"สังคม : ตบ ตี ต่อย ฯ"


                                  

                                       pic. from  www.news.mthai.com   

                มนุษย์ก็เหมือนกับสัตว์ทั่วๆ ไปในทางกายภาพและวิถีการดำเนินชีวิต เว้นแต่ความคิด คุณธรรมเท่านั้น ที่สะสมเรียนรู้จากสังคมที่เรียกว่า "พัฒนาแล้ว" กระนั้น ก็ไม่แน่ใจนักว่า ปัจจุบันสังคมเจริญหรือที่เรียกว่า พัฒนานั้น มีพฤิตกรรมแปลกๆ ใหม่ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสัตว์ชั้นสูงอย่างมนุษย์นี้ขึ้นมาให้เห็นอยู่ประจำ เหมือนกำลังพัฒนาแต่เหมือนไม่เจริญ

                ในทางประวัติศาสตร์เรามักจะตีความคำว่า "โบราณ" ใน ๒ นัย คือ ๑) สังคมที่ป่าเถื่อน ไม่เจริญ ไม่พัฒนา ยังอยู่ป่า ในเขา ในถ้ำ ที่ไม่มีเครื่องมือ เครื่องใช้ใหม่ๆ เหมือนสมัยใหม่ที่ใช้กัน จึงตีความว่า ไม่พัฒนา ล้าสมัย ๒) สังคมยุคใหม่เหมือนกำลังเจริญไปสุดล้ำ อันเนื่องมาจากพฤติกรรมหรือเกิดจากการคิดค้น สิ่งประดิษฐ์ใหม่ขึ้นมาตั้งแต่อดีต สะท้อนความฉลาด ความคิดค้น มาก่อนสมัยนี้

                 แต่ทำไมคนยุคใหม่จึงมองว่า ยุคเก่าคร่ำครึ ไม่เจริญ ไม่ทันสมัย สาเหตุน่าจะมาจาก สังคมยุคนั้นไม่มีเครื่องมือ สิ่งอำนายความสะดวกเหมือนปัจจุบัน จึงอยู่อย่างมีเงื่อนไขทางกาลเวลาและธรรมชาติเป็นเครื่องผลักดัน แล้วคำว่า "เจริญ" วัดจากสิ่งไหน คนส่วนมากมักจะสรุปจากสิ่งเหล่านี้ ๑) หนทางดี มีสิ่งอำนวยความสะดวก ๒) ไฟฟ้า น้ำประปาดี ๓) มีอาหารการกินไม่ลำบาก ๔) มีตึกอาคารบ้านเรือนแบบใหม่ ๕) มีสื่อ มีอินเตอร์เน็ต คอมพ์ เครื่องมือต่างๆ ใช้ ๖) มีเงิน มีงาน มีเศรษฐกิจดี ๗) มีรถรา มีการขนส่งที่ทันสมัย ไวกว่าเดิม 

                  ๘) มีชาวต่างชาติมาเยี่ยมเยียน พูดภาษาต่างชาติ ๙) มีการศึกษาสูง มีความคิด มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ๑๐) มีวิถีชีวิตแบบใหม่ มีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับโลกความเป็นจริง ที่อิงวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ ไม่ถือว่า "เจริญ"  มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ???

                   คำว่า "เจริญ" หรือ "พัฒนา" นั้น วัดจากส่วนไหนของสังคม ถ้าวัดจากสิ่งแวดล้อมหรือทางกายภาพถือว่า มนุษย์ต่ำสุด คือ พัฒนาแต่ไม่เจริญ หมายความว่า พัฒนาแต่เฉพาะด้านวัตถุ สิ่งของ สิ่งก่อสร้าง สิ่งประดิษฐ์ แต่ส่วนที่ถือว่าสำคัญในสังคมของมนุษย์คือ วัฒนธรรมด้านจิตใจ ยังไม่เจริญ มีแต่ตกต่ำลงเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มชนย่อยๆ ที่พัฒนาทั้งสองทางก็มี คือ ด้านวัตถุและจิตไปพร้อมกัน 

