เป็นคำถามที่ผลุดขึ้นในเย็นวันนี้...กับปรากฏการณ์การระบาดของ R2R ที่แผ่ซึมไปอย่างกว้างขวาง
ความรู้สึก ... และความคิด ที่ได้จากการสังเกตปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่เป็นวิทยาศาสตร์มากนัก
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าไปสัมพันธ์ในหลายๆกลุ่มหลายๆ ภาคส่วนที่นำ R2R มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนางาน พบความขับเคี่ยวและเข้มข้นที่จะพยายามผลักดันให้คนทำงานเรียน Research Method ซึ่งดูเหมือนจะโน้มเอียงมาทางมิติเดียว ที่เน้นความเคร่งครัดทางระเบียบวิธีวิจัยและสถิติ ...
เพราะมีความหวาดกลัวว่า "ผลงาน R2R จะไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ"
หลายปีที่ผ่านมา ...ข้าพเจ้ามีความคับข้องใจในตนเองเมื่อได้สัมผัสการงาน R2R ในหลายๆ งาน พบว่า การมุ่งให้ความสำคัญกับรูปแบบการวิจัยที่เน้นไปทางการวิเคราะห์เชิงสถิตินั้นมาก ซึ่งดูเหมือนจะขัดกันกับจำนวนคนทำงานประจำที่มากมายที่งานล้นมือ ภาระงานที่หนักอึ้ง แล้วเราไปเชิญชวนโน้มน้าวเขาให้ลุกขึ้นมาทำ R2R และบอกว่า R2R จะทำให้เขาเหล่านี้ทำงานง่ายขึ้นคล่องขึ้น และเมื่อเราจัดพื้นที่ให้เขานำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ งานของเขากลับถูกตีค่าให้ต่ำลงด้วยว่า ...รูปแบบการวิจัยไม่ชัด สถิติง่ายเกินไป...หรือ...ฯลฯ
พื้นที่เล็กๆ ของคนทำงานที่มีจำนวนมากมาย
หลายๆ คนต่างหลีกลี้หนีหาย ...ด้วยความรู้สึกด้อยค่า
พื้นที่แลกเปลี่ยน R2R กลายเป็นพื้นที่ของคนตัวเล็กๆ ที่ยังพอเหลืออยู่บ้าง...ที่พยายามจะนำเสนองานตนเองให้ดูขลังด้วย Research Design หลายครั้งข้าพเจ้าไปนั่งฟัง สัมผัสถึงความทุกข์ใจ feeling ของความสุขหายไป พลังแห่งความมีชีวิตชีวาอันเป็นพลังแห่งการตื่นรู้และบิกบานจากการที่ได้เรียนรู้หายไป...
"แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หรืออาจมุ่งมั่นอหังการกร้าวถึงฉันเจ๋งในงานวิจัย..."
"รอยยิ้มฝืนๆ ที่มีให้กันระหว่างผู้นำเสนอและผู้ฟัง"...
พลังแห่งอัตตาตัวเต็มถูกก่อขึ้น...
ความนุ่มนวลและอ่อนโยนหดหายไป...
...การใคร่ครวญทำให้กลับไปนึกทบทวนชีวิต
ชีวิตข้าพเจ้าเรียนอยู่ห้าหลักสูตรในระดับอุดมศึกษา ...การเรียนหลายหลักสูตรไม่ใช่การซ้ำชั้น แต่เป็นการทดสอบซ้ำว่าเรียนไปทำไม และอะไรคือ ปรากฏการณ์ที่เราควรจะได้จากการเรียนหนังสือ...
ข้าพเจ้าพบในตนเองว่า ...
การศึกษาที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสนั้นนำมาซึ่งความซับซ้อนในชีวิต และข้าพเจ้าก็รู้สึกเป็นทุกข์
จนอยู่มาวันหนึ่ง ในการศึกษาหลักสูตรสุดท้าย ข้าพเจ้าพบต่อตนเองว่า "การศึกษาควรนำมาซึ่งการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย งดงาม และซับซ้อนน้อยลง แต่ยังประโยชน์สูงสุดให้กับชีวิตตนและผู้อื่น"...
แต่...
สิ่งที่กลับได้เหนือจากนั้นชีวิตที่ถูกฝึกในเรื่อง "ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา"
ได้ฝึกใช้ทักษะนี้น่าจะชำนาญพอควร...ในห้าหลักสูตรของชีวิตหลังปริญญาตรี
"ปัญญาที่เกิดจากการเรียนต้องเป็นปัญญาที่เต็มเปี่ยมด้วยความนอบน้อมและอ่อนโยน"
ชีวิตเป็นดั่งหลงทาง...
และข้าพเจ้ากำลังรู้สึกอย่างรุนแรงว่า R2R กำลังหลงทาง
และต่อไปในอนาคต R2R จะเต็มไปด้วย Expertและความเป็นเลิศ แต่ไม่มีความสุขสงบในใจ ถ้าเราไม่ไหวตัวและใคร่ครวญให้ลึกซึ้งว่า "เรากำลังนำ R2R มาใช้ในการพัฒนางานพัฒนาชีวิตเพื่ออะไร"
***บันทึกนี้เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะอ้างอิงในเชิง significant ได้
...
๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๘
รู้สึกว่า r2r เป็นเรื่องที่น่าหลาดหวั่นสำหรับ บุคลากรที่อยากพัฒนางานให้เป็นวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้หลายคนอยากเดินต่อ หลายคนอาจจะรู้สึกไปไม่ถึง
เวที่ประกวด ให้โอกาสโชว์ผลงานเฉพาะผู้ได้รางวัล
ทำให้ผู้เกือบได้รางวัลไม่สามารถเข้าไปอยู่ในเวทีได้
ถ้าเราเปิดโอกาสให้ น่าจะเป็นการ empower ให้คนที่อยากไปถึงจุดนั้นมีโอกาสเช่นกันค่ะ
แต่ได้ยินจากท่าน อ สมบูรณ์ ได้เสนอแนวคิดนี้
ก็หวังว่า คงเปิดโอกาสให้คนอื่นๆเข้าไปร่วมนำเสนอผลงานด้วยนะคะ