"เห็นตน เมื่อหล่นธรรม"
ชีวิตดำเนินไปตามวิถีโลก กฎของชีวะ และกฎของกรรม (พฤติกรรม) จนเราเพลินหรือหลงไปตามแสงสี รสชาติ ที่หวานหอม ของชีวิต บางครั้งมันทำให้เราเพลิดเพลิน เดินชมโลกอย่างสนุกสนาน จนลืมไปว่า โลกนี้ ชีวิตนี้ กาลนี้ ไม่ได้รอคอยหรือไม่ได้ปราณีเรา อย่างที่เราคิดเพลิน หากแต่วันได้กัดแทะให้แปรกร่อน จนเราลืมตัว ผนวกกับอายุกาลโลกและสมอง เริ่มจับทางโลกได้ จึงทำให้เราตรึกตรองมองความจริงของชีวิตและโลกออก
จึงพบว่า เหตุการณ์ของโลก ชีวิต เป็นไปตามวัฏฏะของโลก (โคจร) ส่วนชีวิตเป็นผลพลอยได้จากมัน กระนั้น เราก็ยังเชื่อมั่นว่า เราคือตัวเรา ที่สามารถตัดสิน ลงมือกระทำอะไรได้ โดยไม่ได้พึ่งพากฎที่ว่าเลย ครั้นเมื่อายุผ่านพ้นกาล จึงได้รู้ว่า เราคิดผิด ที่เป่าลมใส่อัตตาให้พอง จนมองเห็นโลกและกฏนั้น เป็นแค่มายา เมื่อชนมีโรค เมื่อแก่ เมื่อผิดหวัง สมองปัญญาจึงเต็มรอบสมบูรณ์ จนเห็นตนเอง จึงได้รู้ว่า "ชีวัตตา" มีปริมาตรแค่เม็ดทรายเท่านั้น
เมื่อทั้งหมดสรุปได้ในคำว่า "เห็นสัจในอัตตา" จึงรู้ว่า เราคิดผิดที่เข้าจิต ว่าเป็นของจริง หลักฐานความผิด อยู่ในจิตที่สะสมมานาน เมื่อเราผ่านกระแสน้ำที่เชี่ยว และเย็นฉ่ำ เราจึงเข้าถึงรสชาติมัน ความไม่ดี ความผิดพลาด ความไม่รู้ ความหยิ่ง ความหลงตน ความชาชิน ในโลก ในชีวิต ในจิต จึงเป็นเครื่องบีบคั้นที่ปั่นเอาความจริงออกมาในตอนชีวิตอัสดงในราวพงป่า
ผลลัพธ์จากที่เราไม่แคร์ ไม่สนใจ ไม่ไตร่ตรอง มองให้รอบคอบ รอบตัว รอบใจ จึงปรากฏผลแบบ "ทวิลักษณ์" คือ "เราเสีย คือกำไร" เพราะในชีวิต ในยามเราเสียอะไรไป นั่นคือ สิ่งที่ได้บางอย่างกลับมาด้วย เราผิด เราพลาด นั่นคือ โอกาสทองของมุมมองใหม่ เราป่วย เราแก่ นั่นคือ ตัวแปรให้ได้สาระของชีวิตที่จิตใจ จนมีบางเมธีกล่าวว่า "เห็นธรรม เมื่อไม่มีธรรม" หรือ "เข้าใจตน เมื่อไร้ตน" นี่คือ แก่นภาษาพาราด๊อซ์ ที่ขัดแย้งในตัวเอง แต่กลับเป็นจริง
ดังนั้น ใครก็ตามที่ทบทวนชีวิต จิตตน เมื่อเสียทางธรรม นั่นคือ ท่านกำลังเข้าสู่ทางธรรม เหมือนคำว่า "ยิ่งทุกข์ ยิ่งถูกธรรม" หรือว่าท่านคิดอย่างไร เมื่อท่านพยายามจับใจตนเองครับ
----------------๑๘/๖/๕๘-------------------
...ใคร่ครวญ ...ให้ความทุกข์ตกผลึกนะคะอาจารย์
ยิ่งอายุมากขึ้น...พี่ยิ่งเห็น "ธรรมะ" มากขึ้นค่ะ...เมื่อเห็นก็เพียงได้แค่รู้...เรียนรู้จากสิ่งที่เป็นจริงค่ะ...ใกล้เวลาเขาทวงคืน...ขอบคุณค่ะ
สุดยอดแก่นธรรม สาธุ สาธุ สาธุ