ผิดปกติจนเป็นปกติ


ผิดปกติจนเป็นปกติ

ความเป็นปกติเป็นเงื่อนไขสำคัญของคนทั่วๆไป เพราะในบริบทปกติจะเกิดความรู้สึกเชื่อมโยงไปกับหลายสิ่งหลายประการที่เราโหยหา ต้องการ อยากจะมี อยากจะเป็น อยากจะอยู่เช่นนั้น ได้แก่ สภาวะ "ควบคุมได้ (in-control)" พยากรณ์ได้ว่าเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถ้าดีๆก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราก็พอจะรับมือไหว พอจัดการได้ เรียกได้ว่า ชีวิตอยู่ในสมดุล

สิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อชีวิตมีการเสียสมดุล

สัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตคือเราไม่มีทางควบคุมสิ่งต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้นให้เป็นไปในทางที่เราปราถนาทุกประการได้ ปัจจัยเกี่ยวข้องมีมากเกินไป และหลายสิ่งหลายอย่างเราไม่มีอำนาจที่จะควบคุมแม้แต่น้อย นั่นคือตอนที่สมองเราเริ่มจะเล่นอุบาย คือ "ปรับค่าปกติใหม่"

แต่เดิมที่เรามี setting ค่าผิดปกติต่างๆเอาไว้ระดับหนึ่ง ถ้าเกิดมีเหตุการณ์บีบบังคับให้เราไม่สามารถจะไปแก้อะไรกับมันได้ สมองหยุดหาทางแก้ไข และเปลี่ยน goal ให้ตรงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแทน ซึ่งบางทีก็กระทำได้ง่ายกว่าการไปหาวิธีกระทำ หรือแก้ไข ให้สามารถคงเงื่อนไขเดิม หรือค่าปกติเดิมได้

ประเทศเรากำลังเผชิญ Dilemma หรือความสับสนเรื่องนี้ คือ "อะไรคือสมดุล หรือปกติ ที่สังคมต้องการกันแน่?"

มันเริ่มมาจากเรื่องเล็กๆน้อยๆก่อนเสมอ นอนตื่นสายอีกสักห้านาที กลายเป็นสิบนาที ไม่ออกกำลังสักสามวัน เพิ่มเป็นสี่วัน อ่านหนังสือทุกวัน ลดลงเหลืออาทิตย์ละห้าวัน ฯลฯ แต่ที่น่ากลัวคือ "นิดๆหน่อยๆที่เริ่มเข้ามากัดแทะคุณค่าของความเป็นคน ความเป็นมนุษย์ และรากฐานของสังคม"

  • @ รักพี่รักน้องนะลูก อย่าทิ้งกัน เพราะฉะนั้น น้องทำอะไรผิด พี่ก็ช่วยปกปิด น้องทำอะไรไม่ดี พี่ก็ช่วยโกหกพ่อแม่ให้
  • @ เราต้องช่วยกัน ช่วยตัวเองก่อนนะลูก เพราะฉะนั้น เราทำงานในบริษัท รู้ข่าวภายใน เราก็นำกลับมาบอกญาติพี่น้อง บอกเพื่อน บอกคนรู้จัก
  • @ ต้องกตัญญูรู้คุณนะลูก เราเคยได้รับโปรโมชั่นจากนายคนนี้ ในอนาคตนายเดือดร้อน เราต้องช่วยทุกวิถีทาง

และค่อยๆ upgrade บิดเบี้ยวไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดภาษาที่กำลังจะมี "Setting ใหม่"

"ไม่เป็นไร นิดหน่อย"

"ใครๆก็ทำกัน" (บางทีไม่ต้องเห็นกับตา หรือรู้เรื่อวจริงๆก็ได้ แค่ฟังมา อ่านมาก็พร้อมจะเชื่อ)

"มันก็เลวกันทั้งนั้น" อันนี้พยาธิสภาพเริ่มปะทุ ประตูสู่สมดุลใหม่เปิดอ้ารับ และนำไปสู่พฤติกรรมใหม่

สมดุลใหม่ หรือ ค่าปกติใหม่ ที่ชีวิตยอมรับ "นิดๆหน่อยๆ เงินใต้โต๊ะสักหมื่น สักแสน หริอล้านบาท" เริ่มเห็นแต่ "ใครๆก็ทำกันมากขึ้นเรื่อยๆ" เพราะกลิ่นอย่างหนึ่งย่อมดึงดูดคนกลิ่นเดียวกันเข้าหากัน อยู่ท่ามกลาง "ใครๆก็ทำแบบเดียวกัน" เป็นวิธีทรงประสิทธิภาพในการปรับตัวเข้ากับค่าปกติใหม่นี้ได้ และเมื่อมีชีวิตอยู่ใน "ปกติใหม่" นี้ไปสักพัก การจะกลับไปหา "ปกติเก่า" จะยิ่งยากขึ้นไปเรื่อยๆ จะไม่สามารถทำใจให้ยอมรับได้ว่า "ตนเองยังมีทางเลือกที่จะได้ค่าปกติเก่าคืนมา" เพราะจะทำเช่นนั้น จะต้องผ่านอุปสรรคสำคัญ ได้แก่

  • @ ยอมรับว่าตนเองเลว
  • @ ยอมรับว่าตนเองอ่อนแอต่อความชั่ว
  • @ ยอมรับว่ากลับไปปกติเก่านั้น อาจจะต้องรับผลแห่งการที่ทำตามค่าปกติใหม่นี้ยังไงบ้าง เช่น ติดคุก ติดตะราง ถูกยึดทรัพย์ ฯลฯ
  • @ ยิ่งเคยถลำลึกไปมากเท่าไหร่ ผลกระทบย้อนกลับจะยิ่งมากขึ้น กว้างขวางขึ้น ลุกลามไปถึงครอบครัว ญาติพี่น้อง ขื่อเสียงวงศ์ตระกูล แม้กระทั่ง "ความเป็นมนุษย์"

เพราะฉะนั้น จะให้คนที่ลงลึก ยอมรับว่า "แค่เปลี่ยนใจ และยอมรับความจริง" กลับเป็นทางออกที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนเหล่านี้ มันง่ายกว่าเยอะ ที่จะหลอกตัวเอง โกหกตัวเองต่อไป ว่าหนทางนี้ไม่มีอยู่จริง ถามกี่ครั้ง แสดงวิธี ยอกหนทางทางออกให้ดูชัดๆ ก็ยังตาบอดตาใส ไม่รับรู้ ไม่มีทางเข้าใจ

มนุษย์เสแสร้งเป็นไม่เห็น ไม่ได้ยิน และไม่รับรู้ได้ขนาดนั้น คือ "ผิดปกติจนกลายเป็นเรื่องปกติ" ไปเสียแล้ว

แต่ความจริงสำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ แม้ในยามที่เราอาจจะไม่เห็นทางออก ไม่เห็นคำตอบ หรือวิธีการแก้ไขที่ชัดเจน มนุษย์ก็ยังมี "พรสวรรค์" จากพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากอะไรดชก็ตามที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา นั่นคือ "ความศรัทธาในความดี ความงาม และความจริง" ที่สามารถเป็นเชื้อพลังให้มวลมนุษยชาติมานับหลายหมื่นปี ให้เรามีศรัทธาเพียงพอ เชื่อมั่นเพียงพอ และสู้เพื่อสิ่งสำคัญที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตของเราเพียงคนเดียว เราจะเดินไปข้างหน้าได้ตลอดไป ถึงแม้วันที่เราล้มลงแล้ว แต่แรงศรัทธาของเราก็จะยังคงพยุงคนที่เดินตามมา ก้าวไปข้างหน้าได้ตลอดไป

สกล สิงหะ บ้านพักแพทย์หาดใหญ่ รพ.สงขลานครินทร์ ๒ นาฬิกา ๕๐ นาที วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ วันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเส็ง

คำสำคัญ (Tags): #ปกติ#ผิดปกติ
หมายเลขบันทึก: 562457เขียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2014 03:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2014 03:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เขาเรียกว่าทำจนเป็นปกติ เลยชิน ไหมคะ อาจารย์

...ใคร..จะ..ปลูก..ผัก..กิน..แบบ.."มักกะโท"...เป็นคนแรก...น่าคิดๆๆๆๆ...เจ้าค่ะ..(ขอบพระคุณกับ..ข้อเขียนดีๆ..ที่มี..มามอบให้...(ยายธี)

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท