มาปลูกผักไร้ดินไว้กินกันเถอะ
พูดอย่างไม่อายเลยว่ารสนิยมในการกินของผมค่อนข้างจะแย่ ตั้งแต่เกิดจนโตมาจนถึงทุกวันนี้ ผมออกไปกินข้าวนอกบ้านแทบจะนับครั้งได้ อาหารนอกบ้านที่ผมคุ้นชินตอนที่ยังหนุ่มๆ ก็จะมีก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย ข้าวแกง ขนมจีน ถ้าจะเข้าร้านอาหารก็จะเป็นร้านลาบเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากว่าครอบครัวที่ผมเติบโตมาเป็นครอบครัวชาวนายากจนไม่ใช่หาเช้ากินค่ำนะครับ แต่เป็นหาได้ถึงจะมีกิน หาได้เช้าก็กินเช้า หาได้ค่ำก็กินค่ำ ครอบครัวอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างไปจากครอบครัวผมมากนัก เรียกง่ายๆ ว่าจนกันทั้งหมู่บ้านนั่นแหละครับ ดีที่ว่าเมื่อก่อนนั้นแถวๆ หมู่บ้านผมนั้นจะค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว อาหารตามธรรมชาติมีอยู่ทุกฤดูกาล กุ้ง หอย ปู ปลา อึ่งอ่าง กบ เขียด กุดจี่ แมงกินูน แมงกิโป่ม จักจั่น กะปอม แย้ ไก้ พังพอน กระรอก กระแต นก ไก่ป่า หนูนา งูสิง หน่อไม้ เห็ด เทา ผำ ผึ้ง มิ้ม ต่อ ฯลฯ ก็ไม่เลวนักหรอก พออายุสิบแปดผมก็ไปเรียนนักเรียนนายสิบ และเป็นทหารอาชีพตั้งแต่นั้นมา ระหว่างที่เป็นนักเรียนนายสิบครูฝึกก็จะพร่ำสอนพวกเราอยู่เสมอว่าเป็นทหารจะต้องอยู่ง่ายกินง่าย เพราะในสนามนั้นจะสั่งกินนั่นกินนี่ไม่ได้ บางสถานการณ์ไม่มีเวลาจะกิน และบางทีมีเวลาแต่ไม่มีอะไรจะกิน เพราะฝ่ายส่งกำลังบำรุงไปส่งอาหารให้ไม่ได้ ผมจึงจำฝังใจและฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายอยู่เสมอ ที่จริงแล้วผมชินชากับการอยู่ง่ายกินง่ายนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงไม่รู้สึกลำบากแต่อย่างใด ยิ่งตอนที่ผมถูกส่งไปประจำอยู่ในหน่วยรบซึ่งจะต้องใช้ความอดทนค่อนข้างสูง ในการอดทนต่อความยากลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เหนื่อย หิว และต้องอดทนกับอาหารการกินเมื่อออกสนามและออกไปลาดตระเวน ต้องทนกินข้าวกับปลาเค็มที่เค็มยิ่งกว่าเกลือ (แทบทุกมื้อ ) ยิ่งถ้าเอาเจ้าปลานี่ย่างไฟละก็ยิ่งเค็มหนักขึ้นไปอีก (จึงไม่มีใครทำ ) เจ้าปลาที่ว่านี่หน้าตามันไม่มีหรอกครับเพราะโดนตัดส่วนหัวออกไปแล้ว มันจึงมีแต่ตัวลักษณะจะคล้ายๆ กับปลาช่อน มีใครบางคนบอกว่ามันคือปลาช่อนทะเล (จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ ) เรียกว่าเป็นเสบียงหลักเวลาออกทำงานเลยทีเดียว ฉะนั้นพวกเราจึงต้องจำทน นานๆ ถึงจะได้กินเนื้อกระป๋องครั้งหนึ่ง ด้วยว่ามันเป็นของแพงจึงกินบ่อยไม่ได้ และต้องโดนหักเบี้ยเลี้ยงค่าอาหารกระป๋องเพิ่มอีกตามราคาที่ฝ่ายจัดหากำหนด ขืนกินบ่อยเบี้ยเลี้ยงไม่เหลือแน่ เจ้าเนื้อกระป๋องที่ว่านี้กินกับผักหวานซึ่งมีออกดาษดื่นตามป่าตามเขาตอนหน้าแล้ง ก็อร่อยไปอีกแบบ อาหารเสริมอีกอย่างที่หาได้ตามธรรมชาติขณะที่หยุดพักทำอาหารเย็น ก็คือ ไข่มดแดง ซึ่งมีออกเยอะแยะในหน้าแล้ง แต่ส่วนใหญ่รังมันอยู่บนยอดไม้โน่น นานๆ จะเจอรังที่พอเอื้อมถึง เป็นทหารก็ลำบากอย่างนี้แหละครับ ยังไงก็ต้องทน กลับเข้าฐานเมื่อไหร่นั่นแหละจึงจะได้กินอาหารที่ดีขึ้นมาหน่อย เพราะเป็นอาหารสด เช่นว่า แกงพังผืดวัว(บางทีควาย)ใส่ฟักทอง แกง(วิญาณ)ไก่ใส่ฟักเขียว ผัดหมูสามชั้น(ขนหนังมัน) ใส่ผักกาด บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ซื้อที่มันดีๆ ขึ้นมาหน่อย เช่น หมูเนื้อแดง เนื้อสัน เนื้อสะโพก ฯลฯ ก็ผมบอกแล้วงายยย...ว่าเขาสอนให้อยู่ง่ายกินง่าย
เพราะการกินอยู่อย่างที่ว่านี่แหละนานๆ เข้ามันก็เลยติดเป็นนิสัย ผมเองเป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว (ที่จริงคือขี้เกียจ) ก็เลยไม่มีปัญหาอันใด มีอะไรพอกินได้ก็กินไป ไม่เคยบ่น มีกินก็ดีถมไปแล้ว ปัจจุบันที่บ้านผมจะต้องมีสิ่งเหล่านี้ไม่เคยขาด (ไม่ได้ยากจนเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะครับ ได้ครูมาเป็นแม่ของลูก) คือ เนื้อหมูบด ไข่ไก่ บะหมี่สำเร็จรูป น้ำมันพืช น้ำมันหอยและผักรวม ธรรมเนียมการกินที่บ้านผมจะไม่เหมือนชาวบ้านอยู่อย่างหนึ่งคือถึงเวลากินหากใครไม่กินพร้อมกับคนอื่น อาจจะกำลังทำการบ้าน กำลังดูหนัง กำลังโทรศัพท์ ฯลฯ กฎ กติกา มารยาท ก็คือ ถ้าไม่ทันถือว่าสละสิทธิ ห้ามบ่น ถ้ามีกับข้าวเหลือก็กินที่เหลือๆ นั่นแหละ หรือไม่ก็ทำใหม่เอาเอง นั่นก็คือเหตุผลที่จำเป็นต้องมีสิ่งของที่กล่าวติดบ้านไว้ตลอด
วันหนึ่งในฤดูร้อน ผมไปเจอหนังสือเกี่ยวกับการปลูกพืชผักสวนครัวเข้า ปกหนังสือเป็นรูปผักสลัดนานาชนิดน่ากินแท้ แว้บหนึ่งในความคิดขณะนั้นก็คือเราก็อยู่ว่างๆ น่าจะปลูกผักกินเองบ้าง แล้วอีกอย่างหลานๆ ชอบกินผัก เลยเกิดอารมณ์อยากจะปลูกผักขึ้นมาตระหงิดๆ แต่ยังขาดประสบการณ์ จำเป็นจะต้องศึกษาให้ถ่องแท้และลองทำดูก่อน จึงเข้าไปหาข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการปลูกผักแล้ว เกิดความสนใจที่จะปลูกผักไร้ดิน ด้วยว่าที่บ้านไม่มีพื้นดินตรงไหนที่ว่างพอที่จะทำแปลงผักได้ ต้องปลูกผักไร้ดินไฮโดรโพนิกส์เท่านั้น บนดาดฟ้าก็ยังว่างๆ อยู่ ก็เลยแปรสภาพเป็นสวนผักเสียเลย ความรู้มีแต่ยังขาดประสบการณ์ น้องผู้หญิงคนหนึ่งซึงก็คงจะมีประสบการณ์อยู่ไม่น้อย เขียนลงในเว็บว่าหากยังไม่เคยปลูกผักไร้ดินมาก่อน แนะนำให้ปลูกแบบน้ำนิ่ง เพราะทำง่าย ไม่มีอะไรยุ่งยากและใช้ทุนต่ำ ทำสักแปลงสองแปลงก่อน เพราะหากทำมากแล้วมีปัญหาจะท้อเสียก่อน ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
แรกทีเดียวก็ทดลองปลูกก่อนสามแปลงปรากฏว่าได้ผลเกินคาด ผักงามมาก ทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่สองสามรอบ ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ จึงขยายเป็น 6 แปลง คราวนี้กินไม่ทัน ไม่เป็นไรแจกเพื่อนบ้านบ้าง ให้ลูกเอาไปฝากเพื่อนๆ ที่ทำงานบ้าง เย็นๆ พาลูกหลานไปดูสวนผักมีความสุขไปอีกแบบ จึงอยากจะชวนเพื่อนๆ มาปลูกผักไว้กินกันเถอะ รับรองว่าเพื่อนๆ ต้องทำได้ ขนาดทึ่มๆ อย่างผมยังทำได้ แล้วทำไมคนเก่งสมองเพชรอย่างเพื่อนๆ จะทำไม่ได้ มาเถอะผมจะช่วยแนะนำ แฮ่ม..
การเตรียมอุปกรณ์
แรกทีเดียวต้องเตรียมอุปกรณ์และพันธุ์ผัก แนะนำให้ลองทำ 1 แปลงก่อน อันมี
1. ปุ๋ยน้ำ A และ B ขนาด 1 ลิตรหนึ่งชุด
2. โฟมขนาด 60 x 120 เซนติเมตร หนานิ้วครึ่ง 1 แผ่น และหนา 1 นิ้ว 2 แผ่น
3. ฟองน้ำอย่างที่ช่างก่อสร้างใช้กัน ขนาด 5 x 10 นิ้ว หนา 1 นิ้ว 1 แผ่น,
4. ถุงดำใส่ขยะขนาดใหญ่สุด 1 แพ็ค
5. กาวลาเท็กซ์
6. ไม้เสียบลูกชิ้น
7. เมล็ดผักที่ชอบ ( แนะนำให้ลองปลูกกาดกวางตุ้งก่อน ) 1 ซอง
อันดับแรกเพาะเมล็ด
เริ่มตัดฟองน้ำออกเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาด 1” x 1” ชุบน้ำโดยกดให้จมน้ำลงไปจนฟองน้ำดูดน้ำจนชุ่ม และวางเมล็ดผัก ชิ้นละ 2 – 3 เมล็ดไว้ตรงกลาง ( หากกรีดฟองน้ำพอให้เมล็ดฝังตัวลงไปสัก 1 มม.ได้ก็ยิ่งดี ) เอาฟองน้ำที่ได้วางเมล็ดแล้วแช่ไว้ในน้ำ ให้น้ำสูงประมาณครึ่งแต่ไม่ควรจะเกินสามส่วนสี่ของความสูง ทิ้งไว้ในที่ร่มสักสามสี่วันก็จะเริ่มงอก แรกก็จะมีใบเลี้ยงโผล่ขึ้นมาก่อนสองใบ พอวันที่ห้าใบจริงก็จะตามมา ลองยกขึ้นมาดูจะเห็นรากงอกแทงทะลุฟองน้ำลงไปด้านล่าง นั่นก็แสดงว่ากล้าผักของเราพร้อมจะลงแปลงแล้ว
การเตรียมแปลงก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ให้ทำตามลำดับดังนี้
เมื่อเตรียมแปลงผักพร้อมน้ำปุ๋ยไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลานำกล้าผักของเราลงแปลงแล้วละครับ ไม่มีอะไรยุ่งยากครับ เพียงนำกล้าของเราสอดเข้าไปในรูแผ่นโฟมให้ครบทุกรู โดยการสอดต้นกล้าเข้าไป ให้ด้านที่มีรากโผล่ออกมาราว 1 – 3 มม. ขั้นตอนสอดต้นกล้าเข้าไปในรูนี้ให้ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นเป็นตัวช่วยครับ ค่อยๆ ดันซ้ายทีขวาทีจนได้ที่อย่างที่ว่าไว้ เสร็จแล้วก็วางแผ่นกล้าของเราลงบนแปลง จบขั้นตอนนี้ก็เพียงรอเวลาที่กล้าน้อย ๆ ของเราเติบใหญ่ ราวสี่สิบห้าวันจากนี้ก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วละครับ
อย่าลืมนะครับว่าผักของเราต้องการแสงแดดในการสังเคราะห์อาหาร แปลงผักของเราจึงควรอยู่ในที่มีแดดส่องถึง หากอยู่กลางแดดจัดก็ควรใช้สะแลนที่แสงผ่านได้ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ทำเป็นหลังคาบังแดดให้บ้าง เมื่อผักโตจนถึงขั้นเก็บกินได้แล้ว หลังจากที่ถอนผักออกมาจากแปลงแล้วให้แช่ส่วนรากไว้ในน้ำเปล่าสักคืนหนึ่งก่อน เพราะหากนำมากินเลยผักอาจจะขม ต้องให้ผักใช้ปุ๋ยที่สะสมไว้หมดก่อนจึงค่อยกินนะครับ
ทีนี้ลองปลูกผักไว้กินเองได้แล้วนะครับ
หมายเหตุ หากท่านใดอ่านแล้วไม่เข้าใจและทำไม่ถูกทำไม่ได้ ขอแนะนำให้ดูที่เว็บของน้องคนนี้นะครับ
แนะนำการปลูกผักไร้ดินไว้ดีมากๆ ทำง่ายๆ http://pantip.com/topic/30333153
-----------------------------------------------------------
หมายเหตุ กราบขออภัยที่ไม่อาจเอารูปมาลงให้ชมได้ ไม่ใช่อะไรหรอก ผมลืมวิธีการเสียแล้ว หากท่านใดอ่านแล้วไม่เข้าใจและทำ ไม่ถูกทำไม่ได้ ขอแนะนำให้ดูที่เว็บของน้องคนนี้นะครับ แนะนำการปลูกผักไร้ดินไว้ดีมากๆ ทำง่ายๆ
http://pantip.com/topic/30333153
-----------------------------------------------------------
ไม่มีความเห็น