ผู้เขียนมีความรู้สึกว่าพฤติกรรมตัวเองเริ่มเปลี่ยนไป จากชอบบันทึก ชอบเขียนก็ไม่ค่อยเข้ามาเขียนในที่นี้ เหมือนหมดเรื่องราวน่าสนใจ ที่จะมาเล่าสู่กันฟัง ผู้เขียนชอบไปเขียนกลอนให้ชมรมคนรักมวลเมฆทางเฟสบุค ที่สมาชิกที่นั่นเขาถ่ายภาพสวยจนเห็นเรื่องราวละเอียดอ่อน จึงทำให้เกิดจินตนาการ แต่งกลอนได้มากมาย วันละหลายๆบทประกอบภาพให้เขา ต่อมา ผู้เขียนก็เกิดอาการคิดกลอนไม่ออก มองภาพถ่ายที่สวยงามเป็นภาพธรรมดา ไม่มีเรื่องเล่าในภาพต่อไป แล้วก็ไม่ได้แต่งให้ใครอีก
รู้สึกว่าทุกวันนี้งานมันเยอะจัง ทำอะไรก็ไม่ทัน แค่เยี่ยมบ้านคนสูงอายุก็มีเป้าหมายสูง ตั้งสองพันคน ให้เยี่ยมให้เสร็จภายในเดือน ก็รู้ว่าทำไม่ได้ แต่ด้วยความพยายามผู้เขียนจึงออกไปหมู่บ้านเกือบทุกวัน เวลาออกไปก็มีความสุขดี ได้สอน อสม.บ้าง ได้ดูแลคนสูงอายุ คนพิการบ้างก็ดูมีความสุขดี แต่ แต่ละวันก็ทำไม่ได้เข้าเป้า จึงรู้สึกว่างานยังเหลืออีกเยอะ
เหล่านี้เป็นความเครียดสะสมที่ฝังลึกลงไปทุกที โดยที่ผู้เขียนไม่รู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาก็จะคิดว่าวันนี้มีนัดที่ไหน กี่โมงแล้ว อย่างนี้เป็นต้น หลังกลับบ้านก็จะง่วงง่ายๆ งีบหลับไปเลยก็มี ไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์เหมือนเคย อ่านโน่นนี่นิดๆหน่อยๆผ่านมือถือแล้วก็เลิก
จนมีอาการแปลกมาเล่าให้ฟัง วันนี้วันอาทิตย์ ผู้เขียนตื่นขึ้นมา ก็รีบอาบน้ำแต่งตัว เตรียมงานจะไปส่งที่อำเภอ แล้วจะเลยเข้าหมู่บ้าน ที่นัดหมายไว้เหมือนเคย แต่มันไม่ใช่วันนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่าวันนี้ เมื่อเดินไปหยิบกุญแจรถ ลุกชายถามว่าแม่จะไปไหน เลยบอกว่าไปส่งงานที่อำเภอ แล้วจะเข้าหมู่บ้าน ทันใด ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของลูก นี่วันอาทิตย์นะจะไปไหน.. จริงซิ วันนี้วันอาทิตย์เหรอ โอ้ ผู้เขียนทำไมลืมสนิทขนาดนี้ ใจจดจ่อแต่จะไปทำงาน ทำงาน ทำงาน
ผู้เขียนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า (แต่งเครื่องแแบด้วยนะ) แล้วหาอาหารเช้ากิน จนอิ่มหนำสำราญ ปกติก็ไม่ค่อยได้กินข้าวเช้า กินบ้างเว้นบ้าง ไปรวบยอดกลางวัน บางทีบ่ายหน่อยๆ ตามสถานการณ์พาไป สนใจตัวเองน้อยลง รักตัวเองน้อยลง เอาใจไปฝากไว้กับภารกิจต่างๆที่เข้ามาไม่หยุดหย่อน ผู้เขียนกำลังลืมตัว!!!
เมื่อได้เวลามานั่งทบทวน สิ่งอื่นๆผู้เขียนก็ยังจำได้ดี ไม่ใช่สมองเสื่อม คงเป็นเพราะจดจ่อกับบางสิ่งบางอย่างมากไป จนเหมือนเห็นเส้นทางเดียวปรากฏในห้วงสำนึก ที่เราจะต้องเดินไปเท่านั้น
โปรดสำนึกตัวเองบ่อยๆนะคะ ตื่นมาตั้งสติทบทวนสิ่งรอบข้าง กิจวัตร และความระลึกได้หลายๆด้าน อย่าเอาภารกิจหนักๆมาใส่หัวก่อนหลับ เพราะตื่นขึ้นมา เราจะคิดเรื่องเดิมต่อทันที ปล่อยความว่างให้เกิดกับจิตบ้าง เพื่อจะได้พัก นี่แหละนะ เขาถึงว่าโรคที่เกิดจากการทำงาน
เขียนบันทึกนี้ด้วยความตั้งใจ และเป็นอุทาหรณ์ สำหรับคนทำงาน ที่มันเกินขนาด อาจเกิดอาการเช่นนี้ได้ค่ะ
สุขสันวันอาทิย์นะคะ
คุณหมอตันติราพันธ์ เขียนบันทึกแบบนี้ น่าอ่านดีออกคะ
ออกมาจากใจ จากประสบการณ์ชีวิตจริงๆ วิธีจัดการกับความเครียด
เวลาคนไข้ Palliative care กลับบ้าน ทาง รพ.ก็คาดหวังว่าจะมี จนท. ไปเยี่ยมบ้าน
แต่อ่านบันทึกนี้ รู้สึกเห็นใจภาระงานจริงๆ และยังได้เรียนรู้วิธีคิดของคนทำงานหนัก อย่างมีความสุข
ขอบคุณมากคะ
เริ่มๆ บ่นละ พี่สาวผม 555
ฝึกสมาธิน่าจะช่วยได้นะ..งานคือ ใจ ครับ เงิน คือ แรง เป้าหมายคือ ช่วยคน =คุณค่าของชีวิต ชีวิตยุคใหม่มักมีงานตันสมองมากมายครับ..ทำมากก็เหนื่อย เมื่อยก็พักนะครับ..หมดแรง จะหมดกายนะหมอ ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณหมอ ป.
คนไข้พิเศษก็ติดตามดูต่อจากรพ.ด้วยค่ะ
คิดว่าจะเลือกทำที่สำคัญและเท่าที่ไหว
ส่วนตัวชี้วัดที่เกินกว่าเหตุก็ปล่อยไป
เมื่อไหร่เราจะอยู่บนความเป็นจริงเสียทีนะคะ
ขอบคุณนะคะที่เข้าใจเสมอมา
จะกลับมาพลปะกันที่นี่บ่อยๆค่ะ
มีโอกาสไปแอ่วเหนือจะแวะไปเยี่ยมด้วยนะคะ
สวัสดีค่ะคุณอักขณิช
บ่นตัวเอง
โครงการให้ไปดูแลป้องกันคนไข้สมองเสื่อม
แต่รู้สึกเจ้าหน้าที่จะเริ่มเสื่อมก่อนเสียแล้ว
จะจัดการตัวเองเพื่อไปเยี่ยมน้องให้ได้ค่ะ
คืดถึง
ขอขอบคุณดอกไม้กำลังใจของทุกท่าน
วันนี้ปล่อยอารมณ์ทั้งร้องเพลง ทั้งตีขิม
ช่วยบำบัดตัวเองได้เยอะเลยค่ะ
ดนตรีช่วยได้ค่ะ
-สวัสดีครับ
-ตามมาเยี่ยมและให้กำลังใจครับ
-"สำนึกตัวเองบ่อยๆนะคะ ตื่นมาตั้งสติทบทวนสิ่งรอบข้าง กิจวัตร และความระลึกได้หลายๆด้าน อย่าเอาภารกิจหนักๆมาใส่หัวก่อนหลับ เพราะตื่นขึ้นมา เราจะคิดเรื่องเดิมต่อทันที ปล่อยความว่างให้เกิดกับจิตบ้าง เพื่อจะได้พัก นี่แหละนะ เขาถึงว่าโรคที่เกิดจากการทำงาน"
แวะมาเยี่ยมครับ...
และได้ชวนให้ตัวเองทบทวนตัวเองในหลายๆ เรื่อง
เฉกเช่นกับที่ฝากย้ำในบันทึกนี้ว่าให้สำนึก-ทบทวนตัวเองบ่อยๆ...
ขอบคุณครับ