สถิติแปลก ๆ..Thailand VS USA.


   อ่านข่าวเดือนนี้ มีข่าวที่ทำให้ฉันขำก๊ากคือข่าวนายพล 2 คนแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับชายคนหนึ่งข้อหา หมิ่นพระนเรศวร โดยอ้างอิง ม.112 กำลังรอติดตามข่าวว่าจะยังไง

อ่านคอลัมน์ในประชาไทวันนี้ก็พบเรื่องน่าสนใจ พบสถิติประหลาด ๆที่ผู้เขียนคือ

กานดา นาคน้อย เมื่อ 19 ตุลาคม 2557 (เป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา) อ่านแล้วรู้สึกจี๊ด ๆ ปนขบขัน ฉันไม่กล้าวิจารณ์ต่อภายใต้บรรยากาศการปฏิรูปประเทศ ถ้าสมาชิก สปช.ท่านใดได้อ่าน เก็บไปเป็นข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปน่าจะดี

ตัวอย่าง

     ไทยมีนายพลมากกว่าสหรัฐอเมริกา (1400 คน ต่อ 1000 คนโดยประมาณ) นั่นคือ สหรัฐมีกำลังพลมากกว่าไทยประมาณ 3 เท่า

     ไทยมีประชากรน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาประมาณ 5 เท่า  

      สหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจด้านการป้องกันประเทศ 

      สหรัฐอเมริกามีจำนวนศาสตราจารย์มากกว่าจำนวนนายพล มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่เช่น สแตนฟอร์ดแห่งเดียวก็

      มีศาสตราจารย์จำนวนมากกว่านายพลทั้งกองทัพ

      ไทยมีจำนวนศาสตราจารย์น้อยกว่าจำนวนนายพลหลายเท่า

       กองทัพสหรัฐและประเทศทุ่มงบประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนาประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ประชาชาติ

       ประเทศไทยมีงบประมาณเพื่อการวิจัยน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ อิอิ

........ไม่ว่าจะวัดด้วยจำนวนประชากรหรือจำนวนแรงงานมีทักษะอย่างศาสตราจารย์ ชัดเจนว่านายพลอเมริกันมีพื้นที่ในตลาดแรงงานน้อยกว่านายพลไทยมากๆ นอกจากนี้สหรัฐฯก็ยกเลิกการเกณฑ์ทหารไป 40 ปีแล้ว นายพลอเมริกันไม่ได้ใช้แรงงานฟรีจากการเกณฑ์ทหาร.........

        ติดตามอ่านได้ที่     http://www.prachatai.com/journal/2014/10/56086

หมายเลขบันทึก: 579153เขียนเมื่อ 23 ตุลาคม 2014 12:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 ตุลาคม 2014 12:34 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ตามความเห็นของผม ไม่อยากให้ประเทศไทยพัฒนาตามแบบประเทศที่ อยู่ห่างจากการล้มละลายแค่เส้นด้ายอย่างนั้นเลยครับ

ไทยมีนายพลมากกว่าสหรัฐอเมริกา (1400 คน ต่อ 1000 คนโดยประมาณ) นั่นคือ สหรัฐมีกำลังพลมากกว่าไทยประมาณ 3 เท่า

ขอแก้ไข.........เปลี่ยน นั่นคือ  เป็น  แต่

ขอบคุณอาจารย์ค่ะ

ดิฉันสนใจเรื่องคุณภาพคนค่ะ  การมีศาสตราจารย์มากสะท้อนว่ามหาวิทยาลัยใส่ใจพัฒนาวิชาการ และที่สำคัญกว่าคือ ศาสตราจารย์เหล่านั้นได้สร้างผลงานวิชาการที่เอามาใช้ได้ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากแค่ไหน

เอาแค่ให้นักเรียน นักศึกษาของเราสนใจอ่าน คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ เป็น รู้เท่าทันรอบตัว ทำได้แค่นี้ประเทศก็รอดแล้วค่ะ  

จะรออ่าน..เจ้าค่ะ...คดีนี้..จะปิด..ตรงไหน..แจ้งจับ..หมิ่น..พระนเรศวร.(.สรวล)..รออยู่..กิ้กๆ...

สวัสดีค่ะท่านบุญญฤทธิ์

เราไม่ควรเอาอย่างประเทศที่ใกล้ล้มละลายหรอกนะคะ แต่ประเทศอะไรบ้างล่ะคะที่ใกล้ล้มละลาย ประเทศใน อียูที่มีข่าวครึกโครมเมื่อปีกลาย ก็รอดแล้ว นี่ก็เพราะมวลมิตรดูแลกันในที่สุด ขอบคุณที่เข้ามาอ่านคะพร้อมให้ข้อคิดเห็นน่าสนใจค่ะ

สวัสดีค่ะคุณหมอ nui

เห็นด้วยค่ะ กล่าวเฉพาะศาสตรจารย์เมืองไทย ยังมีน้อยไป เริ่มจะมีมากขึ้นก็ด้วยการส่งเสริมของกองทุนสนับสนุนการวิจัยนับแต่เริ่มตั้ง ทำให้มีการตื่นตัวกันมากขึ้น เรื่องการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ก็มีเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่การวิจัยเพื่องสร้างเทคโนโลยีขึ้นใช้เอง และการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ทฤษฎีใหม่ ๆยังขาดอยู่มาก และมักจะถูกข่มขู่จากหน่วยงานให้ทุนว่าจะไม่ส่งเสริมเพราะไม่มีประโยชน์ นับว่าเป็นความคิดที่ล้าหลัง ไม่สร้างสรรค์ เรามีมากขึ้นในงานวิจัยประยุกต์โดยเฉพาะงานวิจัยที่เน้นการประยุกต์  ทางการแพทย์ สาธารณสุข อุตสาหกรรมเกตร เป็นต้น ทางสังคมศาสตร์ การนำไปใช้อาจไม่เห็นชัดเท่าทางด้านอื่นนะคะ คนที่ทำงานรับผิดชอบทางด้านการศึกษา การวางแผน หรือการจัดทำนโยบายควรนำไปอ่านและสังเคราะห์ การวิจัยท้องถิ่นก็ถือวาามีการใช้นะคะ เพราะผู้ร่วมวิจัย หรือชาวบ้านเป็นทั้งคนทำวิจัย และใช้ผลเอง รวมทั้งตนเองก็พัฒนาในด้านความคิดและกระบวนการทำงาน เดี๋ยวนี้คนท้องถิ่นหรือคนชนบทไม่เหมือนเมื่อ15 ปีก่อนแล้วค่ะ บางเรื่องเขาคิดหรือพูดได้อย่างน่าทึ่ง เขาไม่ได้ตื้นเขินอีกแล้ว เพราะการเข้าถึงสื่อทุกรูปแบบ การเข้าถึงการศึกษา และการยื่นมือออกไปพัฒนาหรือทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับท้องถิ่น เหลือแต่เพียงรัฐบาลจะกำจัดปัญหาที่เหลืออยู่อย่างไร

เรื่องการรู้จักคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาหรือเด็ก ๆ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าครูไม่รู้จักการใช้คำถามให้เด็กคิดก็ยากอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเอาเนื้อหาวิชาขึ้นมาจับ ถ้าเป็นการตอบข้อสอบเรื่องเวลาอันจำกัดในการสอบก็ทำให้เราสรุปว่าเด็กของเราแย่  

แต่ส่วนตัวสังเกตว่าเด็กสมัยนี้ก็กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้นในชีวิตจริง ถ้าเราคุยเรื่องอื่น ๆไม่เจาะจงเนื้อหาวิชาการ และถ้าเอาเนื้อหาสาระที่เขาตอบหรือแสดงความคิดเห็นมาพิจารณา ก็จะเห็นว่ามีการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินอยู่ในนั้นเหมือนกัน 

สวัสดีค่ะคุณยายธี 

ข่าวฟ้องหมิ่น พระนเรศวรนี่ ฮา ๆๆ จริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนฟ้องเป็นถึง นายพล สงสัยเมืองไทยมีนายพลเยอะ หารแบ่งปริมาณงานกันไปทำให้งานน้อยต่อคน ก็เลยมีเวลามาจับผิดใคร ๆ ตอนนี้ก็ไม่เห็นมีข่าวต่อเนื่อง สงสัย พวกสื่อปิดปากตัวเองค่ะ ถ้าได้ข่าวจะเล่าให้ยายธีฟังเป็นคนแรกค่ะ ฮิฮิ

แต่คิดอีกทีก็น่าจะมีโทษอยู่บ้างที่ละเมิดบุคคลสำคัญที่อยู่ในประวิติศาสตร์ แต่ไม่น่าใช่ ม.112 นะคะ

คืออย่างงี้นะครับ อันนี้ตามความเห็นของผมล้วนๆ
ความความเห็นของผม USA ใกล้ล้มละลายครับ
๑. พฤติกรรมการบริโภค ทั้งภาครัฐและบุคคล ของ USA มีการใช้จ่ายเกินรายได้อย่างมาก ข้อมูลผมจำไม่ได้จากไหน แต่สรุปได้คร่าวๆว่า อเมริกามีหนี้เยอะมากๆ ทั้งภาครัฐก็ใช้เงินเกินรายได้ ทั้งประชาชนก็เป็นหนี้บัตรเครดิตชนิดที่ว่าเสพติดกันเลยทีเดียว ส่งผลให้หนี้รวมของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังมีแนวโน้มที่หนี้จะเพิ่มขึ้นเลื่อยๆ
๒. จาก ข้อ ๑. USA จึงพิมพ์เงินขึ้นมาเพิ่มสภาพคล่องให้กับประเทศ ถ้าจำไม่ผิดเริ่มตั้งแต่ ประธานาธิบดี นิกสัน
๓. USA จึงต้องมีจีนที่คอยซื้อเงิน ดอลล่า เพื่อให้ประเทศไม่ล้มละลาย(ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมจีนต้องซื้อ)

คือ ตามความคิดผม ระบบอุปถัมภ์ของไทยแป็นสิ่งที่แย่ ถ่วงความเจริญ ที่ควรแก้ไข แต่อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นเลยครับ มาแก้ไขที่ตัวเราดีกว่า

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท