********************************
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ผมได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพิจารณา แท้-เก๊ ในพระกลุ่ม จำนวนพระรอดทั้งหมดที่ผมมีมากพอจะเข้าหลักสถิติได้ โดยพุ่งเป้าไปที่พระรอดมหาวัน เพื่อเตรียมการจัดการความรู้ ให้ทันการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่อยุธยา ปลายเดือนนี้
และบัดนี้ ผมก็ได้เริ่มตกผลึกแนวคิด เข้าไปวิเคราะห์ที่มาของหลักการที่คนรุ่นก่อนได้กำหนดไว้ ทั้ง “ตำหนิ” “เนื้อมาตรฐาน” และ “พิมพ์มาตรฐาน” ว่าน่าจะมีที่มาอย่างไร
เนื่องจาก ทั้งสามหลักการดังกล่าวเป็นหลักที่เคยเป็นกำแพงที่ปิดกั้นระบบคิดวิเคราะห์ของผมมาตลอด ที่ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมาก มาเป็นเวลาหลายปี ค่อยๆทะลวงแนวคิดออกมาทีละด้าน
เมื่อหักผ่านกำแพงกั้นความคิด ทั้งสามด่านนี้แล้ว จึงนำความคิดและข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียงใหม่ โดยเริ่มจากหลักการที่ควรจะเป็น ในการพิจารณา 5 ประเด็น คือ (1) เนื้อ (2) พุทธศิลป์ (3) กลุ่มพิมพ์ (4)แม่พิมพ์(บล็อก) และ (5)ตำหนิ ตามลำดับ
เพื่อง่ายต่อการใช้และเข้าใจ ผมจึงตัดคำอธิบายยาวๆ ให้เหลือสั้นๆ เป็นการใช้ “หินผุ + พุทธศิลป์”
กล่าวคือ ให้จำแนกให้ชัด โดยดูเนื้อว่าเหมือน “หินผุ” หรือไม่ โดยดูจาก เนื้อแกร่งแข็งแบบหิน มีผิวผุบางๆ พร้อมสนิมบางๆ ชั้นผิวหินผุอาจจะหนาบางไปตามชนิดของหินที่ใช้ ซึ่งจำเป็นจะต้องเรียนรู้จากการดูผิวหินอัคนีชนิดต่างๆ ในธรรมชาติ (ที่ไม่เคยหลอกใคร) ให้ชินตา จึงนับได้ว่า “ดูเนื้อเป็นแล้ว”
ในขั้นของพุทธศิลป์นั้น อาจจะต้องอาศัยความสนใจ ทักษะการจดจำ และทำความเข้าใจด้านศิลปะ แบบเดียวกับการจำลายมือของใครสักคนหนึ่งได้ จากการดูบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ ก็จะจำได้ไม่มีวันลืม ถึงแม้จะมีคนอื่นมีลักษณะลายมือใกล้เคียงกัน ก็อาจจะมีความแตกต่างให้เห็น หรือดูสำนวนการใช้ภาษา ที่น่าจะมีความแตกต่างกันแน่นอน ที่ในเชิงอุปมานี้ ก็คือการตรวจสอบกลับไปมาที่เนื้อและพุทธศิลป์นั่นเอง
นี่คือคำตอบที่ผมได้จากการวิเคราะห์เพื่อถอดรหัสของการดูพระรอด กรุวัดมหาวัน ที่ผมเคยหลงงมอยู่ในค่ายกลขององค์ความรู้แบบ “ครึ่งเสี้ยว” มานาน
ไม่มีความเห็น