ขอบคุณภาพจาก Google....
หลวงพ่อวิริยังค์เล่าความในตอนนี้ว่า ช่วงหนึ่งพระอาจารย์มั่นฯได้พาไปพักที่วัดร้างบ้านนาสีนวน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนามนนัก เป็นหมู่บ้านเล็กๆจึงเหมาะกับการปฏิบัติ และถือเป็นโอกาสดีที่หลวงพ่อวิริยังค์จะได้พยายามไต่ถามประวัติความป็นมาของท่านอย่างละเอียด
วันหนึ่งพระอาจารย์มั่นฯได้ทักท้วงถึงผ้าสังฆาฏิของหลวงพ่อวิริยังค์ว่าขาด แม้หลวงพ่อบอกแต่เพียงว่ามันแตกตรงตะเข็บเท่านั้น ท่านก้บอกว่านั้นล่ะมันขาด ท่านอาจารย์มั่นบอกว่า "... ถ้าคุณเป็นคนมีบุญได้ทำไว้แต่ปางก่อน พรุ่งนี้คงจะมีใครสักคนนำผ้ามาถวาย เราจะตัดสังฆาฏิให้" ทำเอาหลวงพ่อถึงกับขนลุกเลยทีเดียว
เป็นการเสี่ยงบารมีของท่านอาจารย์มั่นที่มีต่อพระวิริยังค์ในขณะนั้น ช่วงสงคราม(สงครามโลกครั้งที่ ๒ )จะมีผ้าที่ไหน ชาวบ้านเองยังต้องนุ่งผ้าขาดๆกันเลย เด็กนักเรียนไปเรียนก็ไม่มีเสื้อผ้าใส่ก็มี พระเณรตามวัดต่างๆจะได้จีวรแต่ละตัวนั้นนานเต็มทีต้องปะชุนเช่นเดียวกัน
รุ่งขึ้นเวลาบ่ายโมง เสียงคนเอะอะเคาะเกราะเคาะไม้มาแต่ไกล ก็ปรากฏว่าเป็นพวกผู้คนที่มานิมนต์ท่านอาจารย์ให้ไปชักบังสุกุล แล้วเอามากองไว้ที่ชานกุฏิ และหลวงพ่อวิริยังค์ต้องอุทานในใจเมื่อเหลือบไปเห็นผ้าทำสังฆาฏิ เป็นผ้าขาวบางเนื้อดี พอที่จะตัดเป็นสังฆาฏิผืนหนึ่งได้สบายๆ ท่านอาจารย์มั่นฯจึงกล่าวว่า
"เอ้าผู้มีบุญเอาผ้านี้ไปตัดสังฆาฏิเสีย"
หลวงพ่อเล่าว่า นับเป็นบุญของท่านที่ได้มาอยู่กับผู้ทรงคุณวุฒิอย่างท่านอาจารย์มั่น แม้จะถูกโขกสับในบางครั้ง หรือถูกยกยออย่างครั้งนี้ ก็ไม่ครองตัวให้ประมาทเป็นอันขาด
ท้ายของบันทึกหลวงพ่อได้นำคำสอนของพระอาจารย์มั่นนเกี่ยวกับความฝันที่พยายามเล่าให้ฟังอยู่หลายวัน จนท่านรำคาญหรืออย่างไรไม่ทราบท่านทั้งดุทั้งด่าเป็นภาษาอีสานเปรียบเปรยว่า"เอ้อ ฝันหยังบู๋ ฝันป่นฝันปี้ ฝันคืนนี้ฝันว่าได้ส.แม่ยาย" ท่านได้พูดสอนว่าความฝันเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าใครลุ่มหลงอยุ่ในความฝันจะทำให้เป็นคนโง่เง่า... แต่ถ้าความฝันนั้นจิตบริสุทธิ์อารมณ์ต่างๆไม่ค่อยแน่นหนา การฝันนั้นจะกลายเป็นนิมิต ซึ่งไม่ใช่การละเมอเพ้อฝัน อย่างเรื่องนางสิริมหามายาสุบินนิมิต หรือพระพุทธเจ้าสุบินนิมิตในตอนจะตรัสรู้ก็ดี เป็นความหมายที่ได้ความรู้เพิ่มเติมอีกมากทีเดียว
.........................
ถอดความย่อจากหนังสือประวัติการสร้างพระพุทธรูปหยกใหญ่ที่สุดในโลก....
ขอบคุณ บันทึกเรื่องราวดีดีนี้ค่ะ