จดหมายที่ไม่ได้ส่ง (3-76)


"สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ดีและเหมาะสมกับเราเสมอ"

  

         จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นและปรับสำนวนหลายครั้ง เพื่อส่งประกวดในโครงการประกวดจดหมายเล่าเรื่องเมืองไทย 2556 หัวข้อ “ชีวิตฉันเปลี่ยนไปเมื่อได้อ่าน” ในวาระที่กรุงเทพฯ ได้เป็นเมืองหนังสือโลก ตามลิงก์นี้http://www.chulabook.com/news.asp?newsid=953  แต่ด้วยความเลินเล่อ ขี้หลงขึ้ลืมของผู้เขียน ทำให้เพิ่งพบว่าจดหมายฉบับนี้ไม่ได้ส่ง ทั้งที่ใส่ซองปิดผนึกไว้เรียบร้อยแล้ว วันที่ 1 ตุลาคม 2556 มีการประกาศผล ก็ติดตามข่าว ไม่เห็นชื่อตัวเองติดอยู่ในกลุ่มผู้ได้รับรางวัล รู้สึกเสียดายและแอบคิดว่า... แหม เราตั้งใจเขียนจริงๆ (อยากมีชื่อและผลงานปรากฏในหอจดหมายเหตุแห่งชาติน่ะสิ ฮาๆๆๆ) และเข้าข้างตัวเองว่า เราเขียนดีนะ น่าจะได้สักรางวัลหนึ่งนะเนี่ย... 

 

 

 

        เมื่อสัปดาห์ก่อนต้องยกคอมพิวเตอร์ไปซ่อม จึงพบซองจดหมายที่จ่าหน้าซองพร้อมส่งนี้อยู่ใต้กองหนังสือ... โอย...เชื่อเขาเลย ทำไมเราถึงแย่อย่างนี้... 

 

ลองอ่านจดหมายกันดูนะคะ

.........................................................................................................................................

                                                                                        ที่บ้านแสนสุข

                                                             16  มิถุนายน 2556

อ้อมเพื่อนรัก

           ขอโทษด้วยจ้ะที่ตอบจดหมายช้า  ก็สำหรับฉันกว่าจะเขียนจดหมายได้สักฉบับหนึ่งต้องใช้ความตั้งใจและสมาธิอย่างมาก ต้องไตร่ตรองว่าจะเขียนอย่างไรดีไม่ใช่เขียนอะไรก็ได้  นี่เพราะความคิดของเธอแท้ๆ ที่ให้เราติดต่อกันทางจดหมายบ้าง เธอบอกว่าเราจะได้ฝึกเรียบเรียงความคิดและการเขียน ตอนแรกฉันก็ไม่เห็นด้วยหรอก นี่มันยุคดิจิตอลแล้วนะ แต่หลังๆ ก็ชักจะเห็นด้วยว่าการเขียนจดหมายมีเสน่ห์กว่าการคุยโทรศัพท์หรือการแชทเป็นไหนๆ โดยเฉพาะการ “รอจดหมาย” จากใครบางคน เป็นความรู้สึกดีๆ ที่แสนพิเศษ เธอว่าไหม?

         เธอคงรู้ข่าวแล้วว่าปีนี้กรุงเทพฯ ได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองหนังสือโลก (World Book Capital 2013) ข่าวนี้ทำให้ฉันคิดถึงเธอขึ้นมาจับใจ เพราะเธอเป็น “หนอนหนังสือ” ที่มักจะแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ แล้วก็เล่าเรื่องราวในหนังสือที่เธออ่านให้ฟัง จำได้ไหมว่าก่อนนี้ช่วงวันหยุด นอกจากการไปกินอาหารอร่อยๆ ด้วยกัน เราต้องแวะร้านหนังสือตามคำชวนของเธอทุกที ซึ่งส่วนใหญ่  ฉันก็ไม่ค่อยซื้อหรอก ต่างจากเธอที่มักจะซื้อหนังสือติดมือกลับมาทุกที พอฉันท้วงว่า “ซื้ออีกแล้ว” เธอบอกยิ้มๆ ว่าหนังสือดีๆ เล่มหนึ่งราคาถูกกว่าฟาสต์ฟู้ดมื้อเดียวของฉันเสียอีก คิดไปคิดมาก็จริงอย่างเธอว่า ไม่รู้จะบ่นทำไมต้องขอบใจเธอมากกว่าที่ซื้อหนังสือดีๆ พลอยให้ฉันได้อ่านหนังสือดีๆ ไปด้วย จนเดี๋ยวนี้ฉันกลายเป็น “นักอ่าน” เหมือนเธอไปแล้วอีกคน

 

          ถ้าเธอถามว่าฉันกลายเป็น”นักอ่าน”ตั้งแต่เมื่อไร? ฉันคิดไปถึงช่วงเรียนมัธยมต้นที่ได้อ่านหนังสือนอกเวลาเล่มหนึ่งชื่อ “แวววัน” บทประพันธ์ของ “โบตั๋น” เป็นหนังสือเล่มแรกที่ฉันอ่านรวดเดียวจบ ก่อนนี้ฉันมักน้อยใจว่าฉันไม่เก่งไม่น่ารักเท่าพี่ๆ การเป็นน้องคนเล็กซึ่งมีพี่เรียนเก่ง มรรยาทดี หน้าตาสะสวยน่ารัก กลายเป็นเรื่องบั่นทอนความมั่นใจของฉันอย่างมาก เมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีไม่เก่งก็ทำตัวเกเรก้าวร้าวเพื่อเรียกร้องความสนใจ ถึงจะถูกดุด่าลงโทษก็เถอะ จนได้อ่านหนังสือเล่มนี้ฉันจึงเปลี่ยนไป เธอคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “หากจะเปลี่ยนชีวิต ต้องเปลี่ยนที่ความคิด” ใช่แล้วล่ะ..ฉันเปลี่ยนไป เพราะความคิดที่เปลี่ยนจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันรู้สึกฮึกเหิม มีแรงบันดาลใจที่จะตั้งใจเรียนและใช้ชีวิตอยู่กับร่องกับรอย ไม่เกเรเหมือนเดิม เรื่องของแวววันทำให้ฉันเห็นว่ายังมีคนที่ลำบากกว่าฉันอีกมาก และที่สำคัญคือได้รู้ว่าเราคือผู้ “ออกแบบชีวิต” ของเราเอง ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนเลย และจุดนี้เองที่ฉันเห็นคุณค่าของการอ่านหนังสือจนเป็น “นักอ่าน” อย่างทุกวันนี้

          เธอคิดเหมือนฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่า “หากการอ่านหนังสือดีๆ อาจเปลี่ยนชีวิตของคนๆ หนึ่งไปในทางที่ดีขึ้นได้ แล้วเราจะทำอย่างไรให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านและได้อ่านหนังสือดีๆ”  นี่คงเป็นโจทย์ที่สำคัญมากของเรา ไม่ใช่สิ...โจทย์สำคัญของสังคมเลยต่างหาก ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันไขโจทย์และหาคำตอบด้วยกัน

            ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ รักษาสุขภาพด้วยนะ ฉันรออ่านจดหมายฉบับต่อไปของเธออยู่จ้ะ

                                                                    ด้วยรักและระลึกถึง

                                                                   ปาน เพื่อนของเธอ

.........................................................................................................................................

 

          ผู้เขียนเคยเชื่อและบอกหลายคน (รวมทั้งตัวเองด้วย) ว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ดีและเหมาะสมกับเราเสมอ" แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เริ่มมีคำถาม...จริงหรือ? แล้วอะไรที่ดี/เหมาะสมกับเราล่ะที่พลาดทั้งที่ไม่น่าพลาดในครั้งนี้... 

        ครั้งแรกที่เจอจดหมายที่ไม่ได้ส่งฉบับนี้ของตัวเอง ความรู้สึกหลายอย่างประดังกันขึ้นมา ทั้งเสียใจ ทั้งโกรธตัวเอง... เราไม่ใส่ใจเอง หลงลืมถึงกับไม่ได้ส่งจดหมายที่จะส่งประกวด แล้วหากเป็นเรื่องราวที่สำคัญของชีวิต เราพลาดแบบนี้ไม่ต้องคิดถึงผลลัพธ์เลย...เฮ้อๆๆๆๆ  ตามด้วยความ "เสียดาย" ไม่งั้นป่านนี้ได้เงินกินขนมแล้ว และที่สำคัญคือเราน่าจะได้มีชื่อยู่ใน "หอจดหมายเหตุแห่งชาติ" ด้วย แงๆๆๆ (มั่นใจว่าตัวเองเขียนดี น่าจะได้สักรางวัลหนึ่งล่ะ)

 

        พอทบทวนเหตุการณ์อีกครั้ง ผู้เขียนก็พบว่า... ระยะนั้นยุ่งมากกับการต้องอ่าน/ค้นคว้าข้อมูลสำหรับงานชิ้นใหมที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเร่งด่วน จึงใช้เวลาก่อนนอนหลังจากเข้า Social Network วันละ 20 นาทีพิมพ์ร่างไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน พอเสร็จก็เก็บแช่ไว้ปรับแก้หลายครั้งหลายหน และยังแชร์ลิงก์เพื่อชักชวนเพื่อนๆ ให้เขียนส่งไปประกวดด้วยกัน (คิดว่าตัวเองไม่ได้ หากเพื่อนๆ ได้รางวัลก็รู้สึกดี) พอใกล้วันสุดท้ายของการรับผลงาน ก็ต้องนำไฟล์ไปพิมพ์ที่ทำงาน เพราะเครื่อง Printer ของตัวเองเสีย เมื่อพิมพ์ออกมาแล้ว ก็ชะงักไปอีกเพราะละอายใจ ไม่อยากใช้ซองของหลวงเพราะพิมพ์เรื่องส่วนตัวด้วยเครื่องหลวงแล้ว จึงเก็บจดหมายนี้มาที่บ้าน ค้นซองส่วนตัวปิดผนึกตั้งใจจะส่งในวันรุ่งขึ้น และในวันนั้นก็เผอิญมีงานค้างต้องมานั่งอ่านและเขียนโดยใช้ข้อมูลจากหนังสือหลายเล่ม ซองจดหมายนี้จึงถูกทับอยู่ใต้กองหนังสือนั่นเอง...

 

        รู้เหตุเห็นผลแล้ว...ก็ค่อยเบาใจ ความเสียใจเสียดายค่อยเลือนไป เริ่มขำๆตัวเอง สรุปไว้เป็นบทเรียนได้ว่า

       1.ต้องปรับปรุงตัวเองในเรื่องของความเป็นระเบียบ โดยเฉพาะ "กองหนังสือ" ซึ่งมีสุมอยู่ทุกที่ของห้อง ลดจำนวนหนังสือในห้องและหาที่เก็บให้เป็นหมวดหมู่กว่านี้

        2.ความจริง เราก็ได้รางวัลจากการเขียนหลายครั้งแล้ว เปิดโอกาสให้คนอื่นๆได้ดีใจ ได้ค่าขนม ได้ชื่อเสียงบ้างก็ดีเหมือนกัน คนเราจะ "ได้ทุกอย่าง" ดังที่ต้องการ...ไม่มีหรอกนะ แบ่งๆ กันดีกว่า  ^_^

        3.การที่ไม่ได้ส่งจดหมายประกวด ไม่ได้รับรางวัลเพราะวุ่นๆเรื่องงานเร่งด่วนครั้งนั้น ส่งผลให้ได้ไป "โปรตุเกส" และได้ประสบการณ์ดีๆมากมาย นี่ไงล่ะ...สิ่งที่ได้มาทดแทนกัน

        4.ได้ตระหนักด้วยตัวเองว่า โลกนี้ยุติธรรมเสมอ ได้มา เสียไป ดีใจ เสียใจ... โลกเขามี "สมดุล" อยู่แล้วโดยธรรมชาติ ธรรมดา ดังนั้นอยากได้ดี ต้องสร้างเหตุไว้ให้ดี ผลดีจะรออยู่ในเวลาที่เหมาะสมเสมอ

        5.ข้อนี้สำคัญ... อยากทำอะไร พูดอะไรดีๆ ให้ใคร...รีบทำดีกว่า รอๆ ไป อาจหลงลืมไม่ได้ทำไม่ได้พูดเหมือนตัวเอง ที่น่าขำก็คือเขียนจดหมายไว้หลายฉบับสำหรับหลายคน แต่ไม่ได้ส่ง... ปัจจุบันนี้จดหมายยังอยู่ แต่ไม่กล้าส่งให้เสียแล้ว เพราะเหุตการณ์เปลี่ยนไป... เสียดายจัง!!!

 

         อยากทำอะไร ทำเลยนะคะ อย่ารีรอ จะได้ไม่ต้องเสียใจเสียดาย... ค่ะ

         (◠‿◠✿)•♥✿

หมายเลขบันทึก: 556384เขียนเมื่อ 14 ธันวาคม 2013 15:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม 2013 19:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (21)

เมื่อพลาด...เมื่อพลั้งผิด...น่ะแหละ " ศิษย์มีครู " จ้าาา

หายไปนานเลยครับ พี่Green เรื่องนี้เอาเป็นว่าพี่ได้รางวัล หอจดหมายเหตุแห่ง GTK ไปเลยครับ ....จริงๆนะเนี่ย!!

สมเป็นนักเขียนจริงๆ..................

พี่ผมชอบบอก ทุกอย่างเกิดจากเหตุ เหตุให้เป็นอย่างนี้ ก็ต้องยอมรับผลที่มี

และผมก็ได้ยินบ่อยๆว่า "เรื่องที่ว่า แน่ๆ เราก็ต้องพยายามเตือนตัวเองโดยใส่คำว่า .ไม่แน่. เข้าไปด้วยเสมอ"

สังเกตว่า่ทานพี่คิดละเอียดมาก............

..ไม่อยากใช้ซองของหลวงเพราะพิมพ์เรื่องส่วนตัวด้วยเครื่องหลวงแล้ว จึงเก็บจดหมายนี้มาที่บ้าน ค้นซองส่วนตัวปิดผนึกตั้งใจจะส่งในวันรุ่งขึ้น

ผมว่าถ้าเราทำได้ ปัญหา การคอรัปชั่น ที่ เรียกร้องกันอยู่คงน้อยลงแยะ

สวัสดีค่ะคุณ คุณมะเดื่อ

ขอบคุณสำหรับข้อคิดและกำลังใจค่ะ :)

สวัสดีค่ะท่าน .99

ทำไมจึงไม่เข้าระบบคะเนี่ย อิอิ

ดีใจเอ๋ยดีใจจัง ได้รางวัล "หอจดหมายเหตุแห่ง GTK"
ขอบคุณมากค่ะ :)

เรื่องการพยายามไม่ใช้ของหลวงนี้ได้รับการปลูกฝังจาก อ.หมออมรา มะลิลา ตั้งแต่สมัยเป็นพยาบาลที่ศิริราชแล้วค่ะ แต่ก็ไม่วายได้ใช้ส่วนตัวหลายครั้งค่ะ
พี่คิดว่าถ้าเราระมัดระวังใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ (แพ่งโทษตนเองเสมอ) ศีลของเราก็จะสะอาดขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

ด้วยความระลึกถึงค่ะ ;)


หายไปนานมากเลย

เข้าใจว่างานยุ่งนะครับ

ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆครับ

ขอบคุณค่ะ...ที่ได้อ่านจดหมายดีมากๆ...

ขออวยพรให้ได้รางวัลจากจดหมายนี้นะครับ ขอบคุณมากครับผม

เพิ่งทราบว่าพี่เป็นลูกศิษย์ อาจารย์หมอด้วย .....มีเรื่องเม้าท์กะอาจารย์แล้ว :):)

สวัสดีใกล้วันปีใหม่ค่ะ อ. ขจิต ฝอยทอง

ยุ่งๆ เหมือนเดิม แต่เลือกใช้เวลากับสิ่งที่สะดวกและชอบมากกว่าน่ะค่ะ จึงไม่ค่อยได้เข้ามาทักทายกัน

อาจารย์สบายดีนะคะ ยังระลึกถึงเช่นเดิมค่ะ :)

สวัสดีค่ะท่าน ดร. พจนา แย้มนัยนา

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ :)

สวัสดีค่ะ Dr. Pop

การที่มีกัลยาณมิตรมาอ่านและให้ข้อคิดเห็นไว้ ถือเป็นการได้รับ รางวัล อยู่แล้วค่ะ

ขอบคุณค่ะ :)

สวัสดีใกล้ปีใหม่ค่ะพี่ใหญ่ นาง นงนาท สนธิสุวรรณ

ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีค่ะท่าน วิชญธรรม

พี่เป็นศิษย์อ.หมอ แบบอ่านหนังสือและฟังเสียงท่านจากซีดีน่ะค่ะ ไม่เคยได้ไปปฏิบัติกับท่านค่ะ :)

ตอนที่ยังเป็นพยาบาลละอ่อนน้อย ก็จะติดตามรุ่นพี่ไปนั่งสมาธิช่วงเที่ยงที่ชมรมพุทธศาสตร์จัดค่ะ แต่ไม่ค่อยได้ธรรมะอะไร เพราะหลับ(หลังอาหาร) เสียส่วนใหญ่ค่ะ :)

ขอให้มีความสุขมากๆ นะครับ ขอบคุณมากครับผม

แวะมาสวัสดีปีใหม่กับคุณ หยั่งราก ฝากใบ. นะครับ.

ด้วยความระลึกถึงเสมอ

สวัสดีครับ

จดหมายอ่านสนุก แต่ทำไมสั้นจัง...

สวัสดีค่ะ Dr. Pop

ขอบคุณที่แวะมาเป็นกำลังใจและทักทายกันค่ะ :)

สวัสดีค่ะคุณแสงแห่งความดี

ต้องขอโทษหลายๆ ครั้งที่ไม่ได้ตอบคอมเม้นท์นะคะ :)

สวัสดีค่ะคุณครู ธ.วั ช ชั ย

ข้อกำหนดในการประกวดจดหมาย เขาบอกไว้ว่าให้เขียนแค่ 1 หน้ากระดาษ เอสี่ ก็เลยต้องบีบๆ พิมพ์ให้พอดี 1 หน้าค่ะ :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท