Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ตอนที่ 14 กับดักเสือสมิง


เมื่อแสงอรุณเริ่มจับขอบฟ้าเป็นประกาย สีแสดทองอร่าม ดั่งเป็นสัญญาณให้หมู่นกกาเริ่ม สลัดปีกบินออกจากรัง เพื่อเสาะแสวงหาอาหาร

สัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ต่างรู้หน้าที่ของตน จะด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ล้วนมีหน้าที่และความต้องการของตนเอง

ภิกษุหนุ่มก็เช่นเดียวกัน เมื่อเก็บข้าวของอัฐบริขารเรียบร้อยแล้ว

พระหนุ่มก็ออกบิณฑบาตโปรดหมู่สัตว์และทำหน้าที่ของตน

ระหว่างทางเดินบิณฑบาตนั้น พระหนุ่มสังเกต เห็นว่า มีชาวบ้านมารอใส่บาตรหลายคน

หรือแถวนี้จะมีหมู่บ้าน ผู้คนที่มาใส่บาตรเช้านี้ดูสำรวม เรียบร้อย ผิดกับชาวไร่ชาวนาชาวป่าชาวดอยทั่วไป

พระหนุ่ม จึงอดคิดสงสัยในใจไม่ได้ แต่ก็ยังคงทำหน้าที่โปรดสัตว์ ต่อไปอย่างสำรวมระวัง

เมื่อเดินผ่านต้นตะเคียนใหญ่ ประมาณ ๕ คนโอบ ซึ่งบริเวณนั้นมีแอ่งน้ำใกล้ ๆ

พระหนุ่มรู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องท่านอยู่ตลอด เวลา แต่ก็ไม่เห็นใครเลยสักคน...

แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน แต่อากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งวัน จนบางครั้งก็รู้สึกหนาว

โดยเฉพาะเมื่อลม พัดผ่านต้องกายของท่าน พระหนุ่มจึงต้องเอาผ้าสังฆาฏิมาห่มซ้อนอีกชั้น

เพราะเกรงว่าจะไม่สบาย

บ่ายแก่ ๆ ประมาณสามโมง มีโยมผู้ชายห้าคนเดินเข้ามาหาพระหนุ่ม

พระหนุ่มก็ตอบว่า “มาจากถ้ำภูควายเงินที่เชียงคาน ที่อยู่ในเขตจังหวัดเลย”

อุดมการณ์ที่ว่านี้คือ การทำลายความป่าเถื่อนออกจากจิตของตนเสีย ทุก อย่าง ก็เป็นสุขได้ ด้วยวิธีทำใจให้สงบ

โยมลองทำดูนะ หายใจเข้าให้มีสติรู้ตลอดทั้งลมเข้าและลมออก

ในที่สุดโยมเหล่านั้นก็ก้มลงกราบพระภิกษุหนุ่มแล้วลาจากไป ด้วยสีหน้ามึนงง

พระภิกษุหนุ่มจึงทำภัตตากิจให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มการปฏิบัติธรรม

ในรูปแบบการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ ไปตลอดทั้งวัน

พระหนุ่มนั่งสมาธิจนพระอาทิตย์ตกดิน ท่ามกลางค่ำคืนอันดึกสงัด มีแต่เพียงเสียงสัตว์ร้อง เป็น เสียงนก กา ค่าง บ่างชะนี เป็นบทเพลงขับกล่อมตามธรรมชาติ

แต่บางครั้งก็เป็นเพลงที่โหยหวน น่าสะพรึง กลัวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เสือ ช้าง หรือสัตว์ดุร้ายอื่น ๆ

เมื่อพระหนุ่มเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็นั่งสมาธิต่อมิให้ ขาดช่วง ระหว่างนั้นเวลาประมาณ ๓ ทุ่มกว่า ๆ

“การฟังธรรมเป็นการดี แต่ถ้าจะให้ดี เมื่อฟังแล้ว ให้นำไปปฏิบัติกันด้วย

เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข ของชีวิตทำใจให้สงบไม่เบียดเบียนตนเองและ ผู้อื่น

เพราะธรรมทำให้คนสูงก็ได้ต่ำลงก็ได้ ทำบาปก็ได้ ทำบุญก็ได้

เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องของ จิตใจเป็นเรื่องของความดี เป็นวิธีเข้าหาความสุข ความสงบใจได้ทุกเมื่อ

การเวียนว่ายตายเกิดมา อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ก็อาศัยจิตที่ดี อาศัยจิต เป็นพื้นฐานที่เป็นบุญเป็นกุศล และบุญกุศล

นั้นแหละ จะเป็นตัวนำพาให้ไปเกิดในภพใหม่อีกต่อไป”

เมื่อพระภิกษุหนุ่มแสดงธรรมจบลง โดยใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง กลิ่นดอกไม้หอมก็หายไปโดยอัตโนมัติ และผู้ที่นั่งฟังธรรมก็หายไปทันที

สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นเสือเดินวนรอบ ๆ กลด พวกมันเดินอยู่ เป็นเวลานาน ดูจากลักษณะแล้วไม่น่าจะเป็นมิตรนัก

แต่พระภิกษุหนุ่มก็หาหวาดกลัวไม่ ท่านนั่งภาวนาเจริญ เมตตาให้กับเหล่าเสือสมิงเหล่านั้น

เสือบางตัวก็ตัวใหญ่น่ากลัวมาก แต่เสือเหล่านั้นก็ไม่จู่โจมเข้ามาในกลด ของพระหนุ่ม

ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงมุ้งบาง ๆ คลุมพระหนุ่มอยู่เท่านั้น

และก็เป็นโชคดีอีกครั้งที่พระภิกษุหนุ่มไม่ได้ ออกมาแสดงธรรมข้างนอกกลด

เพราะโดยปกติพระภิกษุหนุ่มเมื่อจะแสดงธรรมจะออกมานอกกลดทุกครั้งไป แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ จึงอยู่รอดปลอดภัยจากเสือสมิง

การปักกลดทุกครั้งพระจะต้องท่องมนต์คาถาป้องกันสิ่งชั่วร้าย

นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของคาถาและความดีที่พระหนุ่มรักษาไว้ แต่เสือสมิงเหล่านั้นก็ยังไม่หนีไปไหน

คนโบราณเล่ากันว่า เวลาพระตีฆ้องเสียง ดังในเวลาตี ๓ เมื่อดวงจิตวิญญาณได้ยินเสียง ก็จะรีบเดินทางกลับเข้าสู่ที่อยู่ของตน

เพราะจะแพ้อากาศ และทำให้พลังหมด จะจริงเท็จแค่ไหนให้ลองศึกษาสืบค้นกันดูเอง

พอรุ่งเช้าพระภิกษุหนุ่มก็เดินออกมานอกกลด มองซ้ายมองขวา แล้วแผ่เมตตาสัก ๒๐ นาที และก็ ออกบิณฑบาตตามปกติ

จนกระทั่งยามรัตติกาลแห่งราตรีมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง เวลาประมาณ ๔ ทุ่ม

ก็มีเสียงคนเดินมาตามป่าห่างจากที่พระภิกษุหมุนปักกลดอยู่ เสียงเดินนั้นค่อยดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พระหนุ่มก็นั่งอยู่ ในกลด ไม่ยอมออกมา

จนเสียงของเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้มาก เป็นชายประมาณ ๗-๘ คนมาขอฟังธรรม

พระภิกษุหนุ่มก็นั่งหลับตานิ่ง ๆ มีเสียงชายคนหนึ่งเรียกพระคุณเจ้าช่วยด้วย พระคุณเจ้าช่วยด้วย

แล้วเสียงนั้น ก็เบาลง ๆ พระภิกษุหนุ่มลืมตาขึ้นมามองผ่านความมืด มองตามเสียงไปเห็นเจ้าของเสียงติดอยู่บนต้นไม้ใหญ่

และมีหลายคน ตามองดูแต่ใจกลับภาวนาไม่หยุด แล้วพระหนุ่มไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง

เมื่อเห็นหัวคน และตัวคนหายเข้าไปในต้นไม้

ท่านจึงสงสัยว่าพวกนี้เป็นใคร หรือจะเป็นพวกบังบดหรือว่า พวกลับแลกันแน่ และเสียงก็ดังเข้ามาใกล้ ๆ อีก

ครั้นรุ่งเช้า พระหนุ่มก็เตรียมตัวจะเก็บกลดแต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ก็อยากพิสูจน์อีกครั้งให้ได้

คำตอบว่าคืออะไร สิ่งที่เห็นนั้นเป็นอะไรกันแน่

พระภิกษุหนุ่มก็เลยอธิษฐานจิตปักกลดที่เดิมอีกคืนหนึ่ง และก็ตัดสินใจอธิษฐานจิต

ขีดเส้นเป็นวงกลมรอบ ๆ กลด พร้อมกับสวดคาถาป้องกันไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาท

ในค่ำคืนนี้ และแล้วเวลาที่พระหนุ่มรอคอยก็มาถึง...

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนประมาณเที่ยงคืน ก็มีเสียงร้องไห้ออกมา

พร้อมคำร้องขอว่า ช่วยด้วย ๆ เหมือนเสียงคนถูกตีถูกทำร้าย

พระภิกษุหนุ่มก็นั่งภาวนาสำรวมจิตให้มั่นคงแน่วแน่มากขึ้นจนแยกกายแยกจิต แล้วเข้าสมาธิลึกขึ้น

ขณะเดียวกันที่ลืมตาขึ้นมา

ท่านก็เห็นคนเดินตรงเข้ามายังกลด เหมือนจะมุ่งมา ทำร้ายพระภิกษุผู้อยู่ในกลด

พอมาถึงเส้นที่ขีดไว้เขาก็หยุดชะงัก และกลายร่างจากคนกลายเป็น เสือไปในทันที

คนที่สองตัวรูปร่างเป็นคนแต่มีขนเป็นเสือเต็มตัวทันทีอย่างไม่น่าเชื่อ

พวกมันไม่ สามารถเดินผ่านเส้นที่ขีดเข้ามาได้ ถ้าไม่เห็นกับตาว่าคนกลายเป็นเสือได้อย่างไร ก็คงไม่เชื่อ

ที่เขาเรียกกันว่า เสือสมิง หญิงแปลงตัวเป็นชายพอกลายร่างคืนมาก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด

พระภิกษุที่เดินธุดงค์เคยถูกเสือสมิง ลากไปกินเป็นเหยื่ออันโอชะมามาก

ในเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดเลย กับ จังหวัดหนองคาย

เมื่อพระภิกษุ หนุ่มได้พิสูจน์ให้หายสงสัยแล้ว

วันรุ่งขึ้นจึงตัดสินใจเก็บอัฐบริขาร เพื่อออกเดินทางโดยอาศัยลำแม่น้ำโขงเป็น เส้นทางในการเดินธุดงค์ต่อไป...

จากคอลัมน์ เรื่องเล่าจากพระป่า หน้า ๙ วารสารกระแสใจฉบับที่ ๑๖
สามารถติดตามอ่าน หรือศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
http://www.watpacharoenrat.org/home/medial.php?pri...จากคอลัมน์ เรื่องเล่าจากพระป่า หน้า ๙ วารสารกระแสใจฉบับที่ ๑๖


หมายเลขบันทึก: 596546เขียนเมื่อ 20 ตุลาคม 2015 23:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 ตุลาคม 2015 23:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท