สารภาพตรงๆ เลยว่า การเป็นวิทยากรกระบวนการครั้งล่าสุด ผมไม่ค่อยได้พูดคุยกับทีมงานเจ้าของโครงการมากนัก เพราะช่วงนั้นผมยุ่งเอามากๆ ในวันที่เจ้าหน้าที่จากสำนักควบคุมการบริโภคยาสูบโทรมาเชิญให้ไปเป็นวิทยากร ผมเองก็ยังไม่ได้รับปาก เพราะคิวงานมันยุ่งจริงๆ ทางโน้นก็ได้แต่พูดซ้ำๆ ประมาณว่า "...อยากให้มาช่วย อยากได้วิทยากร KM แบบบ้านๆ...
ที่สามารถทำเรื่องยากๆ ให้ง่ายๆ...หามานานแล้ว...ไปตามอ่านมานานแล้ว...
ครับ-พูดประมาณนั้นจริงๆ คนที่พูดก็คือพี่วิไลลักษณ์ หฤหรรษพงศ์ (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) หัวหน้ากลุ่มพัฒนาวิชาการของสำนักควบคุมการบริโภคยาสูบ ซึ่งพยายามรบเร้าให้ผมรับปากรับคำ แต่ผมก็ยังไม่ได้ตกปากรับคำใดๆ
และมีสติที่จะตอบกลับไปว่า "วันสองวันนี้จะติดต่อกลับนะครับ"
กระนั้น- ก่อนที่ผมจะวางสาย ทางโน้นก็ยังถือโอกาสร่ำรากลับมาว่า "ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ...ตกลงอาจารย์รับปากจะมาช่วยนะค่ะ.." 5555 (เหมือนหักมุม ตะครุบ มัดมือชกไปเนียนๆ)
ที่สุดแล้ว ผมก็ไปช่วยงานนี้จนได้ งานที่มีชื่อเต็มๆ ว่า "ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนากระบวนการจัดการความรู้ของสำนักควบคุมการบริโภคยาสูบ : Km to Action" ณ โรงแรมเขาใหญ่คีรีธารทิพย์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
เอาง่ายๆ ใช้เท่าที่มี ออกแบบกระบวนวิธีแบบเนียนๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป
ด้วยความที่ผมไม่ค่อยได้มีเวลามากนัก เพราะเป็นช่วงที่ติดพันภารกิจหลายโครงการ ประกอบกับทีมผู้ประสานงาน พอจะรู้ลักษณะนิสัยของผมว่ามีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง จึงไม่กล้าโทรมาถี่ครั้ง หรือไม่กล้าตามงาน ไม่กล้าตามเอกสาร หรืออะไรๆ กับผมมากมายนัก แต่ก็ดีมากๆ ที่ยังช่วยออกแบบกิจกรรมและส่งกำหนดการมาให้ผมดูล่วงหน้า ซึ่งผมดูแล้วก็ถือว่า "ไม่ขี้เหร่"
การไม่ได้คุยกันมากมายนัก กอปรกับที่ผมดูกำหนดการแล้ว จึงคิดไปเองว่าทีมงานคงสามารถตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับกิจกรรมได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะอุปกรณ์ที่ว่านั้นก็เป็นวัสดุอุปกรณ์พื้นฐานๆ หรือกระทั่งหากมีการติดตามกระบวนการที่ผมชอบใช้ในเวทีต่างๆ จริง ก็คงพอรู้ว่าอุปกรณ์ที่ผมจะใช้ "มีอะไรบ้าง" –
เอาเข้าจริงๆ อุปกรณ์ก็คลาดเคลื่อนไปบ้าง ซึ่งจะโทษเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ เพราะผมเองก็ไม่สื่อสารให้เด็ดขาดไปว่าจะใช้อะไรบ้าง ดังนั้นเมื่อมานั่งโสเหล่กัน ผมจึงบอกกับทีมงานว่า "เอาง่ายๆ ใช้เท่าที่มี" ทุกอย่างประยุกต์ใช้ได้หมด ไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินเสียทองไปซื้อหาเพิ่มเติมให้สิ้นเปลือง
เช่นเดียวกับการ "เปิดใจ" ร่วมออกแบบกิจกรรมกันใหม่อีกรอบอย่างมี "ส่วนร่วม" ซึ่งผมบอกย้ำกับเจ้าหน้าที่ว่า "ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้" และ "ออกแบบไว้หลวมๆ แต่เนียนๆ ปรับตามสถานการณ์ สังเกตผู้เข้าร่วมเป็นหลักว่าอยู่ในภาวะใด"
ครับ, ผมพูดและย้ำกับทีมงานเช่นนั้นจริงๆ ในสิ่งที่ทีงานตระเตรียมกิจกรรมมาแล้ว ผมก็ยังยืนยันว่าทำได้เลย ผมจะช่วย หรือไม่ก็จะคอยสังเกตการณ์ พร้อมกับเชื่อมโยงการเรียนรู้ให้อีกที
แน่นอนครับ-การยืนยันเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจอะไรหรอกนะครับ หากแต่ผมมองแบบ "บ้านๆ Km แบบบ้านๆ" ตามสไตล์ผมนั่นแหละ อยากทำอะไรก็ทำ คิดแล้วไม่ทำ จะรู้ได้ยังไงว่ามันดี หรือไม่ดี ขอเพียงชัดเจนว่าทำอะไร เพื่ออะไร และอย่างไรก็พอ รวมถึงกิจกรรมในบางกิจกรรม ผมก็ย้ำว่า ไม่จำเป็นก็อาจจะไม่ต้องแถลงไขถึงวัตถุประสงค์ก็ได้ ต่อเมื่อจัดเสร็จสิ้นแล้ว จึงค่อยทวนซ้ำจากผู้เข้าร่วมว่า "ได้อะไร.." พร้อมๆ กับการประเมินกลับเข้ากับตัวเองว่า "ตรงกับวัตถุประสงค์หรือไม่" ตรงไม่ตรง ตรงมาก ตรงน้อย...ก็ว่ากันไปตามข้อเท็จจริง
BAR : ไม่มีต้นไม้ความคาดหวัง เพราะทำเท่าที่มี...
ในช่วงการโสเหล่ของการเตรียมงาน ผมถือโอกาสสอบถามทีมงานฯ ว่า เตรียมเอกสารประเมินโครงการมาด้วยหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ของการจัดกิจกรรมการจัดการความรู้ (KM) ซึ่งทุกคนตอบตรงกันอย่างหนักแน่นว่า ที่ผ่านมาจะเน้นรูปแบบการเชิญวิทยากรมาบรรยายและเป็นวิทยากรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ไม่เคยเชิญวิทยากรกระบวนการ หรือวิทยากรกระบวนการ "KMแบบบ้านๆ" เหมือนที่ผมเป็น -5555
ฉะนี้แล้ว ผมจึงเลือกที่จะทำ BAR ง่ายๆ ผ่านบัตรทำ ถามผู้เข้าร่วมฯ สองคำถาม คือ
ครับ, เหมือนที่เกริ่นข้างต้น ผมตัดสินใจใช้วัสดุอุปกรณ์เท่าที่มีมาใช้ในกระบวนการโดยไม่ต้องซื้อสอยใหม่ให้เปลืองงบ -ไม่ต้องทำต้นไม้ความคาดหวังให้ยิ่งใหญ่ตระการตา ใช้กระดาษธรรมดาๆ เป็นตัวเดินเรื่อง ใช้ปากกาธรรมดาๆ เป็นตัวเขียนเรื่อง
แต่ก่อนจะลงมือเขียน ผมก็เปิดคลิป "ใบไม้ต้นเดียวกัน" นำเข้าสู่กระบวนการ พอดูเสร็จก็สร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันง่ายๆ ด้วยการเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมฯ ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวในคลิปผ่านคำถามสามคำถามในแบบของผม นั่นก็คือ "เห็นอะไร...รู้สึกอย่างไร...ได้อะไรจากสิ่งที่เห็นและรู้สึก"
ดีครับ, หลายคนแสดงความคิดเห็นแบบไม่เขินอาย "ไม่มีถูกไม่มีผิด มีทั้งที่สะท้อนผิวเผินและลึกซึ้ง" แต่ทั้งปวงผมก็ขมวดเป็นคำๆ เป็น "วาทกรรมๆ" เป็นระยะๆ...เพื่อวางหมุดหมายเนียนๆ ว่า การจดจำผ่านวาทกรรม ก็เป็นการจัดการความรู้ หรือการจดบันทึกในอีกมิติหนึ่งได้เหมือนกัน
จากนั้นจึงให้แต่ละคนลงมือเขียนความคาดหวังและมุมมองที่มีต่อ KM โดยขณะที่เขียน ผมก็จะเปิดเพลงบรรเลงคลอไปเบาๆ เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศของการ "ทบทวนชีวิต ทบทวนการเรียนรู้ว่ามีหมุดหมายอย่างไร"
สำหรับประเด็น ความคาดหวังนั้น ก็มีประมาณว่า
ขณะทีประเด็นมุมมอง/ความเข้าใจที่มีต่อ KM นั้น ก็มีประมาณว่า
ผมคงไม่วิพากษ์ถึงสิ่งที่ผู้เข้าร่วมเวทีฯ ได้สะท้อนออกมา เพราะเจตนาเขียนเรื่องเล่านี้เพื่อให้ยึดโยงให้เห็นวิธีการ หรือกระบวนการง่ายๆ ในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งผมบอกกับผู้คนในเวทีว่า ผมติดคำว่า "เรียนรู้" หรือ "กระบวนการเรียนรู้" มากกว่า "การจัดการความรู้"
เช่นเดียวกับการมีเจตนาที่จะเล่าเรื่องการจัดกระบวนการเรียนรูปแบบง่ายๆ (แบบบ้านๆ) มีอะไร ก็ใช้สิ่งนั้น อะไรๆ ก็ปรับเปลี่ยนและปรับแต่งได้ บนฐานของการใส่ใจต่อผู้เกี่ยวข้องและบนฐานของการจัดการแบบมีส่วนร่วม และบนฐานของการเชื่อมั่นว่าใครๆ ก็มีความรู้ๆ ใครๆ ก็มีทักษะการเรียนรู้ และใครๆ ก็มีการจัดการความรู้ที่ดีในตัวเองอยู่แล้ว ---
แล้วค่อยอ่านต่อในบันทึกถัดไปครับ
มัดมือและถูกชกไปสองสามทีนะครับ 555
ชอบ ประโยคนี้ "เรียนรู้" หรือ "กระบวนการเรียนรู้" มากกว่า "การจัดการความรู้"
มันเป็นการจัดการเรียนรู้ และเรียบเรียงความรู้สึกของมนุษย์ด้วยกันใช่มะครับอาจารย์
ใช่ ครับ อ.วัสWasawat Deemarn
ทำเอาผมมึนงงเลยแหละ..
เป็นเวทีที่รับงานแบบไม่ค่อยได้หารือ...
ปรับแต่งกันหน้างาน
อุตส่าห์เงียบไปสองวัน
ความเงียบของผม อีกนัยยะหนึ่ง
ทางสำนักฯ ถือว่า "รับคำ" 55
แต่ก็ดีครับ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และเรียนรู้ด้วยการถ่ายทอดกระบวนการให้ทีมไปพรางๆ แบบเนียนๆ...
แต่ชอบมากครับ ชอบที่ผมถุกขนานนามว่า "Km บ้านๆ"
ครับ อ.ส.รตนภักดิ์
กระบวนการเรียนรู้ ร่วมกัน ก่อให้เกิดชุดความรู้ทั้งเก่าและใหม่ที่มีพลังครับ
เพราะเป็นการแบ่งปัน -เกื้อกูล-เปิดใจ
เป็นการจัดการความรักไปแบบละเมียดละไมโดยมีกิจกรรมเป็นฐานการหลอมรวม
ผมถึงชอบเรียกว่า จัดการความรัก ก่อนจัดการความรู้
บางที ความรู้ก็อยู่ในความรักอย่างเบ็ดเสร็จนั่นเลยครับ...
ฝากชกเผื่อด้วย 555
ตอนแรกนึกว่าเงียบๆไป
ดูแล้วมีความสุขได้กระบวนการครบนะครับ
รอตอนถอดบทเรียนเลยนะครับ