเป็นแน่

ทั้งหมดที่เล่ามาจึงนำมาซึ่งเรื่องราวที่อยากจะบอกต่อกับผู้สนใจได้รับทราบเรื่องราวของจิตที่ใกล้จะดับ และก็เป็นเหตุให้ทุกวันนี้ดิฉันพยายามคิดถึงเรื่องของความตายให้เป็นธรรมชาติ ไม่กลัวที่จะตาย และหมั่นสร้างบุญกุศล และระลึกถึงบุญกุศลตลอดเวลาเพราะไม่รู้ว่าวันใดเราจะถึงวันที่เราถึงนาทีก่อนจิตดับ ดังกล่าวมา

หมายเลขบันทึก: 605434เขียนเมื่อ 26 เมษายน 2016 14:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 เมษายน 2016 14:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท