วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้วประทับนั่งในที่อันสมควรอยู่ ขณะนั้นได้มีนักบวชกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไปเป็นชฎิล นิครนถ์ อเจลก เอกสาฎก และปริพาชก อย่างละเจ็ดคน ดูจากภายนอกนักบวชกลุ่มนี้ดูมีข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด มีขนรักแร้ยาวและมีเล็บงอกยาว หาบบริขารหลายอย่าง
ในขณะนั้นเองพระเจ้าปเสนทิโกศลได้คุกเข่าลง ยกพระหัตถ์ไหว้บรรดานักบวชเหล่านั้นพร้อมกับเปล่งวาจาประกาศชื่อของพระองค์สามครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงในสมัยนั้น เมื่อบรรดานักบวชเหล่านั้นผ่านไปแล้วพระองค์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นักบวชเหล่านี้เป็นหนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ในโลกนี้” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูกรมหาบพิตร พระองค์เป็นคฤหัสถ์ อยู่ด้วยการครองเรือน ยากที่จะทรงทราบว่าท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันต์หรือไม่” แล้วตรัสอีกว่า
*“ศีล พึงทราบด้วยการอยู่ร่วมกัน ใช้เวลานาน ใช้การสังเกต และใช้ปัญญา
ความเป็นผู้สะอาด พึงทราบด้วยการการปราศรัย ใช้เวลานาน ใช้การสังเกต และใช้ปัญญา
กำลังใจ พึงทราบด้วยยามเกิดอันตราย ใช้เวลานาน ใช้การสังเกต และใช้ปัญญา”
ปัญญา พึงทราบด้วยการสนทนา ใช้เวลานาน ใช้การสังเกต และใช้ปัญญา
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ความจริงแล้วนักบวชเหล่านี้เป็นคนของข้าพระองค์ที่ปลอมตัวไปสืบราชการลับ เป็นกองสอดแนม ที่ข้าพระองค์ส่งไปในที่ต่างๆพระเจ้าข้า” .........
*ผู้เขียนได้สรุปความจากพระไตรปิฎกเพื่อให้อ่านง่าย และศีลในที่นี้หมายถึงความประพฤติหรือพฤติกรรมของคนก็ได้ การอยู่ร่วมกันนานๆเราก็เห็นกันชัดเจนขึ้น และหากใช้การสังเกตและปัญญาไตร่ตรองด้วยแล้วก็จะทราบนิสัยใจคอของคนได้อย่างถูกต้อง
น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือความเป็นผู้สะอาดนั้นท่านให้ดูจากการปราศรัย ปราศรัยคือการพูด ถ้าเป็นเราก็ต้องบอกว่าจะดูว่าใครสะอาดหรือไม่สะอาดก็ต้องดูที่การแต่งกาย ดูเสื้อผ้า ดูของใช้ แต่ในที่นี้น่าจะมีนัยยะที่ลึกซึ้งกว่า หรือว่าท่านจะเน้นลงไปที่ความสะอาดภายในใจก็เป็นได้
ไม่มีความเห็น