การปฏิเสธคัมภีร์หรือตัวอักษร
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐานสายนามรูปของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภนั้น ท่านสอนไม่ให้ยึดติดในคัมภีร์หรือตัวอักษร เพราะการเจริญสติตามแนวนี้เน้นการรู้สึกตัว ตื่นตัว รับรู้ความจริงหรือสัมผัสกับธรรมชาติตรง ๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการคิดด้วยเหตุผลและด้วยความจำหรือสัญญา ท่านสอนว่าความรู้ที่เกิดจากความคิดก็ดี เกิดจากสัญญาความจำก็ดี เป็นเพียงเงาของความจริงไม่ใช่ตัวความจริง เพราะตัวความจริงแท้ต้องเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะเท่านั้น ความรู้ที่เกิดจากการคิดปรุงปรุงแต่งเป็นความจริงในอนาคต ส่วนความรู้ที่เกิดจากสัญญาก็เป็นความจริงในอดีต เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ตัดความคิดที่เกิดจากการใช้เหตุผลและความรู้ที่เกิดจากสัญญาความจำ เพราะมันทำให้การรับรู้ที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติเสียไป หลวงพ่อเทียนจึงสอนให้เราออกจากความคิดมาอยู่กับความรู้สึกตัว
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐานของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภนั้น สอนให้ไม่ยึดติดกับตำราหรือตัวอักษร เพราะฉะนั้นคนที่เป็นนักปริยัติหรือผู้หมกหมุ่นตำราและทฤษฎีจะไม่ประทับใจในแนวทางการปฏิบัติสายนี้ เนื่องจากรูปแบบการปฏิบัติและการตีความคำสอนจะขัดกับสิ่งที่เราเคยศึกษามาแทบทั้งสิ้น ซึ่งตรงนี้เหมือนกับแนวทางของพระพุทธศาสนานิกายเซนที่สอนให้ “ฉีกตำรา” ทิ้งเสีย มีเรื่องเล่าของนิกายเซนว่ามีศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งเดินทางไปศึกษาธรรมกับพระอาจารย์เซนชื่อดัง ระหว่างที่นั่งสนทนาธรรมกันพระอาจารย์เซนก็หยิบกาน้ำชาขึ้นรินลงในถ้วยชาจนน้ำชาล้นถ้วยและไหลออกมา อาจารย์มหาวิทยาลัยท่านนั้นก็ร้องบอกว่าน้ำชาล้นแล้ว พระอาจารย์เซนก็ตอบว่าเหมือนกับท่านที่เป็นชาล้นถ้วยจนไม่สามารถใส่เปิดรับความรู้ใหม่ ๆ ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะมาศึกษาเซนต้องทำตัวเป็นถ้วยชาที่ว่างเปล่า พร้อมที่จะเปิดรับความรู้ใหม่ ๆ ตัวเองก็เคยตั้งข้อสังเกตว่ามีความเหมือนกันโดยบังเอิญ คือปรมาจารย์เซนผู้ยิ่งใหญ่ของจีนอย่างท่านเว่ยหลางผู้เป็นสังฆปรินายกองค์ที่ ๖ เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ และหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภก็เป็นผู้ไม่รู้หนังสือเหมือนกัน
ไม่มีความเห็น