บันทึกการเดินทางด้วยรอยเท้าของตัวเอง (27) : ไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มีไลน์ (ผมก็ไม่ใช่คนขวางโลก)


ผมรู้แล้วว่าหัวจิตหัวใจของผมไม่ใช่คนเสพติดรสหวานของเทคโนโลยีแห่งการสื่อสารเลยก็ว่าได้ ​ ไม่มีก็ไม่ทุกข์ ไม่มีก็สุขสงบ

(๑)


ผมรู้ดีว่าโลกไม่ได้มีแต่เฉพาะผมคนเดียว จังหวะชีวิตของผมย่อมยึดโยงส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างอย่างเลี่ยงไม่ได้              

           จะครบขวบเดือนแล้วที่ผมกลับเข้าสู่โหมดอันเป็นโลกส่วนตัว โดยเริ่มจากการเลิกใช้ไลน์ เลิกใช้เฟซบุ๊ก และล่าสุดคือเริ่มที่จะเลิกใช้มือถือ
           ระยะนี้จึงเริ่มต้นจากการปิดมือถือเป็นห้วงๆ  บางวันปิดครึ่งวัน  บางวันปิดเต็มวัน  ด้วยหมายใจว่าในอนาคตอันใกล้คือระงับใช้ –

           จำไม่ได้เหมือนกันว่ามีมือถือใช้ครั้งแรกตอนไหน
          รู้แต่ว่าตนเองไม่ใช่มนุษย์ที่เห่อมือถือเสียเท่าไหร่   เท่าที่จำความได้  มือถือเครื่องแรกที่ได้มาก็ทีมงานนั่นแหละซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้เมื่อหลายปีก่อน

           สาบานได้เลยว่าการพาตัวเองออกมาจากโลกไซเบอร์ในช่วงสั้นๆ  ได้ก่อให้เกิดมิติบางเรื่องกับตัวเองอย่างเด่นชัดหลายอย่าง เหมือนการได้ปฏิบัติธรรมในอีกมิติหนึ่ง   ผมมีสมาธิมากขึ้น ได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองมากขึ้น มีเวลาได้อ่านหนังสือมากขึ้น  ทานข้าวโดยไม่ต้องพะว้าพะวังกับเสียงสัญญาณขานทักจากไลน์ –เฟซบุ๊ก คงเหลือแต่มือถือเท่านั้นที่กำลังค่อยๆ ปล่อยวางและปลดละวางออกจากชีวิต


(๒)


ครับ, ผมเคยไม่ใช้มือถือต่อเนื่องยาวนานครึ่งปี   
           ห้วงอารมณ์นั้นมีความสุขและสนุกกับชีวิตอย่างมากโข  การสื่อสารกับโลกภายนอกในช่วงนั้นจึงมุ่งใช้ “อีเมล” เป็นหัวใจหลัก   
           แต่ก็อย่างว่า  โลกใบนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะผมเพียงคนเดียว 
           พอผมหลุดลอยออกมาจากมือถือ  คนรอบตัวก็ได้รับกระทบไปตามๆ กัน  โดยเฉพาะคนใกล้ตัวที่สุด  ต้องกลายเป็นยิ่งกว่าเลขาส่วนตัวคอยรับสาร  และสื่อสารเรื่องราวต่างๆ กลับมายังผมอีกที

           ยอมรับครับว่าผมเป็นคนเช่นนี้จริงๆ   ดูเหมือนขวางโลกยังไงยังงั้น  
          กระนั้นก็ขอยืนยันว่าผมไม่ได้วิปลาสอันใด  
ไม่ได้สวนกระแส  หรือต้านกระแส  ไม่ได้ต้องการสร้างจุดเด่นจุดด้อยให้กับตัวเองเฃบแม้แต่น้อย  รู้เพียงแต่ว่าทำแล้วมีความสุข  สุขที่ได้ทำ และสุขที่ได้เป็นเช่นนี้ ---

           ในอีกมุมหนึ่งหลายต่อหลายคนคงพิพากษาผมเป็นการภายในไปเรียบร้อยแล้วว่าการตัดสายป่านตัวเองออกจากระบบสื่อสารเทคโนโลยีเช่นนี้  จริงๆ อาจหมายถึง "ความล้มเหลว" ของผมในการ "บริหารเวลา" เสียมากกว่า
           ซึ่งจริงๆ ขอยืนยันนอนยันตรงนี้ว่ามันไม่ใช่เสียทั้งหมด 
           และถึงแม้จะมีส่วนอยู่บ้าง  ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวความที่ว่า "ใช่" เท่านั้น


(๓)


ผมรู้สึกอิ่มเบื่อกับภาพชีวิตผู้คนอย่างดารดาษในวิถีของโลกไซเบอร์ เราคุยกันน้อยลง 

           คิดดูเถอะครับ, ขนาดนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันยังก้มๆ เงยๆ เสพสัมผัสอยู่แต่กับเจ้ามือถือ
           จะลงมือทานอาหารวักอย่าง  ยังต้องเล่นมือถือสลับกันไปราวกับมือถือเป็นมหรสพบนโต๊ะอาหาร   
           มิหนำซ้ำ  ก่อนทานยังมีพิธีกรรมถ่ายภาพอาหาร  ถ้าไม่ถ่ายภาพก่อน  เหมือนทานแล้วอาหารจะสำแดงเดชเป็นพิษต่อกระเพาะ
           นั่งอยู่หน้าจอทีวี หรือโต๊ะประชุมแท้ๆ  ยังต้องเล่นไลน์  เล่นเฟซ
           และนั่นยังไม่รวมว่าคนๆ  เดียวหอบหิ้วมือถืออย่างพะรุงพะรัง   มีมากกว่าเครื่องสองเครื่อง ราวกับสร้อยแหวนเงินทองที่ประดับเป็นอาภรณ์อยู่บนร่างกายก็ไม่ปาน
          ไปไหนนั่งไหนก็ยึดพนังห้องเพื่อชาร์ตแบต   เดินถามท้องถนนระโยงระยางไปด้วยสายเสียบหู เสียเครื่องเพื่อชาร์ตแบต
           ภาพ หรือปรากฏการณ์เช่นนั้น  ผมอิ่มล้น ทะลักเป็นความเบื่อมากขึ้นทุกขณะ

           เช่นเดียวกับในยามที่ต้องสื่อสารส่งข้อความถึงกันผ่านไลน์  ผ่านไฟซบุ๊กก็เหมือนประหยัดอดออมถ้อยคำกันเหลือล้น  ชอบส่งข้อความกันสั้นๆ  ใช้ภาพและสัญลักษณ์แทน  ชวนให้คนรับสารตีความและสังเคราะห์ความกันไปอีกทอดหนึ่ง  จนไม่ค่อยได้คุยภาษาไทยให้จบประโยค จบกระบวนความกันสักเท่าไหร่  
           สิ่งเหล่านี้  มันยิ่งเหมือนสร้างกำแพงการสื่อสารแบบตัวเป็นๆ ให้ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ



(๔)

อันที่จริงเทคโนโลยีเป็นนวัตกรรมชั้นยอดของมนุษย์เรานี่แหละ
           ทั้งปวงถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างสร้างสรรค์ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าเราๆ ท่านๆ จะใช้สอยอย่างสร้างสรรค์แค่ไหน

           ใช้เป็น หรือใช้ไม่เป็น หรือตกหลุมพรางเสพติดรสหวานของเทคโนโลยีอย่างไม่มีสติจนกลายเป็นทาสไปในที่สุด

           ถึงตรงนี้ผมยังยืนยันว่าผมไม่ใช่คนขวางโลก  ไม่ใช่คนต้านเทคโนโลยี  ไม่ใช่คนไม่เข้าสังคม  ไม่ใช่คนสวนกระแสเพื่อสร้างกระแสอันใดให้กับตัวเอง 
           เพราะโดยเนื้อแท้  ผมไม่ใช่คนวิเศษวิโสอันใด  ไม่มีบารมีที่จะต้องอัพตัวเองผ่านกระบวนการปฏิเสธระบบการสื่อสารอันทรงพลังของยุคสมัย   
          หากแต่ทั้งปวง  ผมแค่รู้สึกว่าผมสุขใจกับการพาตัวเองหลุดลอยออกมาจากโลกดังกล่าว  ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะยาวนานแค่ไหน  
          บอกได้แต่เพียงว่าทันทีที่หลุดลอยออกมา  ผมมีความสุข  สงบนิ่งมากกว่าแต่ก่อนอย่างมโหฬาร



(๕)

ครับ, ผมยังเป็นมนุษย์ที่ยังต้องเข้าสังคม
          โลกไม่ได้มีเพียงผมคนเดียว  ความเป็นผมย่อมกระทบต่อคนรอบกายอย่างเลี่ยงไม่ได้ พฤติกรรมหลุดลอยจากเทคโนโลยีของผมย่อมกระทบต่อคนรอบข้างเป็นธรรมดา  ซึ่งยังไงเสียต้องขออภัย ขออโหสิกรรมมา ณ โอกาสนี้
          และผมก็เชื่อว่าเมื่อตัดสินใจหลุดลอยออกมาก็จะพยายามเรียนรู้และรับผิดชอบต่อตนเองให้มาก  เพื่อมิให้สร้างความเดือดร้อนต่อคนอื่นๆ  หรือถ้าจำเป็นต้องเดือดร้อน  ก็ให้เดือดร้อนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะพึงกระทำได้



(๖)

เหนือสิ่งอื่นใด   ผมมองว่าคนที่ไม่มีมือถือ  ไม่มีเฟซบุ๊ก  ไม่มีไลน์  ไม่มีทวิตเตอร์   ย่อมไม่ใช่คนชายขอบกระมังครับ
          ผมเชื่อและศรัทธาว่าในโลกนี้ยังมีระบบการสื่อสารอีกหลายทาง 
          สำหรับผมแล้ว เมื่อจำเป็นจริงๆ การกลับไป "หยอดตู้โทรศัพท์"  ริมทางเท้าก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ชวนหลงรัก           หรือกระทั่งการเขียน "จดหมาย"  ฝากบุรุษไปรษณีย์  
         หรือไม่ก็เขียนข้อความส่งผ่าน "อีเมล"  ก็ยังเป็นเรื่องที่ผมหลงรัก ซึ่งผมไม่คิดที่จะหลุดลอยออกมาจากกระบวนการเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย –
          แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่าหัวจิตหัวใจของผมไม่ใช่คนเสพติดรสหวานของเทคโนโลยีแห่งการสื่อสารอันทันสมัยเลยก็ว่าได้ 

          ไม่มีก็ไม่ทุกข์  ไม่มีก็ไม่เห็นกับต้องลงแดง  ชักดิ้นชักงอ
         ไม่มีก็สุขสงบดี 
          และที่สำคัญคือไม่เปลืองตังค์ -555555



......
ห้องพักอันเป็นโลกอีกใบของชีวิต
มหาสารคาม
๒๕  มิถุนายน ๒๕๕๗

หมายเลขบันทึก: 570987เขียนเมื่อ 25 มิถุนายน 2014 12:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มิถุนายน 2014 17:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

พี่ก็รู้สึกเหมือนอ.แผ่นดินค่ะ   มากเกินไปก็น่าเบื่อนะคะ  

วันก่อนเห็น...แม่เอาลูกน้อย  นั่งหน้ารถมอเตอร์ไซค์   ... มือหนึ่งจับ hand motorcycle .. อีกมือ คุยโทรศัพท์ .... หมวกกันน๊อกก็ไม่ใส่ ทั้ง ลูกและแม่ ..... และก็ไม่หยุดข้างทางคุย  .... ยังขี่รถมอเตอร์ไซค์ไป  เธอยังคงคุย โทยศัพท์ไป ... 

เห็นแล้ว ... เราเป็นชาว สา'สุข... แล้ว .... หงุดหงิด ค่ะ สงสารลูกของเขานะคะ ... กลัวตกรถ นะคะ  

สวัสดีครับ พี่KRUDALA

ผมรู้สึกว่าในทุกครั้งที่เราจับจ้องอยู่แต่กับมือถือเพื่อเล่นเฟซบุ๊ก หรือไลน์   มันก็เหมือนเราอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง...ล่าสุดที่ผมเดินเท้าในต่างจังหวัด หนุ่มสาวนั่งคลอเคลียกันในร้านกาแฟ  แต่แทบไม่คุยกันเลย  ต่างคนต่างก้มๆ เงยๆ อยู่กับมือถือ...

