1.วางแผนเตรียมการเรื่องตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยในวารสารไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วางแผนทำวิจัย และศึกษาข้อมูลวารสารที่สนใจ เป็นวารสารที่ได้รับการรับรองในระดับใด ตรงตามเกณฑ์ที่ต้องการหรือไม่ หัวข้อเรื่องที่ทำวิจัยและระเบียบวิธีวิจัยสอดคล้องกับแนวทางของวารสารที่ต้องการหรือไม่ การสมัครตีพิมพ์ในวารสารจะต้องใช้งบประมาณเท่าไร ค่าสมัครเป็นสมาชิกของวารสารเท่าไร เพื่อวางแผนของบประมาณไว้ล่วงหน้า
2.เมื่อดำเนินการวิจัยแล้วเสร็จควรเตรียมบทความเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ตามแนวทางที่วารสารที่ต้องการตีพิมพ์กำหนด ซึ่งควรปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัดเพราะมีผลต่อการพิจารณาตอบรับการตีพิมพ์
3.เขียนบทความวิจัยให้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันทั้งเรื่อง และเน้นสาระสำคัญที่โดดเด่นที่ต้องการเสนอให้ผู้อ่านทราบ โดยการเขียนบทความวิจัยหรือบทความวิชาการที่ถูกต้อง จะต้องครอบคลุมสาระตามกระบวนการวิจัย โดยเขียนให้กระชับ ครบถ้วน ชัดเจน และศึกษารูปแบบการเขียนตามที่แหล่งเผยแพร่กำหนด เช่น ใช้ตัวอักษร (Fonts) อะไร ขนาดเท่าใด (Point) ตั้งค่าขอบกระดาษอย่างไร ซึ่งต้นฉบับมักใช้เป็น Word (*.doc) รวมทั้งสิ้นไม่ควรเกิน 8 หน้ากระดาษ A4 ภาษาไทยใช้ตัวอักษร Angsana New ขนาด 16 Point ซึ่งการปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นสิ่งสำคัญและส่งผลต่อการรับพิจารณาบทความวิจัยหรือบทความวิชาการ จึงควรตรวจสอบรูปแบบรายละเอียดการเขียนของแต่ละวารสารจากหัวข้อ คำแนะนำในการเขียนบทความและการเตรียมต้นฉบับ“Guide for authors” ซึ่งส่วนประกอบของบทความวิจัยทั่วไป มีดังนี้
3.1 ชื่อเรื่อง ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
3.2 ชื่อผู้วิจัย ให้ระบุชื่อเต็ม – นามสกุลเต็ม ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งระบุหลักสูตรสาขาวิชา หน่วยงานหรือสถาบันที่สังกัด หมายเลขโทรศัพท์/โทรสาร และE-mail address ที่สามารถติดต่อได้
3.3 บทคัดย่อ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ควรศึกษาว่าบทคัดย่อให้เขียนได้ทั้งหมดกี่คำ โดยทั่วไปความยาวไม่เกินอย่างละ 250 คำ หรือ 10 บรรทัด โดยมีเฉพาะสาระสำคัญ ครบถ้วน ตรงประเด็น สั้นแต่กระชับ บทคัดย่อควรประกอบด้วย
3.3.1 จุดประสงค์การวิจัย
3.3.2 ตัวแปร/ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง
3.3.3 เครื่องมือการวิจัย
3.3.4 วิธีดำเนินการรวบรวมข้อมูล
3.3.5 วิธีการ/สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
3.3.6 ผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ (ควรแยกอีกหนึ่งย่อหน้า)
3.4 คำสำคัญ ให้ระบุคำสำคัญที่เหมาะสมสำหรับการนำไปใช้เป็นคำค้นในระบบฐานข้อมูลให้ระบุทั้งคำในภาษาไทยและภาษาอังกฤษใส่ไว้ท้ายบทคัดย่อของแต่ละภาษาอย่างละไม่เกิน 5 คำ
3.5 บทนำ(Introduction)อธิบายภูมิหลังที่มา ความสำคัญของปัญหาและเหตุผล(Background/ Significance and Rationale) ที่นำไปสู่การศึกษาวิจัย หรือการปรับปรุง พัฒนา ให้ดีขึ้นกว่าที่ เป็นอยู่จะก่อให้เกิดประโยชน์ อะไรบ้าง และผู้ได้รับประโยชน์คือใคร มีแนวคิดอย่างไร ในการแก้ปัญหา หรือพัฒนาปรับปรุงแก้ไข และแนวคิดดังกล่าวได้มาอย่างไร (อาจได้มาจากการศึกษาเอกสาร หรือจาก ประสบการณ์ตรงที่ได้จากการสังเกต การสัมภาษณ์ เป็นต้น) พร้อมระบุแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือและตรวจสอบได้
3.6 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ระบุว่าต้องการทำอะไร กับใคร และจุดหมายปลายทางหรือผลลัพธ์สุดท้ายที่ผู้วิจัยต้องการคืออะไร
3.7 ขอบเขตของการวิจัย ให้ระบุทั้งขอบเขตด้านเนื้อหา และด้านประชากร/กลุ่มเป้าหมาย/ผู้ให้ข้อมูลหลัก/ตัวแปรที่ศึกษา (อย่างใดอย่างหนึ่ง)
3.8 กรอบแนวคิดในการวิจัย/สมมติฐานการวิจัย ให้เสนอกรอบแนวคิดการวิจัย หรือสมมติฐานการวิจัย
3.9 วิธีดำเนินการวิจัยและระเบียบวิธีวิจัย
3.9.1 บอกชนิดหรือประเภทการวิจัย
3.9.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง (รวมทั้งการได้มาของกลุ่มตัวอย่าง)
3.9.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย พร้อมวิธีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ
3.9.4 วิธีดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล
3.9.5 การวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ (สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ)
3.10 ผลการวิจัย (Results) เสนอผลการวิจัยอย่างชัดเจน สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ถ้าเป็นข้อมูลเชิงปริมาณที่มีตัวเลขหรือตัวแปรจำนวนมาก ควรนำเสนอด้วยตารางหรือแผนภูมิ ทั้งนี้ไม่ควรเกิน 3 ตาราง โดยมีการแปลความหมายและวิเคราะห์ผลที่ค้นพบร่วมด้วย
3.11 การอภิปรายผล หรือการวิจารณ์และสรุป (Discussions) เป็นการชี้แจงผลการวิจัยว่าตรงกับวัตถุประสงค์ / สมมติฐานการวิจัย สอดคล้อง หรือขัดแย้งกับหลักทฤษฏี หรือผลการวิจัยของผู้อื่นที่มีอยู่ก่อนหรือไม่ การที่ผลการวิจัยออกมาเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุใด
3.12 ข้อเสนอแนะ ให้ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์และให้แนวทางสำหรับการวิจัยต่อไป
3.13 บรรณานุกรม (References) ควรระบุรายการแหล่งข้อมูลในการอ้างอิงเนื้อหา (cite index) และการอ้างอิงท้ายเล่ม (reference) โดยเลือกแหล่งข้อมูลที่สำคัญซึ่งใช้อ้างอิงบ่อยจำนวน 5-10 รายการ ตามรูปแบบของแหล่งเผยแพร่นั้นๆ กำหนด
4. อ่านทบทวนตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา ระเบียบวิธีวิจัย การเขียนอ้างอิง และบรรณานุกรมตามระบบที่วารสารกำหนด หรือให้ผู้อื่นทั้งในและนอกสาขาอ่านเพื่อตรวจสอบเนื้อหาและภาษาที่ใช้ในงานวิจัยก่อนส่งรายงานการวิจัย
5. ส่งบทความไปตีพิมพ์เผยแพร่ และมีการติดตามผลจากบรรณาธิการของวารสารเป็นระยะๆ ถ้ามีการแก้ไข บรรณาธิการของวารสารจะส่งต้นฉบับกลับมา ผู้เขียนควรรีบดำเนินการแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ (reviewer) ของวารสาร และส่งตามเวลาที่วารสารกำหนด และติดตามผลการตอบกลับ ซึ่งอาจจะมีการส่งกลับมาให้แก้ไขอีกครั้ง ทั้งนี้ผู้เขียนจะต้องให้กำลังใจตนเองในการแก้ไขเพื่อให้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ได้รับการรับรอง แม้ว่าบทความจะถูกปฏิเสธ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการตอบรับจากวารสารอื่นๆ เมื่อบทความได้รับการแก้ไขปรับปรุงแล้ว
6. วิธีการส่งบทความ ควรศึกษาวิธีการส่งบทความ เช่น ส่งข้อมูลเป็นไฟล์ทั้งหมดผ่านอีเมล์ หรือส่งในระบบออนไลน์ (Submit Online) และส่งไฟล์รูปผู้ทำวิจัย และภาพกิจกรรมจากการวิจัยพร้อมคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาคผนวกเพิ่ม (ถ้ามี)
การเลือกแหล่งตีพิมพ์เผยแพร่
1. ควรเลือกวารสารในสาขาที่ตรงกับสาขาที่ดำเนินงานวิจัย และลองค้นหาบทความที่มีลักษณะใกล้เคียงกับบทความของนักวิจัยที่จะขอตีพิมพ์ เพื่อนำมาพิจารณาแนวทางเกี่ยวกับวิธีการเขียน รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา รูป กราฟ ตาราง เพื่อสร้างความมั่นใจในการส่งผลงานตีพิมพ์และพิจารณาโอกาสการตอบรับของวารสาร
2. ควรเลือกวารสารที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติหรือนานาชาติ ซึ่งสามารถพิจารณาจากองค์กรหรือสถาบันที่เป็นผู้จัดทำวารสาร กรณีที่ต้องการนำบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับชาติและนานาชาติ สามารถศึกษารายชื่อวารสารวิชาการที่ได้รับการยอมรับจากฐานข้อมูล ICT ของ สกอ. ดังนี้
2.1 วารสารวิชาการระดับชาติ
1) การตรวจสอบรายชื่อวารสารวิชาการระดับชาติ ในฐานข้อมูล TCI สามารถค้นหาได้
จาก http://www.kmutt.ac.th/jif/public_html/search.html
2) การตรวจสอบค่า Impact Factor สามารถตรวจสอบได้ตามที่อยู่
เว็บไซต์ http://www.kmutt.ac.th/jif/Impact/impact_h.php การตรวจสอบ Ranking วารสารตามสาขาที่หน้าแรกของ TCI คลิก ที่ Thai-Journal Impact Factors
2.2 วารสารวิชาการระดับนานาชาติ
1) การตรวจสอบรายชื่อวารสารวิชาการระดับนานาชาติ
ก. การตรวจสอบชื่อวารสารวิชาการ (Journal) สายสังคมศาสตร์ (Social Science) จาก
ฐานข้อมูล SJR SCImago Journal & Country Rank เมื่อต้องการสืบค้นจากฐานข้อมูล SJR www.scimagojr.com ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฐานข้อมูล Scopus สามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์http://www.scimagojr.com/journalrank. php?area=3300 &category=3301&country=all&year=2012&order=sjr&min=0&min_type=cd
ข. การตรวจสอบวารสารวิชาการสายวิทยาศาสตร์ ในฐานข้อมูล SCOPUS
ฐานข้อมูล SCOPUS ส่วนใหญ่จะเป็นวารสารสายวิทยาศาสตร์ มีการจัดแบ่งหมวดวิชาออกเป็น 4 หมวด คือ Life Sciences, Physical Sciences, Health Sciences, and Social Sciences & Humanities ซึ่งแบ่งเป็นหมวดย่อยๆอีก 27 วิชาหลัก และมากกว่า 300 วิชารอง สำหรับสังคมศาสตร์ ตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ http://www.elsevier.com/subjects/social-sciences หน้าเว็บไซต์จะระบุหัวข้อ subject ที่มีหลายหมวดวิชา สามารถเลือกคลิกดูตามหมวดวิชาที่ต้องการได้ เช่น Arts and Humanities และ Social Science เข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.elsevier.com/journals/subjects/social-sciences/ title/s เมื่อเข้าไปในหมวดวิชาแล้วจะพบรายชื่อหนังสือและวารสารวิชาการด้านสังคมศาสตร์ เรียงตามลำดับตัวอักษร A –Z
2) ควรเลือกวารสารที่มีค่า Impact Factor สูง
การพิจารณาคุณภาพของวารสาร สามารถพิจารณาได้จากดัชนีอ้างอิงของวารสารว่าอยู่ในฐานข้อมูลใด ซึ่งฐานข้อมูลซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบันคือ ฐานข้อมูลที่มีการคิดค่าดัชนีอ้างอิง (Impact Factor) หรือ Journal Impact Factor (JIF) ค่า Impact Factor คือ ดัชนีผลกระทบการอ้างอิงวารสาร วัดจากจำนวนครั้งโดยเฉลี่ยที่บทความของวารสารวิชาการนั้นได้รับการอ้างอิงในแต่ละปี ข้อมูลที่เป็นของคนไทยคือ ดัชนีอ้างอิง Thailand Citation Index (TCI) ซึ่งดูแลโดยศูนย์อ้างอิงดัชนีวารสารไทย สำหรับฐานข้อมูลของต่างประเทศ ได้แก่ ดัชนีอ้างอิง SCImago ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูล Scopus ของบริษัท Elsevier และต้นตำหรับคือดัชนีอ้างอิง ISI ซึ่งเป็นของบริษัทใหญ่ผู้ให้บริการด้านข้อมูล คือ Thomson Reuters การตรวจสอบค่า Impact Factor ของวารสารวิชาการระดับนานาชาติ สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ http://www.uk.sagepub.com/isiranking/default.sp
นักวิจัยที่มีผลงานวิจัยที่ทำแล้วเสร็จควรแสวงหาเวทีในการนำเสนอผลงานทั้งในระดับชาติและนานาชาติโดยมีขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ดังนี้
1.1 ค้นหาเวทีการประชุมวิชาการที่จะนำเสนอผลงานวิจัยให้สอดคล้องกับเรื่องที่ทำวิจัย ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เช่น จากจดหมายประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.2 สมัครลงทะเบียนไปนำเสนอผลงาน โดยระบุวิธีการนำเสนอด้วยปากเปล่า โดยศึกษาวิธีการลงทะเบียนให้ละเอียด เช่น ลงทะเบียนด้วยจดหมายราชการ โทรสาร ทาง e-mail การจ่ายค่าลงทะเบียน และต้องการให้ส่งเอกสารประกอบการสมัครอะไรบ้าง การนำเสนอระดับนานาชาติสามารถศึกษาข้อมูลได้จาก Call for Abstract โดยอ่านวิธีการและข้อกำหนดในการกรอกข้อมูลให้เข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น การใช้คำขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ เป็นต้น เนื่องจากมีผลต่อการรับลงทะเบียน
1.3 ติดตามผลการตอบรับให้ไปนำเสนอจากผู้จัดประชุม ซึ่งส่วนใหญ่จะตอบกลับทางอีเมล์ ระหว่างรอผลการตอบรับควรเตรียมเนื้อหาการนำเสนอไปพร้อมกัน
1.4 เมื่อได้รับการตอบรับแล้ว ควรศึกษารายละเอียดของวิธีการนำเสนอให้เข้าใจ โดยผู้จัดจะแจ้งวันเวลา สถานที่ สื่อ และขั้นตอนการนำเสนอโดยทั่วไปจะกำหนดให้เรื่องละไม่เกิน 15 นาที ช่วงเวลาการนำสื่อลงเครื่องคอมพิวเตอร์ในเวลาที่กำหนด
1.5 ออกแบบและผลิตสื่อที่จะใช้ประกอบการนำเสนอ โดยกำหนดหัวข้อเรื่อง เนื้อหา รูปภาพ กราฟ หรือ ตาราง เฉพาะข้อมูลที่สำคัญ และพิจารณาความเหมาะสมในเรื่อง จำนวนสไลด์ ขนาดและสีตัวอักษร สีพื้นสไลด์ที่เหมาะสม ดึงดูดตามความสนใจ อ่านง่ายชัดเจน สบายตา มีใจความสำคัญที่ต้องการจะนำเสนอ โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับเวลาและกลุ่มเป้าหมาย
1.6 เตรียมตัวในการนำเสนอ โดยฝึกซ้อมการนำเสนอและใช้สื่อให้สอดคล้องกับกำหนดเวลา
1.7 ศึกษาสถานที่จัดประชุม และเส้นทางการเดินทางล่วงหน้า โดยเผื่อเวลาในการเตรียมตัวและลงข้อมูลในคอมพิวเตอร์ได้ทันกำหนดเวลา
เทคนิคในการเขียนบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารระดับชาติ/นานาชาติสามารถแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนหลัก ๆคือ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนการเลือกวาสารเพื่อตีพิมพ์ และขั้นตอนที่ 2 การเตรียมต้นฉบับหรือการเขียนบทความนั่นเอง ซึ่งในที่นี้ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในขั้นตอนการเลือกวารสารเพื่อการตีพิมพ์ โดยพิจารณาเลือกวารสารที่มีขอบข่ายและวัตถุประสงค์ที่ตรงกับบทความของเรา ซึ่งโดยปกติจะปรากกฎอยู่ด้านหน้าและหลังวารสารแต่ละฉบับ หรืออาจตรวจสอบได้จากเว็บไซด์ของวารสารฉบับดังกล่าว ส่วนคุณภาพของวารสารพิจารณาจากค่า impact factor ซึงเป็นตัวดัชนีที่วัดคุณภาพวารสาร ซึ่งถ้าเป็นนักวิจัยหน้าใหม่อาจพิจารณาวารสารที่มีคุณภาพรองลงมาหรือคุณภาพไม่สูงนักก่อนเนื่องจากวารสารที่มีคุณภาพสูงโอกาสในการตอบรับย่อมยากและใช้เวลายาวนานกว่า เมื่อเลือกวารสารได้แล้ว ให้หาข้อมูลเกี่ยวกับวารสารนั้น โดยดูจาก คำแนะนำสำหรับผู้เขียน ซึ่งจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับว่าจะเขียนบทความนั้นอย่างไรถ้าต้องการจะตีพิมพ์ในวารสารฉบับดังกล่าว เช่นรูปแบบการอ้างอิงใช้ระบบใดเป็นต้น ดังนั้นนักวิจัยหน้าใหม่ไม่ควรเสียใจเมื่อไม่ได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์เมื่อส่งบทความไปครั้งแรก
ถอดบทเรียน การนำเสนองานวิจัยแบบปากเปล่า (Oral presentation) และแบบโปสเตอร์ (Poster presentation)ถอดบทเรียนการนำเสนอผลงานวิจัยในการประชุมวิชาการทั้งในและต่างประเทศ.doc
ถอดบทเรียน : การนำเสนองานวิจัยแบบปากเปล่า และแบบโปสเตอร์
ดร.
การผลิตผลงานวิจัยในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการเผยแพร่และการนำไปใช้ประโยชน์เป็นสำคัญ การสร้างองค์ความรู้จากกระบวนการวิจัยและเผยแพร่ไปสู่การใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะโดยการตีพิมพ์เผยแพร่ การนำเสนอแบบปากเปล่า (Oral presentation) หรือ การนำเสนอแบบโปสเตอร์ (Poster presentation) จึงเป็นเหมือนการวัดความสำเร็จของการวิจัยในแต่ละเรื่อง
จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการนำเสนองานวิจัย และจากประสบการณ์การนำเสนอการวิจัยในรูปแบบต่างๆ ทั้งภายในประเทศ โดยการนำเสนอแบบปากเปล่า และการนำเสนอแบบโปสเตอร์ในการประชุมนานาชาติ รวมทั้งการนำเสนอแบบปากเปล่าในต่างประเทศ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หลากหลายพอสมควร ประสบการณ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้หลากหลายแง่มุม รวมทั้งจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนคณาจารย์ รวมทั้งการชี้แนะของอาจารย์วิทยากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการประชุมที่วิทยาลัยจัดเพื่อกระตุ้นให้อาจารย์เกิดความเข้าใจ และตื่นตัวต่อการเผยแพร่งานวิจัย ส่งผลให้ได้เรียนรู้มากขึ้น
ขั้นตอนการเผยแพร่งานวิจัย ไม่ใช่ขั้นตอนสุดท้าย แต่ควรเริ่มตั้งแต่คิดหัวข้อวิจัยและนำเสนอโครงร่างการวิจัยเพื่อขอทุน ซึ่งควรมองหาเวทีเพื่อการนำเสนอทั้งการตีพิมพ์ลงในวารสาร หรือการประชุมวิชาการทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ที่สอดคล้องกับประเด็นวิจัย (Theme) และวางแผนการดำเนินการวิจัยให้เสร็จสิ้นในเวลาที่สอดคล้องกับการประชุมซึ่งส่วนใหญ่จะประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าเป็นปี
เมื่อดำเนินการวิจัยเสร็จสิ้น อาจไม่จำเป็นต้องรอวิจัยฉบับสมบูรณ์ 5 บทแล้วเสร็จ ผู้วิจัยสามารถสกัดองค์ความรู้เขียนเป็นบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ไปได้พร้อมๆ กัน เนื่องจากขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาในการเขียนและการแปลรวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของภาษาเป็นเวลานานพอสมควร
การเลือกวารสาร หรือเวทีประชุมวิชาการเพื่อการเผยแพร่ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาให้ชัดเจนว่างานวิจัยที่ส่งไปสอดคล้องกับหัวข้อที่การประชุมหรือวารสารนั้นๆ ต้องการ เพราะแม้ว่าจะเป็นวิจัยที่ดีเพียงใด ถ้าไม่ตรงกับหัวข้อการประชุมก็ไม่มีโอกาสได้รับการคัดเลือก
หลังได้รับการตอบรับจากผู้จัดประชุม อาจต้องมีการแก้ไขให้สมบูรณ์ และวางแผนการนำเสนอ ไม่ว่าจะนำเสนอด้วยปากเปล่า (Oral presentation) หรือ การนำเสนอแบบโปสเตอร์ (Poster presentation) สำหรับการนำเสนอด้วยปากเปล่า ผู้วิจัยจำเป็นต้องทราบระยะเวลาที่ได้รับจัดสรรให้นำเสนอ เช่น 12 นาที 15 นาที ซึ่งส่วนใหญ่การประชุมใหญ่ๆ ไม่ค่อยให้เวลามากนัก ดังนั้นการวางแผนการจัดทำสื่อ เช่น Power point ให้สอดคล้องกับเวลาที่กำหนด จึงต้องเคร่งครัดกับเรื่องเวลามาก นอกจากนั้นการออกแบบสื่อ ควรมีขนาดอักษร สีและพื้นหลังชัดเจน ใช้เฉพาะ Keyword หรือวลีที่สำคัญ ไม่ควรเขียนเป็นประโยคยาวๆ แต่ต้องครอบคลุมหัวข้อที่กำหนดให้ |
สำหรับการนำเสนอแบบโปสเตอร์ สิ่งที่จำเป็นต้องศึกษาให้ชัดเจนคือหัวข้อและขนาดของโปสเตอร์ที่ให้จัดเตรียม ต้องถูกต้อง จากประสบการณ์ของผู้วิจัยซึ่งเตรียมไปผิดขนาดเนื่องจากไม่ได้รับข้อมูลการประสานงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขนาด ทำให้เกิดปัญหาความยุ่งยากมากในการติดตั้งเนื่องจากผู้จัดจะเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ตามที่แจ้งไว้เท่านั้น สำหรับเนื้อหาในโปสเตอร์และการเลือกร้านในการจัดทำก็มีความสำคัญ เนื่องจากประสบการณ์ ความเป็นมืออาชีพต่างกัน ความชัดเจน และการออกแบบจัดวางของร้านช่วยให้ผลงานของเราออกมาสวยงาม ดูดีได้มาก หลีกเลี่ยงการใส่ตัวอักษรมากเกินไป ควรสลับด้วยกราฟ หรือรูปภาพจะน่าสนใจกว่า และควรจัดวางเป็นบล็อกให้สวยงาม ไม่ควรเขียนเนื้อหายาวต่อเนื่องแบบเอกสารปกติ ซึ่งจากประสบการณ์การไปร่วมนำเสนอโปสเตอร์จะสังเกตได้ว่า ลักษณะโปสเตอร์ที่มีตัวอักษรมากๆ ไม่วางบล็อกให้เหมาะสม จะไม่น่าอ่าน และดูไม่เป็นมืออาชีพเท่าที่ควร การไปสังเกตโปสเตอร์ที่ร่วมนำเสนอในเวทีเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย ซึ่งจะทำให้เราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางอ้อมได้เป็นอย่างดี ช่วยให้การนำเสนอครั้งต่อไปของเราเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง
สำหรับรูปแบบการเผยแพร่บทความวิจัย การเผยแพร่ผลงานวิจัยตามสากลนิยมสามารถทำได้ 2 รูปแบบ ดังนี้คือ 1. การเผยแพร่ในที่ประชุมวิชาการระดับชาติหรือนานาชาติ (Conference) ซึ่งมักเป็นการนำผลงานวิจัยที่เพิ่งทำเสร็จมาเขียนเป็นบทความแล้วส่งให้บรรณาธิการของที่ประชุมวิชาการพิจารณา เพื่อการประเมินคุณค่าและความถูกต้อง เมื่ออนุมัติผ่านบทความก็จะได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มในเอกสารประกอบการประชุมวิชาการ (Proceedings) ซึ่งในการประชุมผู้วิจัยจะต้องมีหน้าที่นำเสนอบทความของตนเอง โดยการนำเสนออาจจะอยู่ในรูปโปสเตอร์หรือแบบปากเปล่า ข้อดีของการเผยแพร่ในรูปแบบนี้คือ ผลงานวิจัยจะได้รับการเผยแพร่อย่างรวดเร็ว ที่ประชุมวิชาการเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิจัยท่านอื่น ในสาขาเดียวกัน 2. การเผยแพร่งานวารสารวิชาการ ช่องทางการเผยแพร่ในรูปแบบนี้จัดได้ว่าเป็นทางการและได้รับการยอมรับมากที่สุดในวงการวิชาการโดยทั่วไป ปัจจุบันวารสารส่วนใหญ่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองและผู้เขียนสามารถลงทะเบียนเข้าเป็นผู้ใช้งานและทำการส่งเอกสารต้นฉบับเพื่อตีพิมพ์ รวมไปถึงการติดตามผลทางออนไลน์ได้เลย
เทคนิคการเขียนบทความวจัยเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่และการนำเสนอ
เนือหาของบทความวิจัยที่ส่งตีพิมพ์
1. เป็นชื่อเรื่องเดียวกับผลงานวิจัย
2. นําเสนอผลที่ได้จากการศึกษาตามวัตถุประสงค์ หรือสมมติฐาน
3. เนือหาเข้าใจง่ายและมีความชัดเจน
ขั้นตอนการเตรียมบทความวิจัย
1. วางแผนจะตีพิมพ์หรือนําเสนอแบบบรรยายระดับชาติ หรือนานาชาติในประเทศหรือต่างประเทศ ถ้าลงในวารสานต่างประเทศให้พิจารณาที่ impact factor Journal ก่อน
2. แสวงหาแหล่งข้อมูลของวารสาร หรือแหล่งข้อมูลของการประชุมนานาชาติ ว่าที่ใดมีการจัดประชุมวิชาการ หรือให้ส่งบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์
3. เมื่อได้กําหนดการแล้วตัดสินใจว่าจะส่งที่ใด ก็จัดทำตามเกณฑ์ที่หน่วยงานหรือวารสานนั้นกำหนด
4. ทบทวนเนือหาบทความวิจัยตรงกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่
5. สงบทความไปยังหน่วยงาน
การเผยแพร่งานวิจัยเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่น เริ่มตั้งแต่การออกแบบการวิจัยควรมีวิธีการวิจัยที่เชื่อถือได้ ผ่านผู้ทรงที่มีความเชี่ยวชาญ มีการวิเคราะห์ที่ดี ควรเผยแพร่ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มได้นำไปใช้ได้ ในวิทยาลัยของเราควรมีการสกรีนว่าเรื่องใดออกแบบดีมีประโยชน์กว้างขวางก็ควรคัดไปเผยแพร่ในวารสารที่ดังๆ วิทยาลัยก็ได้แต้มสูงด้วย ควรส่งเสริมการพัฒนาให้อาจารย์ทำวิจัยที่ซับซ้อยหรือยากขึ้น ใช้สถิติหลากหลาย เพื่อให้เชี่ยวชาญด้านวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ
การเขียนบทความวิจัยและการน าเสนอผลการวิจัยระดับชาติหรือนานาชาติ* ศาสตราจารย์ ดร. ชุติมา สัจจานันท์**
การวิจัยเป็นกิจกรรมที่มีการลงทุนสูง ทั้งการใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์
เวลาของบุคคล ตลอดจนทรัพยากรการบริหารต่างๆโดยเฉพาะงบประมาณ เครื่องมือวัสดุอุปกรณ์
เป้าหมายของการวิจัยคือการสร้างสรรค์สั่งสมความรู้และการน าไปใช้ประโยชน์การวิจัยจะบรรลุ
วัตถุประสงค์และเป้าหมายอำนวยประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์จำเป็นต้องมีการเผยแพร่ผลการวิจัย
อย่างเป็นระบบ เพื่อเชื่อมโยงและเกื้อกูลให้การวิจัยได้รับการนำไปใช้ประโยชน์ สนับสนุนการ
พัฒนาบุคคล องค์กร วิชาชีพ และสังคม
1. รูปแบบการเผยแพร่งานวิจัย
การเผยแพร่ผลการวิจัย เป็นข้อกำหนดสำคัญประการหนึ่งของแหล่งทุนหรือ
สถาบันการศึกษา ในการขอรับการพิจารณากำหนดตำแหน่งทางวิชาการทุกระดับ ทั้งระดับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์และศาสตราจารย์ ก.พ.อ. (2551) กำหนดให้นำเสนอ
ผลงานวิจัยซึ่งมีคุณภาพดีและได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ตามเกณฑ์ที่ ก.พ.อ. ทั ้งนี ้ไม่นับผลงานวิจัย
ที่ทำเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อรับปริญญาหรือประกาศนียบัตร
คำนิยาม รูปแบบและลักษณะการเผยแพร่งานวิจัยตามเกณฑ์ที่ ก.พ.อ. (2551)
กำหนดมีดังนี้
งานวิจัย หมายถึงผลงานทางวิชาการที่เป็นงานศึกษาหรือค้นคว้าอย่างมีระบบด้วย
วิธีวิทยาการวิจัยที่เป็นที่ยอมรับในสาขาวิชานั้นๆ และมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อให้
ได้มาซึ่งข้อมูล คำตอบและข้อสรุปรวมที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิชาการ หรือเอื้อ
ต่อการนำวิชาการนั้นไประยุกต์
รูปแบบงานวิจัยอาจจัดได้เป็นสองรูปแบบ ดังนี้
1. รายงานวิจัย ที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์และชัดเจนตลอดทั้งกระบวนการวิจัย
(research process) อาทิการกำหนดประเด็นปัญหา วัตถุประสงค์ การทำ
วรรณกรรมปริทัศน์ สมมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล การพิสูจน์สมมติฐาน
การวิเคราะห์ข้อมูล การประมวลสรุปผลและให้ข้อเสนอแนะ การอ้างอิงและอื่นๆ
2. บทความวิจัย ที่ประมวลสรุปกระบวนการวิจัยในผลการวิจัยนั้น ให้มีความ
กระชับและสั้น สำหรับการนำเสนอในการประชุมทางวิชาการ หรือในวารสาร
ทางวิชาการ
การเผยแพร่งานวิจัย เผยแพร่ในลักษณะใด ลักษณะหนึ่ง ดังนี้
- ตีพิมพ์เผยแพร่ในรูปของบทความวิจัยในวารสารทางวิชาการ
- ตีพิมพ์ในหนังสือรวมงานวิจัยระดับนานาชาติซึ่งเป็นงานที่ได้รับเชิญให้เขียน
และ/หรือ มีกองบรรณาธิการตรวจสอบคุณภาพ
- นำเสนอในรูปเอกสารวิชาการต่อที่ประชุมทางวิชาการซึ่งเป็นที่ยอมรับของ
นักวิชาการในสาขานั้นๆ โดยมีการนำไปรวมเล่มเผยแพร่ในรูปหนังสือรวม
เอกสารวิชาการจากการประชุมครั้งนั้น (proceedings)
- ในกรณีที่งานวิจัยฉบับสมบูรณ์มีความยาวขนาดเล่มหนังสือ จะต้องผ่านการ
ประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิก่อนนำไปเผยแพร่ยังสถาบันทางวิชาการใน
สาขาที่เกี่ยวข้อง
การเผยแพร่งานวิจัยสามารถทำได้ในลักษณะที่หลากหลาย แตกต่างกันไปตาม
กลุ่มเป้าหมายและสื่อหรือช่องทางการสื่อสาร แต่ลักษณะการเผยแพร่ผลการวิจัยที่ได้รับความสำคัญและถือว่ามีผลกระทบในแวดวงวิชาการมากคือการเขียน ได้แก่ การเขียนบทความ
วิจัย เอกสารทางวิชาการ การพูดโดยการนำเสนอต่อที่ประชุมในรูปแบบ การบรรยายอภิปราย
กำลังผลิตคะ คาดว่าจะสำเร็จในไม่ช้า
ในการทำงานวิจัยใด ๆ ก็ตามผู้วิจัยหรือนักวิจัยนับเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เพราะงานวิจัยจะสำเร็จสมความมุ่งหมายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับนักวิจัยเป็นสำคัญ ดังนั้นนักวิจัยจึงต้องมีคุณลักษณะที่จำเป็นบางประการดังต่อไปนี้
ต้องมีที่ปรึกษาที่ดีค่ะ
ต้องมีความเชี่ยวชาญในการทำวิจัย และมีที่ปรึกษาวิจัยที่เข้าใจ มีเวลาให้
ต้องมีเวลา และที่ปรึกษา จะได้ตรงประเด็น
ต้องมีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในการวิจัย และลงมือปฏิบัติ โดยมีที่ปรึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลงาน
ต้องให้เวลากับงานวิจัยที่ผลิตขึ้นมากๆ เจ้าของผลงานต้องเข้าใจรายละเอียดงานวิจัยของตนเอง และมีจรรยาบรรณในการทำวิจัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผลงานของเรา และสามารถก้าวเข้าสู่เวทีระดับชาติและนานาชาติได้อย่างภาคภูมิใจครับ
การอ่านงานวิชาการบ่อยๆ และมีความเข้าใจในชิ้นงานของตัวเอง จะช่วยให้สามารถถ่ายทอดข้อมูลเพื่อการตีพิมพ์ให้ผู้อื่นสามารถอ่านง่าย อ่านเข้าใจ และจำเป็นต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิช่วยตรวจสอบให้ชิ้นงานมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
จากการอ่านบทความวิชาการ และเทคนิคการเขียนบทความวิชาการจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ พบว่า
เทคนิคการเขียนบทความวิชาการเพื่อตีพิมพ์นั้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ขั้นตอนหลักๆ คือ
1. ขั้นตอนการเลือกวารสาร
2. ขั้นตอนการเขียนต้นฉบับ