นาน ๆจะพูดเรื่องมันสำปะหลังกันสักทีหนึ่ง ทั้งที่ความจริงกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังนั้นก็มีอยู่ไม่น้อย แถมที่เป็นสมาชิกชมรมเกษตรปลอดสารพิษและผู้ที่ชื่นชอบแนวทางที่ไม่ต้องการใช้สารเคมีที่เป็นพิษให้ทำร้ายตนเองและส่วนรวมต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงอยากนำเสนอแนวทางการผลิตหรือปลูกมันโดยที่ไม่ต้องใช้สารเคมีที่เป็นพิษ และยังคงได้ผลผลิตเทียบเท่าหรือดีกว่าการปลูกแบบดั้งเดิมที่ใช้สารเคมี อีกทั้งต้นทุนก็จะต้องต่ำกว่าอย่างแน่นอนครับ
ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้เรื่องการปลูกมันสำปะหลังแบบปลอดสารพิษ ก็อยากให้เกษตรกรหน้าใหม่ไฟแรงที่อาจจะยังไม่รู้จักมันสำปะหลังมากนักก็ได้มีโอกาสรับข้อมูลเบื้องต้นไปด้วยพร้อมกันพลางๆ มันสำปะหลัง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Manihot esculenta (L.) Crantz อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae ชื่อสามัญ Cassava Root, Tapioca ชื่ออื่นๆ ที่ในแต่ละภูมิภาคเรียกขานกันก็มี ต้าวน้อย, ต้าวบ้าน (ภาคเหนือ) มันต้น มันไม้ (ภาคใต้) มันสำโรง สำปะหลัง (ภาคกลาง) มันหิ่ว (พังงา) มีหลักฐานแสดงว่าปลูกกันในโคลัมเบีย และเวเนซูเอลา มานานกว่า 3,000-7,000 ปีมาแล้วแหล่งกำเนิดมันสำปะหลังมี 4 แห่งด้วยกันคือ 1. แถบประเทศกัวเตมาลา และเม็กซิโก 2. ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ 3. ทางทิศตะวันออกของประเทศโบลิเวียและทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอาร์เจนตินา4. ทางทิศตะวันออกของประเทศบราซิล
สำหรับประเทศไทยยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนว่ามีการนำมันสำปะหลังเข้ามาปลูกเมื่อใด คาดว่าคงจะเข้ามาในระยะเดียวกันกับการเข้าสู่ศรีลังกา และฟิลิปปินส์ คือ ประมาณ พ.ศ. 2329-2383 มันสำปะหลัง เดิมเรียกกันว่า มันสำโรง มันไม้ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า มันต้นเตี้ย ทางภาคใต้เรียกมันเทศ (แต่เรียกมันเทศว่ามันหลา) คำว่า สำปะหลังที่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกอาจมาจากคำว่า "สัมเปอ (Sampou)" ของชวาตะวันตก
ประเทศไทยมีการปลูกมันสำปะหลังเป็นการค้าเพื่อใช้ทำแป้งและสาคูในภาคใต้ โดยปลูกระหว่างแถวของต้นยางพารากันมากว่า 70 ปีแล้ว โดยเฉพาะที่จังหวัดสงขลามีอุตสาหกรรมทำแป้งและสาคูจำหน่ายไปยังปีนังและสิงคโปร์ แต่การปลูกมันสำปะหลังทางภาคใต้ค่อยๆ ลดลงเมื่อมีการขยายการปลูกยางพารา ต่อมาได้มีการปลูกมันสำปะหลังในภาคตะวันออก คือจังหวัดชลบุรี ระยองและจังหวัดใกล้เคียง และเมื่อความต้องการของตลาดในด้านผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์และอุตสาหกรรมมีเพิ่มมากขึ้นทำให้พื้นที่ในภาคตะวันออกผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงมีการขยายพื้นที่ปลูกไปยังจังหวัดอื่นๆโดยเฉพาะทางภาคตะวันอกเฉียงเหนือจนในปัจจุบันภาคตะวันออกเฉียงเหนือพื้นที่ปลูกมากที่สุดของประเทศไทย (ที่มา : กรมวิชาการเกษตร)
