เป็นอีกครั้งที่ผมมีโอกาสได้ทำหน้าที่เป็นวิทยากรเนื่องในโครงการ “ชมรมกีฬาสัมพันธ์ ประจำปี ๒๕๕๗”
เวทีดังกล่าวนอกจากการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของนิสิตในสังกัดชมรมกีฬาแล้วยังเป็นเวทีสรุปผลการดำเนินงานขององค์กรนิสิตในด้านกีฬา ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ และการประเมินแผนงานในวงรอบภาคเรียนต้นของปีการศึกษา ๒๕๕๗ ไปพร้อมๆ กัน
เปิดเวที : ดูหนังสั้น ทบทวนตัวเอง-องค์กรตัวเอง
ถัดจากนั้นก็ให้แต่ละคนได้เขียนสะท้อนเพิ่มเติมในประเด็น “จุดอ่อนของตนเอง” หรือ “จุดอ่อนขององค์กรตนเอง” ซึ่งมีประเด็นที่สะท้อนออกมาสำคัญๆ คือ
อาการบาดเจ็บของนักกีฬา
เปิดประเด็น : ทักษะการคิด บ่มเพาะความกล้าสู่การรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า
เมื่อเสร็จสิ้นการสะท้อนประเด็นจุดเด่นและจุดอ่อนข้างต้น ผมก็นำทุกคนกลับเข้าสู่การดูหนังสั้นเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง ทั้งเพื่อเป็นการผ่อนคลาย และเพื่อการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ที่เกี่ยวโยงกับการวิเคราะห์และสังเคราะห์แนวคิดจาก “สื่อ” ด้วยหมายใจว่ากระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้นิสิตได้ฝึกใช้ความคิด ฝึกการใคร่ครวญ เพื่อถอดรหัสในสิ่งที่พบเห็น ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานอันสำคัญของการใช้ชีวิต หรือกระทั่งการนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในเวทีการแข่งขัน - มิใช่มุ่งเน้นแต่เฉพาะความแข็งแกร่งทางกล้ามเนื้อ แต่ในระบบความคิดกลับไม่ได้รับการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
ครั้งนี้ผมใช้เวลากับการพูดคุยมากขึ้นกว่าหนังสั้นเรื่องแรก เพราะมีทั้งที่กระตุ้นให้แต่ละคนได้พูดได้แสดงความคิดเห็น หรือกระทั่งวางกลยุทธ์ “โยนไมค์” ให้นิสิตบางคนได้พูด เพื่อเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้เรื่องการสื่อสาร (ความกล้าในการสื่อสาร) และการแก้ปัญหาต่อสถานการณ์เฉพาะหน้า ไม่ใช่ขลาดกลัว หรือกระทั่งเขินอายต่อการที่จะมี “ตัวตน” ในสังคม
ซึ่งผมเชื่อว่ากระบวนการง่ายๆ ที่ผมจัดแต่งขึ้นนี้ นิสิตสามารถนำไปใช้ได้จริงในเวทีการแข่งขัน หรืออื่นๆ ของนิสิตได้อย่างไม่ต้องกังขา
ในระหว่างที่นิสิตสะท้อนความคิดออกมา ผมจะสังเกตและวิเคราะห์เชิงลึกว่า “มุมมองใด” น่าจะมาจากสาย “นักกีฬา” มุมมองใดน่าจะมาจากสาย “ผู้นำกิจกรรม” (ผู้นำองค์กร) ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ผมก็วิเคราะห์ได้ไม่ผิด เชื่อว่านิสิตหลายคนอาจจะแปลกใจ และคาดไม่ถึงว่าผมจะพยากรณ์ได้แม่นยำราวกับรู้ว่า “ใครเป็นใคร-ใครมาจากไหน”
มิหนำซ้ำในช่วงนี้ผมยังหนุนกระบวนการตนเองผ่านหลักคิดง่ายๆ คือเน้นการสื่อสารสองทาง มีหยิกหยอกทั้งตรงๆ และเนียนๆ สร้างเสียงหัวเราะ หรือกระทั่งการเคร่งคิดสลับฉากไปมาอยู่เนืองๆ ทั้งปวงล้วนเป็นสถานการณ์ที่ผมปรุงแต่ง (จำลอง) ขึ้นมาให้นิสิตได้เรียนรู้ทั้งสิ้น ไม่ใช่ออกแบบการเรียนรู้แบบไม่มีฐานคิด และไม่ใช่ออกแบบการเรียนรู้ในแบบแจ้งวัตถุประสงค์ล่วงหน้าแล้วค่อยลงมือทำ แต่เน้นการให้ทำแล้วค่อยมาสรุปกระบวนการเชื่อมโยงกลับไปยังวัตถุประสงค์ –
เปิดประเด็น : กิจกรรมในความทรงจำ กิจกรรมอันเป็นแรงบันดาลใจ
ต่อเมื่อผมเริ่มมั่นใจว่านิสิตดูจะกระตือรือร้น - ผ่อนคลายและเปิดใจกันมากขึ้น ผมจึงนำนิสิตเข้าสู่ประเด็นการเรียนรู้ในเรื่องถัดมา นั่นก็คือการให้นิสิตแต่ละคนได้เขียนสะท้อนถึงเรื่อง “กิจกรรมในความทรงจำ” หรือ “กิจกรรมอันเป็นแรงบันดาลใจ”
ประเด็นนี้ผมมีหมุดหมายชัดเจนเพื่อ “สำรวจ” ถึงความสนใจของนิสิต สำรวจกิจกรรม หรือแผนงานที่นิสิตชื่นชอบ เสมือนการประเมินแผนการดำเนินงานในรอบที่ผ่านมาในอีกมิติหนึ่งด้วยเช่นกัน ซึ่งนิสิต ได้สะท้อนถึงกิจกรรมที่ชื่นชอบเพียงไม่กี่กิจกรรม กล่าวคือ ...