ผมไม่รู้หรอกครับว่า  เขากำลังคุยกันและกันผ่านมือถือ หรือคุยกับใครอื่น...
มันกลายเป็นปรากฎการณ์ชีวิตที่พบเจออย่างดาษดื่นซึ่งผมเอง รับรู้ เข้าใจ...
จึงได้หวนกลับมาจัดการกับตัวเองเป็นที่ตั้ง ครับ

สวัสดีครับ พี่ Dr. Ple

เพียงก้มๆ เงยๆ ดูมือถือในระหว่างขับรถ   เงยหน้าอีกที  ก็ชนท้ายรถคึนอื่นแล้วก็บ่อย
ลำพังตัวเองไม่เืท่าไหร่ครับ เดือดร้อนคนอื่นไปในตัว...

ขอบคุณสำหรับการบอกเล่าเรื่องราวดีๆ ที่สื่อให้เห็นถึงความจริงที่ดำเนินอยู่ในสังคมที่มิติหนึ่งอาจมองว่าธรรมดาสามัญ  แต่ลึกๆ มันสุ่มเสี่ยงต่อชะตากรรมอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียวครับ

เป็นบทความที่เฝ้ารอมานาน วันนี้มีคนจุดประกายแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกก็ว่าได้ 

โดยส่วนตัวก็ไม่ชอบการเปลียนของเทคโนโลยีเท่าไร เพราะเปลี่ยนเมื่อใดก็ต้องเสียเงิน เสียเวลาเมื่อนั้น เพราะของที่ผลิตมาดูเหมือนไม่มีราคาเวลามันเสียไป มันไม่อาจพลิกแพลงได้ เหมือนก้อนหิน ดินทราบ หรือไม้ 

แต่ขณะเดียวตัวเองก็ทำงานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ระบบการทำงานบางส่วนลัดวงจร มีการสั่งงานทางลัด แรกๆอาจจะถนัด ชื่นชอบ ส่งงาน มอบหมายงานเร็วดี อยู่ไหนก็ทำได้ แต่สักพักเริ่มกระอัก เพราะงานมักเข้าทุกที่ทุกเวลา จนลืมไปว่า ชีวิตต้องมีการพักผ่อน

นานาจิตตัง ไว้มีเวลา เราค่อยมาต่อยอดกันต่อ

อย่าลืมว่าเฟซบุ๊คนั้นเป็นธุรกิจ ถ้าวันหนึ่งมันหมดยุคนี้ไป ทุกอย่างที่บันทึกในนั้นก็จะหายไปตามกระแส เหมือนกรณี Hi5 และไม่มีใครจะมาตามเก็บเรื่องต่างๆไปเก็บไว้ที่อื่น มันเสียเวลา สู้เล่าใน GotoKnow หรือแหล่งบันทึกอิสระทั่วไปจะดีกว่า ไม่มีวันตายตามกระแส

แน่นอนการปฎิเสธช่องทางสื่อสารที่คนรอบข้างกำลังใช้อยู่ทั่วไปย่อมนำไปสู่ปัญหา แต่ถ้ามองดีๆทุกคนก็อยู่มาได้และจะอยู่ได้ถ้าไม่มีช่องทางเพิ่มเติมที่นอกเหนือช่องทางที่หน่วยงานหรือสังคมจัดหาไว้ 

คงต้องอาศัยการปรับตัวมากขึ้นเลยทีเดียวและต้องปรับให้เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เอาแบบกลางๆไว้ก่อน ให้ชินและทุกอย่างจะดีเอง

ปัจจุบัน ข่าวสารต่างๆยังต้องอาศัยกระดาษ การลงนามเอกสารต่างๆ การได้สัมผัสความจริงของธรรมชาติ  ลำพังจะเอาอาศัยการแชร์ การดูจากภาพวิดีโอคงไม่ได้ เพราะยิ่งทันสมัย ก็ยิ่งอันตราย การตัดต่อ การเชื่อมโยงเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีอนุภาพสูงมาก

อะไรที่ไม่ดี แค่แชร์ก็เกิดการฆ่าฟันล้มตายกันได้ทันที แต่ถ้าอะไรที่ดี ถ้ามีคนแชร์ออกไปมันกลับทำให้ชีวิตคนๆหนึ่งเติบโตขึ้นมาได้อย่างสวยงาม และก็คงไม่พ้นการแชร์สิ่งที่ดีแต่แฝงด้วยการหลอกลวงทำให้คนที่อยากช่วยไม่มั่นใจที่จะช่วยเหลืออีกต่อไป

ดีใจมากค่ะที่ได้อ่านสมุดบันทึกของอาจารย์เล่มนี้  วิถีชีวิตของคนจำนวนมาก เป็นเช่นนั้นจริง ๆ  ดีใจที่อาจารย์พนัสเขียนได้ตรงกับใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะตนเองก็ไม่เคยใช้ไลน์เลยแม้สักครั้งเดียว มือถือก็ใช้น้อยมาก มีไว้ใช้เวลาอยู่ในรถเผื่อคราวจำเป็น แรก ๆ ก็มีอุปสรรคบ้าง เพราะเป็นคนที่ตามตัวยาก เดี๋ยวนี้สบายเพราะเป็นที่รู้กันว่าอยู่บ้านให้โทรเบอร์บ้าน อยู่ที่ทำงานให้โทรที่ทำงาน หากันไม่เจอจะโทรกลับเองมากกว่า ปัจจุบันตามห้องประชุมต่าง ๆ ก็มักมีโทรศัพท์ที่พร้อมใช้งานได้อยู่แล้ว จึงใช้ e-mail ในการติดต่อเป็นส่วนใหญ่เช่นกันค่ะ

 เห็นด้วยกับอาจารย์พนัส และความเห็นของทุก ๆ ท่านค่ะ ขอบคุณมากค่ะ 

สวัสดีครับ อ.วันสุไลมาน เจะแวมาแจ

ก่อนอื่นต้องขอบพระคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียน เติมเต็มบันทึกที่ผมได้เขียน นะครับ

ถึงตรงนี้ผมยังยืนยันครับว่าชีวิตผมเปลี่ยนแปลงได้เปิดโลกทัศน์มากมายจากการเข้ามาเรียนรู้ใน gotoknow มีหลายช่วงหันหายไป ด้วยภารกิจอันเคร่งเครียด เขียนเรื่องเล่าแทบไม่ได้ เพราะงานที่เขียนกลายเป็นงานที่เน้นวิชาการเอามากๆ

การตัดสินใจลดทอนระบบโลกไซเบอร์ออกจากตัวเองนั้น คิดไม่นานหรอกนะครับ แต่ตระหนักมาตลอดว่ามีความสำคัญกับชีวิตมากเหมือนกัน ไม่ได้ปฏิเสธถึงพลานุภาพของการใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ รวดเร็ว ทันใจ ได้ผลในหลายๆ ประเด็น

หากแต่ขณะหนึ่งของความรู้สึกผมกลับมองว่า ไม่ได้สำคัญกับผมอย่างยิ่งใหญ่เสียทั้งหมด ผมเริ่มรำคาญวิถีรอบข้างที่หอบหิ้วมือถือกันคนละหลายๆ เครื่อง...เดี๋ยวหยิบเครื่องนั้นเครื่องนี้มาใช้ต่อหน้าเรา ทั้งๆ ที่วันนั้น วินาทีนั้นมีภารกิจกับเราอย่างชัดแจ้ง มันพลอยให้เรารู้สึกเสียสมาธิ เกรงใจ และไม่สะดวกใจไปโดยปริยาย  บางครั้งก็สับสนว่าแต่ละคนใช้กันกี่เบอร์กันแน่

โดยปรกติผมก็ไม่ใช่คนประเภทโทรหาผู้คนซะมากมาย...แต่ก็ไม่ใช่ประเภทปลีกวิเวก สมถะสันโดษ
แต่วันเวลาที่ผ่านมา มือถือผมถูกใช้ประโยชน์จากสาระบบอย่างมากมายก่ายกอง เกี่ยวข้อง หรือไม่หน่วยงานตรงส่วนกลางมักให้เบอร์ผมไปทั่วสารทิศ  จนผมคิดประชดด้วยวาทกรรมว่า "มีปัญหาปรึกษา....." ถึงขั้นสกรีนเป็นเสื้อใส่กันเลยทีเดียว

การยุติการใช้ประโยชน์  หรือผ่อนเบาเงื่อนไขเปิดกว้างของการสื่อสาร ขณะหนึ่งก็ต้องการสื่อสารให้คนอื่นๆ ได้รับรู้เหมือนกันว่า เรื่องบางเรื่อง เป็นเรื่องของท่านๆ - ฉะนี้แล้วท่านๆ ก็ควรต้องรับผิดชอบกันเองบ้าง เหลือล้นเกินแรง ค่อยส่งต่อมายังผม-....

จริงด้วยครับ

เทคโนโลยีบางอย่างมากเกินจำเป้นก็ไม่ดี

ถ้าไม่ใช้มีโอกาสฟังหัวใจตัวเองมากขึ้น

ขอบคุณความคิดดีๆครับ

ขอบคุณ อ.กุหลาบ มัทนา

ก่อนเขียนบันทึกนี้ก็หวั่นหวาดอยู่เหมือนกัน  เกรงว่าจะเคืองใจบางท่าน เดี่ยวหาว่าผมมองโลกหม่นมืดซะเหลือเกิน หรือมองโลกมุมเดียวเป็นหัวใจหลัก   เพราะจริงๆ มันขึ้นอยู่กับว่าคนแต่ละคนพึงใจจะหยิบจับมาใช้หรือไม่ หรือมีวุฒิภาวะในการเลือกใช้สอยให้เกิดประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์บ้านเมืองวันนี้  เห็นหลายๆ คนต้องจ่ายเงินหลักแสนเพียงเพราะพลัดหลงไปเล่นเกมอย่างแสนสนุก  จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็เถอะ  แต่ถือว่านี่คือบทเรียนที่ต้องเรียนรู้  ทั้งในฐานะของผู้บริโภคและในเรื่องของความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ

ได้อย่างเสียอย่างในทุกเรื่องครับ  
หากแต่สถานะ และสภาวะตอนนี้  ผมมีความสุขมากเลยครับกับการได้พักพาตัวเองออกมาจากโลกไซเบอร์  ถึงแม้คนอื่นจะวิ่งวุ่นในการสื่อสารกับผมทั้งการงานและส่วนตัว แต่ผมว่ามันไม่เลวร้ายนักหรอก  เรายังมีวิธีการ ช่องทางการสื่อสารต่อกันอีกหลายช่องทาง...

และที่สำคัญ  ไม่ว่าสื่อสารผ่านช่องทางใด  ความเป็นอัตลักษณ์ภาษาของชาติ ก็ไม่ควรละข้าม  ผมถึงได้หลงรักการเขียนจดหมาย  หรือเขียนบันทึกอันยืดยาวเสียมากกว่า -

ขอบคุณครับ

ครับ อ. ขจิต ฝอยทอง

.ตอนนี้มีสมาธิกับหนังสือเล่มใหม่  "ส่งลูกไปเรียนพิเศษที่บ้านนอก" 
และ "เธออยู่ที่นั่นฉันอยู่ที่นี่"  มากขึ้นเลยครับ
ได้คิดและเขียนวันละนิดวันละหน่อย
ขัดแต่ง ขัดเกลาไปเรื่อยๆ

การระงับ ยุติชีวิตในโลกเหล่านั้น  ช่วยได้หลายเรื่องเลยครับ
มันเหมือนการปฏิบัติธรรมในอีกมิติหนึ่งจริงๆ...

...เทคโนโลยีในการสื่อสารไร้พรมแดน มีทั้งคุณอนันต์ มีโทษมหันต์นะคะ ...หากเลือกหยิบมาใช้ให้ถูกเวลา ถูกงาน และถูกคนก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้นะคะอาจารย์...ส่วนตัวไม่ได้ใช้ Facebook ไม่เคยใช้ line แต่ตอนนี้ใช้ e-mail สำหรับรับข่าวสารข้อมูล ใช้ tango ใช้ Skype แทนโทรศัพท์พูดคุยกับญาติ และเพื่อนๆที่เมืองไทย ประหยัดค่าโทรศัพท์ และยังสามารถมองเห็นหน้าเห็นตากันอีกด้วยค่ะ 

คุณมะเดื่อใช้มือถือที่ซื้อมาหลายปีแล้ว  ( ปัจจุบันคงหาอะไหล่ไม่ได้แล้ว)  มีเฟสบุ๊คเอาไว้ติดตามความเคลื่อนไหวของญาติมิตร แต่ไม่โพสต์อะไรเป็นสาระ    และไม่มีไลน์  มีเว็บไซต์การศึกษาสองสามเว็ปเอาไว้เผยแพร่งาน  (โดยเฉพาะโกทูโน )  แค่นี้พอแล้วจ้ะ

เป็นของสิ้นเปลืองพอสมควรในความเห็นส่วนตัว กำลังค่อย ๆ ลดการใช้ค่ะ

(นาทีละ..บาท เราน่าจะทำคุณประโยชน์กับเงินจำนวนนี้ได้มากกว่านี้ )

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท