มีผู้ป่วยเล่าให้ผมฟังว่า “หลังผ่าตัดมดลูก ได้ยาแก้ปวด (pethidine) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ทุก 6 ชม. หลังได้รับยาฉีด อาการปวดดีขึ้นแต่อยู่ได้แค่ 2 ชม. กว่าๆ ก็ปวดอีกแล้ว ผู้ป่วยต้องทนปวดไปอีกเกือบ 4 ชม. ถึงจะได้ยาอีกครั้ง ที่สำคัญพอถึงเวลาฉีดยา ผู้ป่วยรู้สึกว่าจะต้องเจ็บตัว (จากการฉีดยา) อีกแล้ว รู้สึกกลัวเข็มเหมือนกันแต่ก็ต้องทน“ (ถ้าเป็นเด็กคงร้องไห้แล้ว) วันก่อนนี้ผมได้อ่านงานเขียนของนายบอน !-กาฬสินธุ์ เรื่อง........สมุนไพรให้คุณค่า - บรรเทาอาการปวดหลังฉีดยา...ว่าใช้ข้าวสุกหุงใหม่ประคบบริเวณฉีดยาจะช่วยลดอาการปวดได้ ก็เป็นความรู้ใหม่สำหรับผม แต่ถ้าเลือกได้ ก็คงไม่เลือกฉีดยาทางกล้ามเนื้อ เพราะในการระงับปวดหลังผ่าตัดนั้นปัจจุบันไม่แนะนำให้ฉีดยาเข้ากล้ามแล้ว จากข้อมูลการทบทวนผลงานวิจัยอย่างเป็นระบบในต่างประเทศ พบว่า การฉีดยาทาง กล้ามเนื้อ ได้ผลแก้ปวดไม่ดีเหมือนให้ทางหลอดเลือดดำ (โดยวิธีให้ผู้ป่วยกดฉีดยาจากเครื่องจ่ายยาอัตโนมัติ ที่เรียกว่า patient-controlled analgesia หรือ เครื่อง PCA ซึ่งจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป) หรือฉีดให้ทางช่องไขสันหลัง (epidural) ปัจจุบันการฉีดทางกล้ามเนื้อ จึงไม่ได้รับความนิยมหรือไม่ถือเป็นมาตรฐานในการรักษาอีกต่อไป ผมเองพยายามรณรงค์ไม่ให้ฉีดยาระงับปวดหลังผ่าตัดทางกล้ามเนื้อ ใน ร.พ. ศรีนครินทร์ มาหลายปีแล้ว ปัจจุบันพูดได้ว่าเทียบจะไม่มีใครฉีดแล้ว (ยกเว้นยาบางชนิดที่ยังมีข้อจำกัดในการผลิตยา) หากต้องการอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมผมเขียนไว้ในบทบรรณาธิการของ ศรีนครินทร์เวชสาร 2002; 17 (1) ซึ่งสามารถอ่านได้ฟรีที่ http://www.smj.ejnal.com/e-journal/journal/ อย่างไรก็ตามยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนหนึ่งที่ยังเข้าใจว่าการฉีดยานั้นต้องฉีดทางกล้ามเนื้ออย่างเดียว ผู้เกี่ยวข้องในการรักษาพยาบาลจึงควรให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเหล่านี้ไปควบคู่กับการรักษาไปด้วย จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก