ท่านสามารถเรียนรู้พื้นฐาน RESET ได้ที่บันทึก reset สู่ setting
หรือที่
.
สำหรับผู้ฝึก Reset มือใหม่นั้น สำคัญต้องแยกความแตกต่าง
ของคำว่า "ความคิด" กับ "ความรู้สึกทางกาย" ให้ได้จริง ๆ ก่อน
ในตอนแรกผมคิดว่า ผมเข้าใจ แต่เป็นความเข้าใจผิด จึงทำให้ช้าไปหลายสัปดาห์ หนอ
.
เทคนิคที่ผมใช้ คือ ถ้าใช้สมองเป็นหลัก ถือเป็น ความคิด
แต่ถ้าใช้กายเป็นหลัก (ไม่ได้ตั้งใจให้ส่งไปที่สมอง) ถือว่านั่นคือ ความรู้สึกทางกาย
.
มนุษย์เราส่วนใหญ่ถูกฝึกมาให้ใช้และพัฒนาการคิดเป็นหลักมาตลอดในการใช้ชีวิต
แต่ถ้าเล่น 20 คำถามว่า อะไรที่ทำให้เราเป็นทุกข์ หนอ
ผมว่า คำตอบสุดท้ายก็คือ เราทุกข์ เพราะ ความคิดของเราเอง หนอ
.
แรก ๆ ผมเกิดคำถามขึ้นประมาณว่า ..
ถ้าไม่ใช้ความคิดเป็นหลักแล้ว เราจะเรียนหนังสือไปทำไม ?
ในชีวิตประจำวันถ้าไม่ใช้ความคิดแล้วงานจะมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ?
ถ้าเราไม่ใช้ความคิดเราจะไม่เสียเปรียบคนที่คิดจะเอาเปรียบเราหรือ ?
.
.
จากคำถามข้างต้น บางคำถามผมพอจะได้คำตอบแล้ว
แต่บางคำถามผมมาได้คำตอบตอนมาเรียนหลักสูตร "ครูสมาธิ" หนอ
.
.
ขอถอดบทเรียนบูรณาการไว้เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประมาณนี้ครับ
1. Reset เป็นเครื่องมือทำที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบหรือยังเข้าไม่ถึงคำบาลีทางธรรมทั้งหลาย
ให้สามารถปฏิบัติง่าย ๆ ในการดำเนินชีวิต และมีพลานุภาพทางธรรมจากขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงได้
2. Reset เป็นเครื่องมือช่วยให้ออกจากความคิด โดยอาศัยความรู้สึกทางกาย ที่ทำได้ง่าย ๆ ทุกที่ ทุกเวลา
ในชีวิตประจำวัน
3. เมื่อเพียร Reset ฝึกออกจากความคิดได้จนเกิดความชำนาญแล้ว จิตจะเป็นสมาธิได้ง่ายและได้นานต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อย ๆ
4. จนวันหนึ่ง (จากประสบการณ์ของผม) เราจะสามารถไม่คิดก็ได้ ตรงนี้มีนัยยะที่ต้องผ่านประสบการณ์ตรง
ฝึกแล้วฝึกอีก คำว่า ไม่คิดนี้ เป็นคำใหญ่ท้าทาย ที่ต้องอาศัยความเพียรฝึกสติ สมาธิ และปัญญา
แต่ก่อนนั้น ผมคิดว่า คงไม่มีใครสามารถไม่คิดได้ แม้แต่หลับยังจิตมันยังฝันคิดเลย หนอ
** ข้อดีของการไม่คิดนั้น คือ จิตเราจะสงบตั้งอยู่ ไม่วุ่นวายปั่นป่วนไปเหตุอารมณ์ทางโลกทั้งหลาย
แม้จะตกบ้าง แต่ก็ตั้งใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
*** เป็นเหตุให้ ถ้าเมื่อต้องใช้ความคิดแล้ว ก็สามารถได้อย่างทรงพลานุภาพกว่า คนที่คิดอยู่ตลอดเวลา หนอ
ข้อดี ... ของการไม่คิดนั้น คือ จิตเราจะสงบตั้งอยู่ ไม่วุ่นวายปั่นป่วนไปเหตุอารมณ์ทางโลก ..... ไมคิดก็ไม่ทุกข์ นะคะ
สาธุ สาธุ ครับ