ประเด็นเหล่านี้ ผมตั้งข้อสังเกตอย่างหนักแน่นว่าส่วนใหญ่ล้วนมุ่งไปสู่กิจกรรมการแข่งขันภายใต้ระบบและกลไกของมหาวิทยาลัยแทบทั้งสิ้น นั่นหมายถึงว่านิสิตสายกีฬาให้ความสำคัญกับการแข่งขันกีฬาสู่ความเป็นเลิศมากกว่าการจัดกิจกรรมที่มุ่งสู่การนันทนาการ หรือมุ่งสู่การเรียนรู้ทักษะทางสังคมผ่านกิจกรรมนอกชั้นเรียนเหมือนองค์กรอื่นๆ
ข้อสังเกตดังกล่าวนี้ ทุกคน-ทุกฝ่ายน้อมรับและเห็นด้วยอย่างไม่งอแง เพราะในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังจะเห็นได้จากงบประมาณที่องค์กรนิสิตได้รับการจัดสรรไปนั้น ส่วนใหญ่องค์กรนิสิตมักจะนำไปหนุนเสริมทักษะในทางกีฬาแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อม การประลองทักษะ ทั้งๆ ที่ในส่วนนี้มหาวิทยาลัยก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่อยู่แล้ว มีน้อยมากที่นิสิตจะนำเงินค่าบำรุงกีฬาไปจัดกิจกรรมกีฬาที่มุ่งส่งเสริมด้านกีฬานันทนาการ หรือการบริการสังคม หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ “แข่งกีฬา” -
ปิดเวที : เชื่อมโยงการเรียนรู้สู่เป้าประสงค์ของการเป็นบัณฑิตที่พึงประสงค์ของมหาวิทยาลัยและสังคม
ภายหลังจากที่หยิบข้อสังเกตมาเป็นประเด็นวิพากษ์ร่วมกันแล้ว ผมถือโอกาสเสริมองค์ความรู้อื่นๆ ให้กับนิสิต เช่น กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา (TQF) รวมถึงปรัชญา-เอกลักษณ์-อัตลักษณ์-ค่านิยมของการเป็นนิสิต “มมส” โดยเริ่มต้นจากการถามทักแบบเนียนๆ ว่านิสิตรู้จักประเด็นเหล่านี้แค่ไหน - ซึ่งเกือบทั้งหมดแทบจะไม่รู้อะไรเลยก็ว่าได้
ครับ-นี่คือภาพสะท้อนหนึ่งของการพัฒนานิสิตผ่านระบบและกลไกอันเป็นกิจกรรมที่กีฬาที่เรากำลังประสบอยู่ ผู้ฝึกสอน หรือกระทั่งเจ้าหน้าที่ของเราเองก็มุ่งสู่การดูแลเรื่องทักษะกีฬาเพื่อการแข่งขันอย่างมากโข ทุ่มงบประมาณไปมากมายก่ายกอง เพื่อให้นิสิตได้สัมผัสกับเวทีของการแข่งขันในวาระต่างๆ รู้ทั้งรู้ว่าจริงๆ แล้วมหาวิทยาลัยก็มิได้ถึงขั้นปักหมุดหมายความเป็นเลิศในด้านกีฬาเสียทั้งหมด เพียงแต่ “เรา” ที่อยู่ในระดับปฏิบัติการมองข้าม หรือหลงลืมที่จะเน้นย้ำในหมุดหมายอันแท้จริง หรือกระทั่งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง
กรณีเช่นนี้ผมยกตัวอย่างให้เจ้าหน้าที่และนิสิตฟังอย่างพื้นๆ ว่า “... ตอบได้หรือไม่ว่ากระบวนการฝึกซ้อมและการแข่งขันของแต่ละชนิดกีฬา ตอบโจทย์เรื่อง TQF หรือเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ค่านิยมการเป็นนิสิตมากน้อยแค่ไหน...”
๘ กันยายน ๒๕๕๗
โครงการชมรมกีฬาสัมพันธ์ ประจำปี ๒๕๕๗
ณ อาคารพัฒนานิสิต ม.มหาสารคาม
อาจารย์ ฝ่ายกิจการนิสิต น่าจะเห็น กิจกรรม ดีดี อย่างนี้ นะครับ
เท่าที่อ่านมาทั้งหมด...แนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้สามารถปรับไปใช้ได้กับประเด็นด้านอื่นๆ ได้แทบจะทุกด้านเลยนะครับอาจารย์...
การทำงานของคนเราหรือหน่วยงาน องค์กร ชุมชน ฯลฯ มักจะหลงลืม "หมุดหมาย" ของตนเอง บางครั้งหากกล่าวในอีกมุมหนึ่งก็คือ "เป้าหมาย" นั่นเอง ด้วยการกำหนดให้ "กว้าง" หรือว่า "แคบ" ...
สะท้อนเข้าหาตนเองได้เหมือนกันว่า "เอ! ตอนนี้เรากำลังหลงเดินออกจากหมุดหมายไปไกลหรือเปล่านะ" ขอบคุณบันทึกดี ๆ นี้มากมายเลยครับอาจารย์ ขอบคุณครับ
เป็นการทบทวนการทำงาน
ทบทวนตัวเองและกิจกรรมที่ดีมาก
ขอบคุณมากๆครับ
สวัสดีครับ ท่าน อ.JJ
ตอนนี้ผมและทีมงานกลับมาดูแลด้่านกิจการนิสิตเหมือนก่อน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรด้านการพัฒนานิสิตของส่วนกลางและคณะควบคู่กันไป สัปดาห์หน้าก็มีเวทีในทำนองนี้ในภาพรวมของสถาบัน มุ่งประเมินแผน พัฒนาแผน และวางรากฐานการกลับไปสู่ยุทธศาสตร์อีกรอบ ครับ
สวัสดีครับ "พี่หนาน"
ประเด็นที่ผมเปิดขึ้นในเวทีซึ่งมุ่งกระทุ้งความคิดของบุคลากร หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง คือ การเชื่อมโยงให้เห็นว่า ภารกิจด้านกิจกรรมกีฬา ไม่ได้มีแค่การเตรียมคนไปแข่งขัน ไม่ได้มีตัวชี้วัดแค่ชัยชนะที่ถูกประดับด้วยเหรียญรางวัลเท่านั้น หากแต่อยากให้ทบทวนว่าจะใช้กิจกรรมกีฬา เป็นระบบและกลไกในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้นิสิต/นิสิตอย่างไร ไม่ใช่ทิ้งภาระนั้นเป็นของผู้สอนในรายวิชาต่างๆ แต่เพียงฝ่ายเดียว
และต้องไม่ลืมว่า นิสิตกลุ่มนี้-กลุ่มกีฬา ได้รับการเกื้อหนุนที่ดีจากสถาบัน มีงบให้ไปแข่งขัน มีงบเตรียมตัว เก็บตัว มีงบค่าชุดแข่งขัน อุปกรณ์ เวชภัณฑ์ ในเวลาไปแข่งก็มีเบี้ยเลี้ยง ได้เหรียญมาก็มีรางวัลอัดฉีด ซึ่งต่างจากนิสิตกลุ่มอื่น โดยเฉพาะกลุ่มกิจกรรมค่ายที่ไม่ได้มีระบบและกลไกหนุนเสริมมากมายเท่านี้ แต่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าสร้างงานอะไรๆ ด้วยตนเอง ก่อเกิดเป็นทักษะชีวิตทักษะสังคมได้ดีอย่างน่ายกย่อง ครับ
สวัสดีครับ คุณเพชรน้ำหนึ่ง
สถานที่จัดงาน เป็นห้องประชุม มีโต๊ะประชุมจัดวางเคลื่อนย้ายไม่ได้เลย ผมเลยต้องปรับแต่งรูปแบบกิจกรรมไปตามบริบทนั้นๆ ...
ในห้วงเวลาอันจำกัด ก็ปรับรุปแบบไปในตัว เอาสื่อเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อชักชวนให้นิสิตกลุ่มกีฬาได้ร่วมวิเคราะห์สังเคราะห์ด้วยตนเอง เพื่อปลดล็อคการคุ้นชินกับการต้องทำตามคำสั่ง เล่นตามโค้ช...ซึ่งจริงๆ กลุ่มนี้ก็คุ้นชินแบบนั้นมาก พอต้องจัดกิจกรรมอื่นๆ ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งขัน จึงประสบปัญหาเรื่องการคิด การออกแบบ ฯลฯ นั่นคือมูลเหตุหนึ่งที่ผมต้องชวนพวกเขาคิดและกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็นให้มากๆ เป็นพิเศษ ครับ
ครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
หลักๆ ที่ผมเลือกหนังสั้นสองเรื่องมาใช้ ก้เพราะว่า....
เรื่องแรก มุ่งเน้นแนวคิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ผ่านการเรียนรู้และฝึกฝน ทั้งในระบบและนอกระบบ อันเป็นตามอัธยาศัย ส่วนเรื่องที่สองก็ยึดโยงว่า หากจะมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ ต้องรู้ตัวตัวตนของเราคืออะไร บริบทที่เราหยัดยืนอยู่เป็นอะไร...
จากนั้น จึงลากโยงมาชวนให้นิสิตได้ "ทบทวนตัวเอง" ครับ