                    การพัฒนาในสังคมยุคใหม่จึงถือว่า ล้มเหลวหรือไม่เจริญขึ้น เนื่องจาก วัตถุสิ่งของ เครื่องใช้ ในชีวิตประจำวัน หรือสิ่งแวดล้อมนั้น ล้วนมีนัยแอบแฝง มีเลศนัย ในการสร้างขึ้นมา มีวัตถุประสงค์ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบแบบยั่งยืน เช่น การทำอาหารก็ใส่สาร ใส่สี ใส่เคมี ให้ดูสวยเด่นงามตา แต่เต็มไปด้วยสารพิษ

                   ที่อยู่อาศัยก็คราคร่ำไปด้วย สิ่งฉาบฉวย จอมปลอม หลอกลวงกัน โฆษณาเกินสรรพคุณความจริง เช่น รถราคาแพง ขับสบาย ประหยัดน้ำมัน โอ่อ่า สวยเฉียบ ปลอดภัย ฯ บ้านหรู มีน้ำ ไฟพร้อม ติดถนน ไปมาสะดวก ราคาไม่แพง ดอกเบี้ยต่ำ ฯ แหล่งศึกษา มหาวิทยาลัย เรียนดี ไม่แพง จบง่าย หางานง่ายหลังจบ มีสวัสดิการต่างๆ มากมาย ฯลฯ

                     กรณีดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นปรากฎการณ์หนึ่งในยุคที่เรียกว่า พัฒนาหรือเจริญแล้ว แต่เมื่อมองให้ลึก สืบให้รู้ วิเคราะห์ให้รอบคอบ จะพบปัญาหาหรือไม่มีความจริงใจต่อภาพพจน์ที่ตนเองประกาศโฆษณาใดๆ เลย ใครหลงเชื่อจึงจะรู้ซึ้งถึงความไม่โปร่งใส หรือความฉาบฉวย เพียงเพื่อให้ได้รายได้ กำไรงาม เท่านั้น

                     นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นกับสังคมอยู่มากมาย ที่สะท้อนความจริง หรือความเจริญ ที่เราภูมิใจว่า เป็นเมืองที่พัฒนาอยู่ทุกซอก ทุกมุมของโลก นั่นคือ พฤติกรรมการอยู่ การกิน การแต่งตัว การเดินทาง การพูด การเล่น การสื่อสาร ฯลฯ ซึ่งจะขอกล่าวเฉพาะในประเด็นที่ตั้งขึ้นมาดังนี้

                 ๑) "สังคมตบกัน" สังคมไทยเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมไทย ช่วยขัดเกลาเยาวชนให้มีกิริยา มารยาทงาม อ่อนหวาน ซึ่งหล่อหลอมให้เกิดพฤติกรรมที่เกิดภาพพจน์ดีงาม ในสายตาของต่างชาติ แต่สังคมยุคใหม่กลับเพี้ยนเปลี่ยนไป จากสตรีที่สุภาพ กลายเป็นหญิงขี้วีน ขี้หึง ไล่ล่าผู้ชาย แย่งกิ๊ก แย่งแฟน แย่งคู่กัน จนเป็นเหตุให้เห็นพฤติกรรมผู้หญิง และผู้ฉิง (กะเทย) ตบกันสนั่นยูทุบ เฟสบุ๊ก ฯ ไม่เว้นแต่ละวัน แค่นักเรียนมัธยมต้น ก็ตบกันเพื่อผู้ชายนี่นะ มันสะท้อนอะไรกันหรือ กิริยามารยาทขาดไปไหนครับ

                    ควรเอาแรงที่มีเหล่านี้ มาเป็นแรงสร้างสรรค์ตัวเอง บริหารกำลังตัวเองให้ถูกต้อง เช่น จากการตบกัน ก็หันมาตบในกีฬาที่ใช้มือตบกัน ให้สนุกไปเลย กีฬาที่ควรตบไม่ยั้งคือ วอลเลย์บอล ปิงปอง แบตมินตั้น ฝึกฝนการตบให้เก่ง ให้ชำนาญ เหมือนนักตบสาวไทยที่ตบกับต่างประเทศนั้นไง เล่นตบให้เต็มบ้านเมืองไปเลยครับ แต่อย่านำมาตบกันเพื่อแย่งกิ๊ก แย่งผู้ชายกันเลย มันเสียมารยาทสาวไทย

                     ๒) "สังคมตีกัน" ในประเทศไทยเป็นเทศที่มีเรื่องการตีกันบ่อยสุด ในแถบอาเซียน ไม่รู้ว่า ทำไมเยาวชนคนไทยจึงชอบชกต่อยตีกัน ที่เด่นๆ คือ พวกพ่อเทคโนทั้งหลาย ชอบยกพวกตีกันประจำ โดยไม่สนว่า ใครจะเดือนดร้อนจากการกระทำของตน เหมือนอันธพาลครองเมือง เยาวชนคนของชาติตีกันเอง ฆ่ากันเอง พกอาวุธต่างๆ เพื่อจะห้ำหั่น ฟันกันให้ถึงตายไปข้างหนึ่งเลยหรือ 

                     คนที่ตายนั้น เป็นคนไทยหรือไม่ เรากำลังฆ่าแกงกัน แค่เรื่องศักดิ์ศรี ที่รุ่นพี่แค้น แล้วมาปลูกฝังคลั่งไคล้ไล่ตีกันตามถนนคนสัญจรนี้หรือ ควรใช้กำลังไปในทางสร้างสรรค์ดีไหมครับ คือ ๑) ไปเป็นทหารทางภาคใต้สิ ๒) ใช้แรงที่มีอยู่ไปเล่นกีฬาเช่น ตีเทนนิส ตีกอล์ฟ ตีกลอง ตีกรับ สิครับ จะได้เกิดสนทนาการแก่ผู้คนทั่วไป เขาจะได้สรรเสริญ ยินดีไปด้วย

                   ๓) "สังคมต่อยกัน" สังคมไทยยุคใหม่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกันง่าย โดยเฉพาะวัยรุ่น ที่เกเร ที่ขาดการศึกษา ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น เช่น ขับรถซิ่ง เมาแล้วชกต่อยกัน เมื่อไหร่มีคอนเสิร์ต มีงานประจำปี เทศกาลต่างๆ กินเหล้าเมายา แล้วหาเรื่องชกต่อยกัน หน้าเวที ตามถนน บ้างก็เพราะเมา บ้างก็เพราะเขม่นกัน บ้างก็มองหน้า บ้างปัญหากิ๊ก อันเป็นเหตุให้ทะเลาะชกต่อยกัน

                   สังคมส่วนใหญ่มิได้เป็นเช่นนี้ แต่เยาวชนวัยรุ่น ใจร้อน อดทนได้น้อย ขาดสติ การการอบรมบ่มเพาะ กิริยา การแสดงออก จึงเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา เราควรหันมาใช้แรงกายให้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์แก่ตนเองและสังคมนั่นคือ ไปต่อยมวยสิครับ เพื่อหารายได้ให้กับตนเองและช่วยเหลือครอบครัวได้ด้วย นักมวยดังๆ ทั้งระดับอาชีพและสมัครเล่นก็ใช้การต่อยนี่แหละ หรือเพื่อป้องกันตัวเอง น่าจะดีครับ

                   ๔) "สังคมเตะกัน" นี่ก็เช่นกัน เห็นวัยรุ่น ตะลุมบอลกัน ในงานต่างๆ ประจำ เพียงเพราะว่า มองหน้ากัน เหยีบเท้ากัน ในงานคอนเสิร์ตหรืองานกีฬาก็มี ส่วนผู้ใหญ่ก็มีปัญหาเช่นกันคือ ผัวเตะเมีย เป็นอาจิณ ภาษาวงเหล้าบอกว่า เลี้ยงเมียด้วยลำแข้ง โอ๊ะโอ๋! ชั่งน่ารัก น่าชังจังเลย การอยู่ร่วมกันแล้วเกิดปัญหา แล้วลงมือ ลงไม้ด้วยการเตะ การต่อย ลงเข่า กัดหู บีบคอ ตบตี กัน ถึงชีวิตก็มี

