เมื่อแสงอรุณเริ่มจับขอบฟ้าเป็นประกาย สีแสดทองอร่าม ดั่งเป็นสัญญาณให้หมู่นกกาเริ่ม สลัดปีกบินออกจากรัง เพื่อเสาะแสวงหาอาหาร
สัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ต่างรู้หน้าที่ของตน จะด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ล้วนมีหน้าที่และความต้องการของตนเอง
ภิกษุหนุ่มก็เช่นเดียวกัน เมื่อเก็บข้าวของอัฐบริขารเรียบร้อยแล้ว
พระหนุ่มก็ออกบิณฑบาตโปรดหมู่สัตว์และทำหน้าที่ของตน
ระหว่างทางเดินบิณฑบาตนั้น พระหนุ่มสังเกต เห็นว่า มีชาวบ้านมารอใส่บาตรหลายคน
หรือแถวนี้จะมีหมู่บ้าน ผู้คนที่มาใส่บาตรเช้านี้ดูสำรวม เรียบร้อย ผิดกับชาวไร่ชาวนาชาวป่าชาวดอยทั่วไป
พระหนุ่ม จึงอดคิดสงสัยในใจไม่ได้ แต่ก็ยังคงทำหน้าที่โปรดสัตว์ ต่อไปอย่างสำรวมระวัง
เมื่อเดินผ่านต้นตะเคียนใหญ่ ประมาณ ๕ คนโอบ ซึ่งบริเวณนั้นมีแอ่งน้ำใกล้ ๆ
พระหนุ่มรู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องท่านอยู่ตลอด เวลา แต่ก็ไม่เห็นใครเลยสักคน...
แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน แต่อากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งวัน จนบางครั้งก็รู้สึกหนาว
โดยเฉพาะเมื่อลม พัดผ่านต้องกายของท่าน พระหนุ่มจึงต้องเอาผ้าสังฆาฏิมาห่มซ้อนอีกชั้น
เพราะเกรงว่าจะไม่สบาย
บ่ายแก่ ๆ ประมาณสามโมง มีโยมผู้ชายห้าคนเดินเข้ามาหาพระหนุ่ม
พระหนุ่มก็ตอบว่า “มาจากถ้ำภูควายเงินที่เชียงคาน ที่อยู่ในเขตจังหวัดเลย”
อุดมการณ์ที่ว่านี้คือ การทำลายความป่าเถื่อนออกจากจิตของตนเสีย ทุก อย่าง ก็เป็นสุขได้ ด้วยวิธีทำใจให้สงบ
โยมลองทำดูนะ หายใจเข้าให้มีสติรู้ตลอดทั้งลมเข้าและลมออก
ในที่สุดโยมเหล่านั้นก็ก้มลงกราบพระภิกษุหนุ่มแล้วลาจากไป ด้วยสีหน้ามึนงง
พระภิกษุหนุ่มจึงทำภัตตากิจให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มการปฏิบัติธรรม
ในรูปแบบการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ ไปตลอดทั้งวัน
พระหนุ่มนั่งสมาธิจนพระอาทิตย์ตกดิน ท่ามกลางค่ำคืนอันดึกสงัด มีแต่เพียงเสียงสัตว์ร้อง เป็น เสียงนก กา ค่าง บ่างชะนี เป็นบทเพลงขับกล่อมตามธรรมชาติ
แต่บางครั้งก็เป็นเพลงที่โหยหวน น่าสะพรึง กลัวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เสือ ช้าง หรือสัตว์ดุร้ายอื่น ๆ
เมื่อพระหนุ่มเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็นั่งสมาธิต่อมิให้ ขาดช่วง ระหว่างนั้นเวลาประมาณ ๓ ทุ่มกว่า ๆ
“การฟังธรรมเป็นการดี แต่ถ้าจะให้ดี เมื่อฟังแล้ว ให้นำไปปฏิบัติกันด้วย
เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข ของชีวิตทำใจให้สงบไม่เบียดเบียนตนเองและ ผู้อื่น
เพราะธรรมทำให้คนสูงก็ได้ต่ำลงก็ได้ ทำบาปก็ได้ ทำบุญก็ได้
เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องของ จิตใจเป็นเรื่องของความดี เป็นวิธีเข้าหาความสุข ความสงบใจได้ทุกเมื่อ
การเวียนว่ายตายเกิดมา อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ก็อาศัยจิตที่ดี อาศัยจิต เป็นพื้นฐานที่เป็นบุญเป็นกุศล และบุญกุศล
นั้นแหละ จะเป็นตัวนำพาให้ไปเกิดในภพใหม่อีกต่อไป”
เมื่อพระภิกษุหนุ่มแสดงธรรมจบลง โดยใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง กลิ่นดอกไม้หอมก็หายไปโดยอัตโนมัติ และผู้ที่นั่งฟังธรรมก็หายไปทันที
สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นเสือเดินวนรอบ ๆ กลด พวกมันเดินอยู่ เป็นเวลานาน ดูจากลักษณะแล้วไม่น่าจะเป็นมิตรนัก
แต่พระภิกษุหนุ่มก็หาหวาดกลัวไม่ ท่านนั่งภาวนาเจริญ เมตตาให้กับเหล่าเสือสมิงเหล่านั้น
เสือบางตัวก็ตัวใหญ่น่ากลัวมาก แต่เสือเหล่านั้นก็ไม่จู่โจมเข้ามาในกลด ของพระหนุ่ม
ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงมุ้งบาง ๆ คลุมพระหนุ่มอยู่เท่านั้น
และก็เป็นโชคดีอีกครั้งที่พระภิกษุหนุ่มไม่ได้ ออกมาแสดงธรรมข้างนอกกลด
เพราะโดยปกติพระภิกษุหนุ่มเมื่อจะแสดงธรรมจะออกมานอกกลดทุกครั้งไป แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ จึงอยู่รอดปลอดภัยจากเสือสมิง
การปักกลดทุกครั้งพระจะต้องท่องมนต์คาถาป้องกันสิ่งชั่วร้าย
นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของคาถาและความดีที่พระหนุ่มรักษาไว้ แต่เสือสมิงเหล่านั้นก็ยังไม่หนีไปไหน
คนโบราณเล่ากันว่า เวลาพระตีฆ้องเสียง ดังในเวลาตี ๓ เมื่อดวงจิตวิญญาณได้ยินเสียง ก็จะรีบเดินทางกลับเข้าสู่ที่อยู่ของตน
เพราะจะแพ้อากาศ และทำให้พลังหมด จะจริงเท็จแค่ไหนให้ลองศึกษาสืบค้นกันดูเอง
พอรุ่งเช้าพระภิกษุหนุ่มก็เดินออกมานอกกลด มองซ้ายมองขวา แล้วแผ่เมตตาสัก ๒๐ นาที และก็ ออกบิณฑบาตตามปกติ
จนกระทั่งยามรัตติกาลแห่งราตรีมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง เวลาประมาณ ๔ ทุ่ม
ก็มีเสียงคนเดินมาตามป่าห่างจากที่พระภิกษุหมุนปักกลดอยู่ เสียงเดินนั้นค่อยดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พระหนุ่มก็นั่งอยู่ ในกลด ไม่ยอมออกมา
จนเสียงของเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้มาก เป็นชายประมาณ ๗-๘ คนมาขอฟังธรรม
พระภิกษุหนุ่มก็นั่งหลับตานิ่ง ๆ มีเสียงชายคนหนึ่งเรียกพระคุณเจ้าช่วยด้วย พระคุณเจ้าช่วยด้วย
แล้วเสียงนั้น ก็เบาลง ๆ พระภิกษุหนุ่มลืมตาขึ้นมามองผ่านความมืด มองตามเสียงไปเห็นเจ้าของเสียงติดอยู่บนต้นไม้ใหญ่
และมีหลายคน ตามองดูแต่ใจกลับภาวนาไม่หยุด แล้วพระหนุ่มไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
เมื่อเห็นหัวคน และตัวคนหายเข้าไปในต้นไม้
ท่านจึงสงสัยว่าพวกนี้เป็นใคร หรือจะเป็นพวกบังบดหรือว่า พวกลับแลกันแน่ และเสียงก็ดังเข้ามาใกล้ ๆ อีก
ครั้นรุ่งเช้า พระหนุ่มก็เตรียมตัวจะเก็บกลดแต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ก็อยากพิสูจน์อีกครั้งให้ได้
คำตอบว่าคืออะไร สิ่งที่เห็นนั้นเป็นอะไรกันแน่
พระภิกษุหนุ่มก็เลยอธิษฐานจิตปักกลดที่เดิมอีกคืนหนึ่ง และก็ตัดสินใจอธิษฐานจิต
ขีดเส้นเป็นวงกลมรอบ ๆ กลด พร้อมกับสวดคาถาป้องกันไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาท
ในค่ำคืนนี้ และแล้วเวลาที่พระหนุ่มรอคอยก็มาถึง...
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนประมาณเที่ยงคืน ก็มีเสียงร้องไห้ออกมา
พร้อมคำร้องขอว่า ช่วยด้วย ๆ เหมือนเสียงคนถูกตีถูกทำร้าย
พระภิกษุหนุ่มก็นั่งภาวนาสำรวมจิตให้มั่นคงแน่วแน่มากขึ้นจนแยกกายแยกจิต แล้วเข้าสมาธิลึกขึ้น
ขณะเดียวกันที่ลืมตาขึ้นมา
ท่านก็เห็นคนเดินตรงเข้ามายังกลด เหมือนจะมุ่งมา ทำร้ายพระภิกษุผู้อยู่ในกลด
พอมาถึงเส้นที่ขีดไว้เขาก็หยุดชะงัก และกลายร่างจากคนกลายเป็น เสือไปในทันที
คนที่สองตัวรูปร่างเป็นคนแต่มีขนเป็นเสือเต็มตัวทันทีอย่างไม่น่าเชื่อ
พวกมันไม่ สามารถเดินผ่านเส้นที่ขีดเข้ามาได้ ถ้าไม่เห็นกับตาว่าคนกลายเป็นเสือได้อย่างไร ก็คงไม่เชื่อ
ที่เขาเรียกกันว่า เสือสมิง หญิงแปลงตัวเป็นชายพอกลายร่างคืนมาก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด
พระภิกษุที่เดินธุดงค์เคยถูกเสือสมิง ลากไปกินเป็นเหยื่ออันโอชะมามาก
ในเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดเลย กับ จังหวัดหนองคาย
เมื่อพระภิกษุ หนุ่มได้พิสูจน์ให้หายสงสัยแล้ว
วันรุ่งขึ้นจึงตัดสินใจเก็บอัฐบริขาร เพื่อออกเดินทางโดยอาศัยลำแม่น้ำโขงเป็น เส้นทางในการเดินธุดงค์ต่อไป...
จากคอลัมน์ เรื่องเล่าจากพระป่า หน้า ๙ วารสารกระแสใจฉบับที่ ๑๖
สามารถติดตามอ่าน หรือศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
http://www.watpacharoenrat.org/home/medial.php?pri...จากคอลัมน์ เรื่องเล่าจากพระป่า หน้า ๙ วารสารกระแสใจฉบับที่ ๑๖
แปลกมากเลยครับ