วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๗ ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการนำเสนอเรื่อง การพัฒนาบัณฑิตคุณภาพ และเรื่อง ผลการสอบวัดความรู้และทักษะภาษาอังกฤษ (CMU – ePro) ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ ๑ โดยท่านรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและพัฒนาคุณภาพการศึกษา ศ. ดร. วัชระ กสิณฤกษ์ ถือเป็นวาระการประชุมที่มีคุณค่าที่สุดในวันนั้น ในสายตาของผม
เป็นตัวอย่างของ การบริหารคุณภาพการศึกษาโดยใช้ข้อมูลและสารสนเทศ
ศ. ดร. วัชระ เป็นนักวิจัยชั้นเลิศของประเทศ เมื่อมารับทำงานบริหาร ก็ได้ใช้ทักษะการเป็นนักวิจัย ให้เป็นประโยชน์ โดยการตั้งคำถามให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล ที่ได้จากการสอบวัดความรู้และทักษะ ภาษาอังกฤษ ของ นศ. ปี ๑ เกิดการวิเคราะห์แยกแยะสารสนเทศ ได้ความรู้ นำไปสู่การพุ่งเป้าไปแก้ปัญหา ที่จุดสำคัญ ไม่ทำงานแบบเหวี่ยงแห เป็นความรู้ป้อนให้แก่คณะ/หลักสูตร ดำเนินการปรับปรุงวิธีรับนักศึกษา และรู้ตัวนักศึกษาเป็นรายคน ที่จะต้องพัฒนาพื้นความรู้ด้านภาษาอังกฤษของตน
ผมฟังแล้ว เห็นว่าสุดท้ายแล้ว นักศึกษาที่มีปัญหาภาษาอังกฤษ เกิดจากความไม่เอาไหนของตนเอง ขาดแรงบันดาลใจในการเรียน ซึ่งก็เป็นความท้าทายว่า ทำอย่างไรจะให้เด็กไทยมีแรงบันดาลใจในการสร้าง อนาคตของตนเอง และในการเป็นคนที่มีคุณค่าต่อสังคม
กลยุทธการพัฒนาบัณฑิตคุณภาพ ที่เสนอต่อสภา มช. ประกอบด้วยมาตรการ ๓ ข้อ และมีรายละเอียด ดังนี้
ผมเสนอต่อ ศ. ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง ผู้อำนวยการสถาบันคลังสมองฯ ว่า สถาบันคลังสมองฯ น่าจะจัด Workshop ให้ผู้แทนมหาวิทยาลัยต่างๆ ลงทะเบียนเข้ามาเรียนรู้ รูปแบบวิธีการใช้ข้อมูล สารสนเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา
วิจารณ์ พานิช
๒๘ ก.ย. ๕๗
ขอชื่นชม ผลงานของท่านรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มช. น่าจะนำมาใช้ในการประกันคุณภาพหลักสูตรด้วย ทั้งนี้เพราะทุกวันนี้ บางคณะยังมีกรรมการบริหารหลักสูตรที่ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐาน TQF เลย ถ้ามหาวิทยาลัยได้นำเอาข้อมูลสารสนเทศมาใช้เต็มรูปแบบ ก้อจะสามารถควบคุมกำกับวางแผนด้านทรัพยากรบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงศึกษาธิการทั้งสกอ. และสพฐ ควรนำมาใช้อย่างเข็มงวดเช่นกัน มิฉะนั้นจะไม่สามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานทางวิชาการที่นำมาใช้ขอผลงานระดับ คศ.3 คศ. 4 มีการคัดลอก นำมาเวียนเทียนกันขอผลงาน โดยการเปลี่ยนแปลงชื่อสถานศึกษา เปลี่ยนกลุ่มตัวอย่าง ระดับชั้นกันไปเรื่อยๆ ที่สำคัญทำกันเป็นทีม ตั้งแต่การจัดการฝึกอบรม (ที่ไม่เน้นการทำวิจัยเพื่อพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่เน้นให้มีเอกสารจำนวนหนึ่งให้ครบตามข้อกำหนด มีการจ้างการทำเอกสาร กรรมการตรวจผลงานก้อสั่งได้ (ยังมั่วเหมือนเดิม) อย่างไรก็ตาม นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในวงการ เพราะยังมีครูเก่งๆๆที่เขามีความรู้ความสามารถ สามารถทำผลงานทางวิชาการได้ด้วยตนเอง ต้องให้กำลังใจครูกลุ่มนี้ด้วย
สำหรับ ด้านการบริหารงาน เพื่อความโปร่งใส ควรนำมาใช้อย่างยิ่ง รวมทั้งบัญชีครุภัณฑ์ ทุกวันนี้กระทรวงที่เห็นว่าสามารถนำข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการบริหารงานได้ดีคือ กระทรวงสาธารณสุข เช่น ระบบเบิกจ่ายยาในรพ. การเบิกจ่ายเงิน เป็นต้น ควรนำมาพิจารณาใช้กับกระทรวงศึกษาธิการด้วย ผู็เขียนคิดเอาเองว่าที่ไม่นำมาใช้เพราะสามารถตรวจสอบได้ง่าย (ทำให้บิดเบือนข้อมูลยาก) มากกว่าไม่สามารถปฎิบัติได้
ข้อเสนอแนะพิเศษเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเอง เช่นกัน (คิดแบบเล่นๆๆ) สำหรับโรงเรียน น่าจะทำประวัตินักเรียน (สมุดประจำตัวนักเรียนแบบออนไลน์) จะสามารถวิเคราะห์หาต้นตอที่เป็นสาเหตุให้ นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้อย่างชัดเจน โดยให้ทำบันทึกว่าสอนโดยครูแต่ละวิชาชื่ออะไรบ้าง เหมือนประวัติการรักษาคนไข้ หากพบว่า มีจำนวนนักเรียนที่สอนโดยครูคนนั้นมากกว่าร้อยละ 20...30 ขึ้นไป ต้องมีมาตรการพัฒนาครูคนนั้น (ถ้าเป็น คศ.3/คศ.4 ต้องงดจ่ายเงินค่าตอบแทน หรือใช้มาตรการด้านการบริหารงานบุคคล) รวมทั้ง ผู้อำนวยการ/ครูใหญ๋ด้วยค่ะ