                   นี่คือ ปัญหาหนึ่งที่สังคมยุคใหม่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างกรณีดาราสาว (JA) นั่นไงเป็นตัวอย่าง พฤติกรรมเช่นนี้ มิได้เป็นเรื่องที่น่ายกย่องว่า ผู้ชายเก่งหรือมีอำนาจหรือมีสิทธิ์เหนือกว่าคู่ของตนเลย เราควรนำกำลังกายมาใช้ให้เกิดการสร้างสรรค์กล่าวคือ นำไปเล่นกีฬาประเภทเตะสิครับ เช่น ฟุตบอล มวย เทควันโด เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม

                   ๕) "สังคมแทงกัน" สังคมยุคใหม่นี้ เป็นสังคมที่เราต้องเสี่ยงที่จะเผชิญกับเหตุการ์ต่างๆ ได้เสมอ ยิ่งสังคมเจริญในเมือง อันตรายหรือภัยต่างๆ ย่อมเจริญตามด้วย ทำให้เราต้องอยู่กันอย่างหวาดระแวงตลอดเวลา เมื่อสังคมมนุษย์ถูกบีบคั้นในเรื่อง การทำมาหากินไม่ได้ ก็จะมีบุคคลที่อาศัยทางลัด ที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ผิดมโนธรรม คือ จี้ ปล้น ลัก ขโมย จากผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทอง จนบางรายถูกแทง ถูกฟันเลือดอาบ แขนขาด คอขาดก็มี 

                   แม้ว่าเราไม่สามารถหยุดหรือห้ามพฤติกรรมเหล่านี้ได้โดยตรง เราต้องยอมรับว่า สังคมแบบใหม่เป็นเช่นนี้ วิธีป้องกันภัยคือ มีสติ ระมัดระวังตัวเองเพิ่มขึ้น หรือถ้าอยากนำเอาแรงเหล่านี้ไปใช้เล่นกีฬาก็น่าจะดีนั่นคือ หันไปแทงสนุ๊กเกอร์สิครับ เพราะนี่คือ พฤติกรรมของคนที่ชอบแทงครับ หรือจะไปแทงบอล แทงหวยก็ตามใจ แต่อย่าไปแทงผู้คนให้เสียชีวิตก็พอ

                   ๖) "สังคมยิงกัน" เป็นเรื่องที่น่ากลัว ที่สังคมยุคใหม่ มีอันตรายรอบด้านทีเดียว เนื่องจากว่า ผู้คนมีใจแปรปรวนง่าย อดทนน้อยลง หุนหัน บ้าบิ่น มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น คือ อาวุธที่ซื้อขายกัน หาง่ายเหลือเกิน จากที่่สังเกตมาหลายปี สังคมไทยมีปัญหาเรื่อง การฆ่า การก่ออาชญากรรมนี้มากขึ้น เราจะโทษใครดี เนื่องจากสังคมเหมือนกำลังจมจ่อมอยู่กับการตัดสินปัญหาด้วยลูก (ปืน) บ่อยๆ 

                     อาวุธคือ สิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตเสมอ แต่ถ้าใช้ให้เกิดประโยชน์ก็มีคุณต่อการป้องปรามตัวเองและศัตรูของชาติได้ ถึงกระนั้น ก็มิใช่ทางออกที่ดีที่สุดในสังคมมนุษย์ทุกเชื้อชาติ ที่จะใช้ปืนยิงกัน เพื่อยุติปัญหา เราควรหันมาใช้อาวุธปืนให้เกิดทักษะในการเล่นกีฬาดีกว่านั้นคือ กีฬายิงปืน ยิงธนู เพื่อเข้าเป้า มิใช่เหมือนกรณีเจ้าเอ๊กซ์กับญาติภรรยา ที่ตัวเองชอบยิงปืน แต่กลับมาถูกยิงตายเพราะปืนแท้ๆ

                    ๗) "สังคมวิ่ง" ในการดำรงชีวิตที่เร่งรีบ ฉับไว ให้ทันเวลา ทันใจ ทันงาน โดยเฉพาะผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ต้องมีพละกำลัง กระฉับกระเฉง ปราดเปรียว ว่องไว อืดอาด ยืดยาดไม่ได้การแน่ สังคมแบบนี้เรียกว่า สังคมแข่งขัน การทำมาหากิน ก็ต้องว่องไว ทันการ จะมัวอ้อยอิ่ง นิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะผู้คนในสังคมถูกบังคับให้ต้องเร่งรีบ ทำให้ผู้คนไม่เห็นคุณค่าต่อการไปมา การเดินทาง การเห็นคนอื่นลำบาก เพราะตัวเองก็ลำบากเช่นกัน จึงกลายเป็นไม่มีใครแคร์ใคร สนใจใคร จึงต้องไปแบบวิ่งแบบแข่งกัน

                     พฤติกรรมเหล่านี้ สะท้อนสังคมได้ชัดเจนมากว่า การจะอยู่ในกลุ่ม ในสังคม ต้องรีบเร่ง แข่งขัน จึงจะอยู่รอด เช่น ถนนในกรุงเทพฯ แคบ คนขับจึงต้องเร่งรีบ หาพื้นที่ไปให้ได้ ให้เร็ว ใครขับช้าก็จะถูกบีบแตรไล่ หรือแซงหน้าไปก่อน ความรีบร้อนแบบนี้ มองให้เป็นก็เห็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย ถือว่าได้ออกกำลังไปด้วย แต่ถ้าเป็นการวิ่งเพื่อไล่ล่า วิ่งเพื่อเอาชนะกันอย่างเดียว เห็นทีไม่ดีแน่ ถ้าจะให้ดีกว่านี้ จงลงสนามไปวิ่งมาราธอนหรือวิ่งผลัดจะดีกว่า

                    ๘) "สังคมลัก" นี่ก็เป็นปัญหาบ้านเมือง เรื่องโจร ขโมย ตามบ้าน ร้านค้า ต่างๆ ทุกซอก ทุกมุมของประเทศไทย เหมือนประเทศนี้ เต็มไปด้วยโจร ผู้ร้าย จี้ปล้น จนล้นเมือง บางคนถึงขนาดเขียนป้ายบอกโจรอย่ามางัดแงะหรือขึ้นบ้าน เพราะหมดแล้ว บ้างก็ติดกล้องวงจรปิด บ้างก็ใช้ยามเฝ้า แต่การลักมิได้มีแต่เฉพาะในบ้าน ในเรือนเท่านั้น มันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ด้วยเล่ห์กล ด้วยการวางแผน การชุนมุน ฯ

                     มันสะท้อนปัญหาด้านค่าครองชีพ คนตกงาน ติดยา ติดการพนัน จึงต้องหาทางหาทรัพย์ในทางมิชอบ ผู้คนจะเดินไปไหนมาไหน ต่างก็ต้องระแวง หวาดผวากัน ทางป้องกันคือ อย่าโชว์ทรัพย์เรียกน้ำย่อยต่อหน้าคนอื่น อย่าเปิดบ้านอ้าซ่าเหมือนกำลังจะโชว์ว่าข้ารวย ติดกล้องวงจรปิด มีความรอบคอบเสมอก่อนออกจากบ้าน หรืออยู่ในรถ เพราะเราไม่อาจพึ่งพาตำรวจได้ตลอดเวลา ตำรวจก็ปวดหัวกับคดีต่างๆ มากมาย ดูเหมือนเราจะหนีไม่ออก แม้แต่ในห้องอาบน้ำ ยังมีขโมยย่องเข้าไปลักยาสีฟัน แชมพู สบู่อาบน้ำไป ต่อมาจึงทราบผู้ขโมยนั่นคือ "สบู่ลัก (ซ์)" อิๆๆๆ

                    ๙) "สังคมไหล"  สังคมมาจากคำว่า "สัง" แปลว่า ร่วม กับคำว่า "คม" แปลว่า ไป สังคม จึงแปลว่า ไหลไปตามกัน หรือไปเส้นทางเดียวกัน ไปตามกัน หรือเรียกว่า "โลกาภิวัตน์" อะไรบ้างที่เรียกว่า "สังคม" ในที่นี่หมายถึง ผูุ้คน กลุ่มคน ที่อยู่กันเป็นชุมชน เป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นประเทศ และเป็นโลก สังคมทั่วโลกมักได้รับอิทธิพลของสังคมที่เหนือกว่า ดีกว่า หรือค่านิยมชมชอบ จึงกลายเป็นแม่แบบของสังคมย่อย สังคมกลุ่มน้อย จึงไหลไปตามกระแสสังคมใหญ่กระตุ้น 

                    กระแสสังคมคือ ปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดเป็นค่านิยม ชื่นชอบแบบเดียวกัน จึงกลายเป็นการเฮหรือเห่อไปกับสิ่งนั้น เช่น ผู้คนกำลังรอซื้อไอโฟนหก หรือสังคมไทยกำลังคลั่งไคล้การเล่นไลน์ เฟสบุ๊ก ไอจี เป็นต้น จึงทำให้กระแสนิยมกันไปทั่วทุกซอกซอยของสังคมไทย เหมือนปลาตาย ที่ไหลไปตามสายน้ำ ตามแรงโน้มถ่วงฉันนั้น

                   ๑๐) "สังคมลวง" ในข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต ฯ เราจะพบเห็นข่าวเกี่ยวกับการต้มตุ๋น หลอกลวงอยู่ประจำ กระนั้น ผู้คนก็ยังไม่วายที่จะถูกหลอกอยู่ประจำเช่นกัน แสดงให้เห็นว่า คนที่หลอกนั้น มีกลยุทธ์ มีรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น เรียกว่า ฉลาดในเรื่องไม่ดี เนื่องจากว่า เขารู้ว่า คนอยากได้ อยากรวย จึงอาศัยเกลือจิ้มเกลือ หรือหนามยอก เอาหนามบ่ง

                   นั่นคือ วิธีแบบอยากแลกอยาก คนลวงก็เพราะอยากได้ คนถูกลวงก็อยากได้กำไรเพิ่มขึ้น จึงถูกหลอกประจำ นอกจากนี้ ยังมีการหลอกแบบไม่รู้ว่าหลอก ที่มาในรูปต่างๆ เช่น รณรงค์ โฆษณา โน้มน้าว ให้รางวัล ลดแลก แจกแถม จัดพิเศษให้ ชิงรางวัล เป็นต้น เหล่านี้คือ การหลอกลวง โดยเฉพาะการโฆษณาทางโทรทัศน์ ล้วนมีวาทกรรมแอบแฝง (โฆษณษเกินจริง) เพื่อประโยชน์ของตนเท่านั้น

                    รูปแบบทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นว่า คนยุคใหม่นี้ฉลาดลงหรือโง่ขึ้น ผู้เขียนมักจะเขียนในประเด็นทำนองนี้บ่อยครั้ง เนื่องจากว่า อยากให้ผู้อ่านได้คิดและฉุกคิด วิเคราะห์ว่า สิ่งที่อยู่รอบตัว พัฒนาไปแบบไหนหรือเจริญลง เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย อันไหนน่าจะตั้งข้อสงสัย มองได้หลายแง่ เราจึงจะหลุดพ้นจากการถูกครอบงำทางตา หู จมูก ลิ้น ใจ หรือประสาททั้งปวงได้

                     เนื่องจากว่า สังคมสมัยใหม่ ขาดใจเอื้ออาทรต่อกัน ไม่มีน้ำใจ ไม่มีคำว่า เห็นใจที่ควรจะเป็น จะล้างสมองให้เรากลายเป็นลูกค้าถาวรอย่างนั้นหรือ บางทีเราต้องกลับไปทบทวนวิธีแบบเก่า แบบโบราณกันบ้างว่า อดีตพ่อแม่เราพัฒนา สิ่งแวดล้อม สังคม มาอย่างไร จึงทำให้เขาดำรงอยู่ได้อย่างอมตะ หรือสังคมสมัยใหม่ควรจะแก้ไขอะไรบ้างจึงจะสอดคล้องกับการพัฒนาแบบยั่งยืนและถาวร มิใช่พัฒนาแบบฉาบฉวย อำนวยโกง นะครับ

-----------------------(๑๔/๘/๕๗)-------------------------

คำสำคัญ (Tags): #สังคม
หมายเลขบันทึก: 574585เขียนเมื่อ 14 สิงหาคม 2014 21:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม 2014 12:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ขอบคุณค่ะ

ดูเหมือนสื่อจะตอบสนองความนิยมของสังคม

จึงมีหนังแนวตบตี แย่งชิง เปิดกันทุกช่อง มีเนื้อหาสอนใจอยุ่นิดเดียวตอนจบ

แต่ละซีนต้องมีคำแสลง คำด่า คำกระทบกระเทียบ.....

รายการดีๆ จะอยุ่ตอนดึก หรือเช้ามืดค่ะ ........บ่นนิดนะคะ

อ่านแล้ว ตัวผมอยู่ในสังคม วิ่ง เด่นชัดมากครับ...

เฮ้อ..เหนื่อย

เหนื่อยไหมเอ่ย..ที่เอ่ยๆๆมา..(บังเอิญได้ดูหนังสารคดีของฝรั่งเรื่องหนึ่ง..แทงใจผู้ดูอย่างยายธี..อ้ะะๆๆอยากจะมาแซวไว้ในที่นี้..ฝรั่งมีความเชื่อฝังกระดูกดำ..มาว่า..คนผิวสี..นั้น..พัฒนาและมีความศิวิลัยก์ไม่ได้เพราะเขาเห็นว่า..ดั้งเดิมที่เรียกว่าคนป่าผิวสีที่แตกต่างจากเขาไป..เริ่มต้นคือ..เขาเอาเราเป็นทาส..แรงงานแทน..สัตว์และเครื่องยนต์..โดยใช้ความเถื่อนของความเป็นเขากับเราๆ(คนผิวสี)...ตั้งแต่เริ่มต้น..ศตวรรษที่ยี่สิบเป็นต้นมา...)และเอาเปรียบทุกด้าน..จนมาถึงปัจจุบัน..อะไรๆที่บ่นมา..นั้น..เป็นผลพวงของการกลืนกินทางวัฒนธรรม..อ้ะ.ะ..เราก็ลอกเรียนกันมาตลอด..จนตราบเท่าทุกวันนี้..อิอิ...

ภาพที่เห็น ขึ้นอยู่กับสถาบันครอบครัวด้วยนะคะ ที่ต้องดูแล ให้ความรู้ เป็นเรื่องยากจริง ๆ กับสังคม

-สวัสดีครับ

-สื่อต่าง ๆ ชอบข่าวแบบนี้ครับ

-สังคม ตบ ตี ต่อย เพิ่มขึ้น..

-น่าหดหู่ใจ

-ขอบคุณครับ


  สังคมกำลังเริ่มทดถอยลงนะคะ .... 

สังคมตบกัน....ตบกัน ...หลอกลวงกัน ....ฯลฯ....ต้องให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง..สื่อ..ละคร ...ลดเรื่องแบบนี้ลง นะคะ

เวลาอ่านบันทึกของอาจารย์ตอนบ่าย ผมต้องไปดื่มกาแฟก่อนแก้วหนึ่ง ไม่งั้นอ่านไม่จบสักบันทึกเลยหลับก่อนครับ อิอิอิ...

มีคนเขาพูดกันเล่นๆ สนุกๆ ว่าปัจจุบันนี้..."คนกะเหรี่ยงตามก้นคนพม่า...คนพม่าตามก้นคนลาว...คนลาวตามก้นคนไทย...คนไทยตามก้นฝรั่ง...และคนฝรั่งก็กลับมาตามก้นคนกะเหรี่ยงอีกที...เป็นวัฏฏะ(วน)อย่างนี้ ไม่รู้จริงแท้อย่างไร...

ผมชื่นชอบฝรั่งท่านหนึ่งคือ มาร์ติน วีลเลอร์ ที่ทำเกษตรและได้ภรรยาทางภาคอีสาน...เขาน่ารักมาก ผมชอบตรงที่เขาพูดในลักษณะว่า "เงินไม่สำคัญเสมอไป...ทำอะไรอย่าคาดหวังแต่จะได้เงิน..แม้แต่การเรียนหนังสือหาความรู้ อย่าเอาปริญญาไปแลกกับเงิน...เพราะจะทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า"...เขายังกล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียงว่า...

"ปัญหาคือ คนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง เอาอย่างเดียวคือ ยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียงที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย"

ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/49024

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท