เมื่อเจ้ามัคคีลาพระภิกษุหนุ่ม แล้วลาลับหาย ไปกับสายน้ำ
พระภิกษุหนุ่มได้ทำหน้าที่ของความเป็นพระแก่วิญญาณเจ้ามัคคี พร้อมเก็บอัฐบริขารมุ่งหน้า เดินทางไปทาง อ.เชียงคาน ต่อไป
ท่านเดินลัดเลาะตาม ป่าเขาลำเนาไพร ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ ลำธารน้ำตก
พบเห็นฝูงวัว กระทิงแดง ฝูงลิงแสม งูจงอาง บ่างชะนี เป็นที่น่าจำเริญตาจำเริญใจยิ่งนัก
ในความงามและเสน่ห์ของธรรมชาติในป่าลึก
นอกจากนี้พระหนุ่มยังได้พบฤาษีผู้ปฏิบัติ ฌาณสมาบัติ อยู่ตามหน้าถ้ำหน้าผา หุบเหว
พระหนุ่มมุ่งหน้าเดินขึ้นถ้ำภูควายเงิน อันเป็นที่อยู่ของพญานาคใหญ่และเหล่าฤาษีจำนวน ๕ ตน
ซึ่งกำลัง บำเพ็ญสมณธรรมนั่งสมาธิอย่างเคร่งขรึม
และก็พลันมองไปเห็นฤาษีตนหนึ่ง ดูแล้วอายุประมาณ ๘๐-๙๐ ปี เดินจงกรมอยู่
พระภิกษุหนุ่มจึงเดินทางเข้าไปสนทนากับ ฤาษีตนนั้น และได้คำตอบจากฤาษีว่า
ท่านอายุหลาย ร้อยปีแล้ว และมีนามว่า ฤาษีวาสุเทพ ที่เดินทางมา จากประเทศอินเดียแถบภูเขาหิมาลัย
พระภิกษุหนุ่มก็กำลังสนใจเรื่องภูเขาหิมาลัย หรือ ป่าหิมพานต์ที่เคย ได้ยินเรื่องราวเล่าขานกันมานานแล้ว
การสนทนาธรรมกับฤาษีผู้สูงวัย ได้ความรู้เรื่องการเข้าฌานสมาบัติในอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งก็ตรงกับที่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เคยมาสอนท่านอธิบายว่า
ลังสมาธิเป็นบาทฐาน และต้องอาศัยสมาธิขั้นอุปจารสมาธิ
จิตให้นิ่ง ให้ว่าง ไม่รับรู้อะไรเลย
ทั้งอายตนะภายนอก อายตนะภายใน
-๕ ชั่วโมง
หรือการเข้าสมาบัติระยะสั้น ๆ เพียงครึ่งชั่วโมง
ถ้าเราทำได้ อย่างนี้บ่อย ๆ ทุกวันจะได้รับอานิสงส์
คือเกิดลาภที่เหล่าเทวดาจัดการให้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เทวดาก็จะไปดลใจให้คนมาหาเรา มาสนับสนุนเรา
แต่อย่าเบื่อนะ เมื่อคนมาหาเราเยอะ ๆ
เพราะจะทำให้ตกนรก ทำให้ผู้หลงติดตกนรกมามาก ต่อมากแล้ว”
แต่การฝึกการเข้าเป็นวิชาหนึ่งที่พระภิกษุจะต้อง ศึกษาและฝึกปฏิบัติให้ได้
ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เวลา เราต้องการต่อสู้กับพยาธิก็จะสามารถนำมาใช้ได้ทันที
ทำให้เราเป็นพระผู้มีคุณวิเศษก็ได้ ไม่ใช่เป็น
พระภิกษุแล้วไม่รู้เรื่องปฏิบัติ เหมือนเรามีน้ำดื่มอยู่ ในกาน้ำเราแล้ว เราจะดื่มเมื่อไรก็ได้
ดังนั้น พระภิกษุต้องรู้เรื่องกรรมฐานรู้เรื่องวิปัสสนากรรมฐานทั้งสองอย่างให้เกิดความชัดเจน
แล้วเราจะปฏิบัติไม่ผิดทางและได้เป็น พระแท้จริงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ในการเข้าฌานนั้น พระภิกษุหนุ่มเคยได้ยิน มาจาก หลวงปู่พิมพา โกวิโท และมาได้ยินจากหลวงปู่ปาน วัดปางนมโค
แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะว่าท่านทั้งสองที่กล่าวมานั้นได้ละสังขารไปหมดแล้ว
จึงทำให้ไม่ได้ฝึกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพียงแต่เคยทดลอง บ้าง นิด ๆ หน่อย ๆ
คราวนี้มาได้ยินจากปากท่านฤาษีวาสุเทพ ผู้มีอายุ ๓๐๐-๕๐๐ ปี
และฤาษีก็ชักชวนให้ ทำอยู่ทุกวัน ที่พำนักอยู่ที่ถ้ำภูควายเงิน
ฤาษีวาสุเทพ สอนว่า ฝึกการเข้าฌานตามหลักการ ๒ ระดับ คือ
. ฝึกโลกียฌาน
. ฝึกโลกุตตรฌาน
ระดับที่ ๑.ฝึกโลกียฌาน
๑.การฝึกขั้นตอนที่หนึ่ง คือ ขั้นโลกียฌาน แต่ถ้า ได้โลกุตตรฌาน ก็สามารถเข้าได้เช่นกัน
ดังในครั้งพุทธกาลมีพระอรหันต์ชอบเข้าฌาน เข้าทีเป็นเดือน เป็นปี
ท่านจึงได้เป็นเอตทัคคะด้านการเข้าฌาน สมาธิโดยการทำจิตและสติความรู้สึกเอาไว้ในอารมณ์เดียวนาน ๆ
จนจิตดับอารมณ์นิวรณ์ธรรม ที่มารบกวนใจให้สงบระงับลงได้อย่างต่อเนื่อง
๒.สามารถกำหนดเข้าฌานได้เป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็ได้
โดยอาศัยปีติเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตและขับถ่ายออกทางรูขุมขนแทน
๓.หากตายในขณะเข้าฌานจะไปเกิดในชั้นพรหมที่ ๑๐ เรียกว่า พรหมรูปฝัก ไร้ความรู้สึกทั้งหลายจาก อายตนะนั้น
แต่ไม่ใช่หลับ และไม่สัปหงก ตลอดอายุขัย อันยาวนาน
เมื่อหมดบุญกุศลก็เลื่อนขั้นลงมาเป็นชั้น ที่ ๙ จึงจะรู้สึกตัว
ประสาทหรืออายตนะภายในและ ภายนอกจึงจะทำงาน
๔.การเข้าฌานจะเข้าท่าไหนก็ได้ เช่น ท่านั่ง ท่านอน ตะแคงก็ได้
๕.การเข้าฌานส่วนมากมักเข้ากันในขั้นจตุตถฌาน เป็นส่วนมากบางทีก็เข้า อรูปฌาน
๖.การเข้าฌาน เป็นกุศลมากนับประมาณมิได้
๗.ต้องได้อภิญญา ๕ หรือ ๖ แต่การเข้าฌานทุกอย่าง ต้องฝึกให้เกิดความชำนาญ และฝึกให้ต่อเนื่อง
คือ การฝึกจิตให้ปล่อยว่าง จนไม่มีอะไรค้างติดอยู่ในจิต เช่น การภาวนาว่า
เกสา ๆ ๆ ๆ โลมา ๆ ๆ ๆ นะขา ๆ ๆ ๆ ทันตา ๆ ๆ ๆ ตะโจ ๆ ๆ ๆ ๆ
หรือ ว่าเป็น ภาษาไทยง่าย คือ
ผม ๆ ๆ ๆ ขน ๆ ๆ ๆ ๆ เล็บ ๆ ๆ ๆ ๆ ฟัน ๆ ๆ ๆ ๆ หนัง ๆ ๆ ๆ
ภาวนาไปเรื่อย ๆ ทีละอย่าง และปล่อยว่าง ให้หมดไปตลอด
จนจิตเข้าถึงอารมณ์เดียว อย่างสงบลึกลงไปเรื่อย ๆ จนตัดอายตนะ ภายในและภายนอก
ไม่เชื่อมต่อกันจึงทำให้จิต เกิดความว่าง สงบระงับจากสื่อต่าง ๆ ที่มาทาง อายตนะ ๑๒
ระดับที่ ๒. ฝึกโลกุตตรฌาน การเข้านิโรธสมาบัติ ๗
๑.เป็นโลกุตตระ ต้องได้ญาณ คือ วิปัสสนาญาณ
๒.ต้องมีฌานเข็มข้น แข็งแกร่ง ละเอียด บ่มสุกงอม หลายภพชาติ
๓.การเข้าเต็มที่แต่ละครั้งก็ ๗ วัน กำหนด ๒ วัน หรือกี่วันก็ได้ แต่ไม่เกิน ๗ วัน (นิโรธ)
๔.เป็นมหากุศลอย่างมหาศาลมากกว่าการเข้า ฌานสมาบัติ อย่างหาประมาณมิได้
๕.การเข้านิโรธ ต้องเป็นพระอริยะเจ้าขั้นอนาคามี ขึ้นไป หรือฝึกเข้าญาณโสดาบันเข้าขั้นและสกิทา คามีเข้าขั้น ฝึกความเข้มข้นจะเต็มที่ จนถึงขั้น อนาคามีและสามารถเข้านิโรธเต็มที่ ๗ วัน
๖.เมื่อถึงเวลาตายหรือละสังขารแล้วเข้าสู่พรหมชั้น สุทธาวาส ตั้งแต่ อวิหาพรหมชั้น ๑๒, อตัปปะชั้น ๑๓, สุทัสสาชั้น ๑๔, สุทัสสีชั้น ๑๕, อกทิฏฐาชั้น ๑๖ ชั้นใดชั้นหนึ่ง แล้วแต่ตามขั้นของญาณ
๗.เมื่อสามารถละกิเลสอันเป็นกามคุณทั้งห้าได้แล้ว เมื่อตายไป หรือละสังขาร หรือนิพพาน จะไม่มา เกิดอีก
เมื่อท่านฤาษีวาสุเทพพูดให้ฟังจบลง ก็เริ่มฝึก เข้าฌานให้พระภิกษุหนุ่มเห็นทันที
ท่านนั่งอย่างสงบ นานถึงสามวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นพระภิกษุหนุ่มก็ฝึกตามบ้างเหมือนกัน และก็สามารถฝึกนั่งได้ดีเป็นที่น่าพอใจ
พระภิกษุหนุ่มก็ปักกลดอยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำภูควาย เงินเป็นเวลา ๙ วัน ๙ คืน ในคืนวันที่ ๗ นั้น
ขณะที่เดินจงกรมอยู่เป็นเวลา ตีสอง ก็มีชายคนหนึ่งเดิน เข้ามาหาแล้วถามเป็นภาษาอีสานว่า
“ พระคุณเจ้าชอบหม่องนี้บ่อ ถ้าชอบผมซิถวาย ให้มาอยู่นี้เลย”
(แปล พระคุณเจ้าชอบที่ตรงนี้ไหม ถ้าชอบผมจะถวายให้มาอยู่นี้เลย)
พระภิกษุหนุ่มก็ตอบว่า ชอบแต่ไม่อยู่ เพราะอาตมา ไม่ต้องการอยู่ อาตมามาเพื่อจะไป ไม่ได้มาเพื่อจะอยู่
ชายผู้เฒ่าอายุประมาณ ๗๐-๘๐ กว่าปี ชวนอีกว่าถ้า พระคุณเจ้าอยู่ผมจะช่วยให้ทำได้สำเร็จ เพราะผม มีสมบัติมาก พระคุณเจ้าตามผมมาซิผมจะพาไปดู
พระภิกษุหนุ่มก็กำหนดในจิตว่าแผ่เมตตาเดินตาม ชายผู้เฒ่าชราภาพไป ลงไปในถ้ำอย่างง่ายดาย
เหมือนเข้าไปในห้องโถงใหญ่กว้างประมาณ ๑๒ เมตร มีห้อง เล็ก ๆ ประมาณ ๓ ห้อง
เฒ่าชราคนนั้นก็ค่อย ๆ เปิด ประตูออกทีละห้องทั้ง ๓ ห้อง แล้วพูดว่า
“พระคุณเจ้าจะกลัวอะไรว่าจะไม่มีคนช่วยโยมยินดี ช่วยทุกอย่างรัตนะทั้งสามห้องนี้โยมจะยกถวาย
พระคุณเจ้าและบริวารของผมก็จะมาช่วยพระคุณเจ้าอีกหลายร้อยคนที่อยู่หมู่บ้านโน้น”
พร้อมกับชี้มือไปพระภิกษุหนุ่มก็มองตามมือของ ผู้เฒ่าที่ชี้ไป เห็นผู้คนทั้งชายและหญิงเป็นจำนวนมาก
ขณะนั้น พระภิกษุหนุ่มกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจว่า เราถูกหลอกหรือเปล่า
เสียงชายผู้เฒ่าก็พูดขึ้นว่า “โยมไม่หลอกท่านหรอก”
พระภิกษุหนุ่มพูดขึ้นว่า
“อาตมายังไม่มีความสามารถที่จะรับทรัพย์ของโยมได้หรอก
เพราะทรัพย์เหล่านี้ไม่ใช่ของอาตมา เป็นสมบัติของแผ่นดิน
และทรัพย์เหล่านี้ก็มีเจ้าของผู้คุ้มครองดูแลรักษาอยู่แล้ว”
ชายผู้เฒ่าก็ได้กล่าวว่า
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้โยมจะมาหาท่านใหม่ บางทีท่านอาจจะเปลี่ยนใจ แต่โยมชอบท่าน อยากให้ท่านอยู่ที่นี่”
แล้วก็เดินออกจากถ้ำและหายไปอย่างรวดเร็ว
พอรุ่งเช้าประมาณ ๗ โมงเช้า ท่านฤาษีวาสุเทพเดินมา ทักว่าเป็นอย่างไรท่าน
เมื่อคืนมีโยมมาหา ชอบไหม
พระภิกษุหนุ่มตอบอย่างเรียบเฉยว่า ครบวันที่อาตมา จะเดินทางแล้ว
ตามที่ตั้งจิตอธิษฐานในการปักกลดไว้ ตามสัจจะที่ตั้งไว้
ท่านฤาษีอาตมาลาท่านเลยนะ
ฤาษีตอบว่า “ขอให้มีชัยตลอดกาล”
พระภิกษุหนุ่มเมื่อเก็บบริขารเสร็จแล้วก็นั่งแผ่เมตตา ให้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ที่ได้ให้อาศัยอยู่บำเพ็ญ สมณธรรม ณ ที่แห่งนี้
พระภิกษุหนุ่มได้เดินทาง มุ่งหน้าไปสู่เขตอำเภอสังคม จังหวัดหนองคายต่อไป
ทำไมถึงต้องมีองค์ภาวนา
เพราะองค์ภาวนามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อ การปฏิบัติ
อุปมาเหมือนดั่งเรือที่แล่นอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ถ้ามีเฉพาะเรือแต่ไม่มีคนขับ เรือก็ไม่ สามารถที่จะแล่นไปถึงจุดหมายปลายทางได้
สติที่กำหนดองค์ภาวนาก็เปรียบเสมือนคนจับหางเสือ
หรือเหมือนกับรถที่จำเป็นจะต้องมีคนขับที่รู้จักทาง รู้จักวิธีขับรถให้เดินทางไปถึงเส้นชัยให้ได้
แต่ถ้าไม่มีคนขับจับพวงมาลัยที่เข้าใจ ที่เก่ง ก็ไม่สามารถที่จะไปถึงเส้นชัยได้เลย
รถหรือเรือ ก็จะออกนอกเส้น ทางหรือเดินทางไปได้ไม่ไกลก็จะเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง
การปฏิบัติที่จะให้ได้ผลดีร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น
ผู้ปฏิบัติจะต้องมีวิริยะ มีสติ มีสมาธิ มีความอดทน
และมีปัญญารู้เท่าทันตามความเป็นจริง ที่เรียกว่า รู้อริยสัจ ๔
รู้ตามความเป็นจริงในปัจจุบันอารมณ์นั้น ๆ
ไม่มีความเห็น