การปลูกมันสำปะหลังนั้นโดยปรกติพื้นที่หนึ่งไร่ จะใช้ท่อนพันธุ์ประมาณ 1,600 – 2,000 ท่อน โดยใช้ต้นพันธุ์ประมาณ 200 ต้น ค่าใช้จ่ายต้นละประมาณ 2 – 3 บาท นำมาตัดเป็นท่อนประมาณ 20 เซนติเมตร จะได้ประมาณ 8 – 10 ท่อนต่อต้น ต้นพันธุ์ที่นำมาใช้นั้นจะต้องมีอายุประมาณ 10-12 เดือนและหลังจากตัดแล้วจะต้องมีอายุไม่เกิน 15 วัน เพื่อป้องกันเชื้อราและกระตุ้นให้เกิดราก ควรแช่ท่อนมันกับจุลินทรีย์ ไตรโคเดอร์ม่า 1 กิโลกรัม และ ไคโตซาน 1 ลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ประมาณอย่างน้อย 6 ชั่วโมงหรือ 1 คืนก่อนปลูกเพื่อให้จุลินทรีย์และไคโตซานทำงานแทรกซึมได้อย่างทั่วถึง
การเตรียมดินควรตรวจวัดสภาพความเป็นกรดและด่างของดินให้ทั่วทั้งแปลง โดยกำหนดภาพในใจแบบคร่าวๆให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า และทำการเก็บตัวอย่างจากทุกมุมของพื้นที่ทั้ง 4 มุมหรือ 4 จุด และในส่วนตรงกลางอีก 2 จุดพยายามให้อยู่ในจุดที่สมดุลทั้งสองด้านหัวท้ายและด้านข้างของพื้นที่สี่เหลี่ยม สรุปแล้วจะได้ตัวอย่างดินทั้งหมด 6 จุด ขุดให้ความลึกประมาณ 2 หน้าจอบ แล้วเก็บตัวอย่างดินบริเวณที่ลึกที่สุดมาเพียงหยิบมือเดียว แล้วนำมาทดสอบกับน้ำยาตรวจวัดกรดด่างของดิน (Test Kids soil) ถ้าดินมีสภาพเป็นกรดคือมีค่าพีเอชน้อยกว่า 7 ลงมา ก็ควรใช้กลุ่มวัสดุปูน ทั้งปูนมาร์ล, ปูนเปลือกหอยบด (Ca2co3), ปูนเผา (CaO), ปูนขาว (Cao2), ปูนโดโลไมท์ (CaMg Cao3), ฟอสเฟต (Ca3(PO4)2, แต่ถ้าดินเป็นด่างแนะนำให้ใช้ ภูไมท์ซัลเฟตถุงสีแดง (Pumice Sulphate Red), หรืออินทรีย์วัตถุ (organic matter) และถ้าดินมีสภาพที่เหมาะสมอยู่แล้วคือ มีค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 5.8-6.3 นั้นก็ควรจะใช้แต่เพียงปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกในอัตราไร่ละ 100 – 200 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับดินที่ค่อนข้างเป็นดินทรายขาดแคลนความอุดมสมบูรณ์ควรใช้ พูมิชซัลเฟอร์ (Pumish Sulpher) ซึ่งมีองค์ประกอบแร่ธาตุสารอาหารทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โบรอน โมลิบดินั่ม อีกทั้งซิลิก้าที่ละลายน้ำได้ เพิ่มเข้าไปเพื่อช่วยทำให้ดินโปร่งร่วนซุย ช่วยให้หัวมันใหญ่ ขยายได้รวดเร็วขึ้น
ก่อนที่จะใส่สารปรับปรุงบำรุงดินก็ควรทำการไถกลบด้วยผาล 2 หรือ 3 เสียก่อนเพื่อทำลายวัชพืชและหมักให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์วัตถุในดินทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 วัน ในส่วนนี้ทางขอแนะนำให้ใช้พูมิชซัลเฟอร์ Pumice Sulpher ใส่รองพื้นก่อนปลูกปลงไปประมาณ 20 – 40 กิโลกรัมต่อไร่ จึงค่อยทำการไถพรวนด้วยผาล 5 หรือผาล 7 แล้ว (ในช่วงที่ไถพรวนนี้ควรเติมอินทรียวัตถุหรือสารปรับปรุงบำรุงดินไปด้วยเลยในคราวเดียว) หลังจากนั้นจึงค่อยใช้ผาลยกร่องตั้งระยะผาลที่ 1.2 เมตร ทำการไถยกร่องเตรียมปลูกต่อไป ระยะการปลูกโดยปรกติจะใช้ระยะห่างระหว่างต้นที่ 80 เซนติเมตรปักต้นมันให้ลึก 10 เซนติเมตรหรือครึ่งหนึ่งของท่อนพันธุ์ปักลงไปตรง ๆ แล้วผลักให้ล้มเสมอดิน (จะใช้แนวตั้งหรือแนวนอนก็ทดสอบแล้วเลือกให้เหมาะสมกับชนิดของพันธุ์กันเอาเองนะครับ (ส่วนที่อยากแนะนำคือแนวนอนพบว่าช่วยให้มันสำปะหลังออกรากและลงหัวดีกว่าหลายวิธีที่เคยพบเห็นมา)
ส่วนชนิดของพันธุ์มันสำปะหลังนั้นก็มีมากมายหลายชนิด แต่ที่จะนำมาให้รู้จักกันนี้ก็เป็นพันธุ์ที่ได้รับการรับรองมีความสามารถให้ผลผลิตเกิน 15 ตันต่อไร่ได้ทั้งสิ้นแต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพท้องที่และการจัดการนะครับ
มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 5 (CMR25-105-112)
เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์ 27-77-10 กับพันธุ์ระยอง 3 ผสมพันธุ์ขึ้นในปี 2525ลักษณะเด่น
- ยอดอ่อนสีม่วงอ่อน มีใบสีเขียวเข้ม ต้นสีเขียวอมน้ำตาล มีความสูงเฉลี่ย 1.70 เมตร
- หัวอ้วนสั้น เปลือกหัวสีน้ำตาลอ่อน เนื้อสีขาว
- ผลผลิตหัวสดเฉลี่ยจากทั่วประเทศ 4.42 ตันต่อไร่
- ผลผลิตเฉลี่ย จากแปลง มทส. 12.44 ตันต่อไร่
- เปอร์เซ็นต์แป้งเฉลี่ยในฤดูฝน 23% ฤดูแล้ง 26%
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. มีความแข็งแรง 2. ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้กว้าง 3. หัวดกจำนวนหัวเฉลี่ย 10.3 หัวต่อกอ 4. ทนโรคทนแมลง 5. ปลูกระยะชิดได้ดี 6. สามารถปลูกในดินทรายจัดได้ดี |
1. เปอร์เซ็นต์แป้งค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะในฤดูฝน 2. มีอาการใบไหม้ เมื่อเข้าฤดูหนาวและแล้ง
|
มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 7
ได้จากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพันธุ์ CMR30-71-25 กับพันธุ์ OMR29-20-118 ในปี 2535 ที่ศูนย์วิจัยพืช
ไร่ระยอง ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ได้ผ่านการคัดเลือกพันธุ์ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง และ
ทำการประเมินพันธุ์ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ สถานีทดลองพืชไร่ และไร่เกษตรกร รวม 13 จังหวัด แปลงทดลอง
รวม 51 แปลง ระยะเวลาการทดลอง 12 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 – 2547
ลักษณะเด่น
- มีใบสีเขียวอ่อน ใบยอดสีเขียวอ่อน ก้านใบสีเขียวอ่อน
- ลำต้นสีน้ำตาลอ่อน ตั้งตรง ไม่โค้งงอ ไม่แตกกิ่ง สูง 180 ซม.
- หัวเปลือกสีครีม เนื้อหัวสีขาว ไม่มีก้านหัว
- ผลผลิตเฉลี่ย 6.30 ตันต่อไร่
- แป้งเฉลี่ยในฤดูฝน 27.2%
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. ลำต้นตรงใช้ทำพันธุ์ได้มาก 2. ปลูกได้ดีทั้งต้น ฝนและปลายฝน 3. งดเร็ว ประมาณ 5 วันหลังปลูก 4. ให้ผลผลิตและปริมาณแป้งสูงกว่าพันธุ์มาตรฐานทั่วไป
|
1. ยังไม่มีข้อมูล |
ข้อควรระวัง
ถ้าปลูกในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำและเกิดภาวะแล้งยาวนาน หลังจากได้รับน้ำฝนอีกครั้งจะเกิด
การแตกตาตามลำต้นมากกว่าในสภาพปกติ ดังนั้น การนำลำต้นดังกล่าวไปเป็นท่อนพันธุ์ ควรปลูกในขณะ
ที่ดินมีความชื้นสูง จะได้ต้นมันสำปะหลังที่มีเปอร์เซ็นต์การอยู่รอดสูงเหมือนกับใช้ท่อนพันธุ์สภาพปกติ
มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9
เป็นลูกผสมปี 2535 ได้จากการผสมข้ามระหว่างสายพันธุ์ที่มีเปอร์เซ็นต์แป้งสูง 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์
CMR31-19-23 เป็นแม่และ OMR29-20-118 เป็นพ่อ ผสมพันธุ์และคัดเลือกพันธุ์ที่ ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง
และประเมินศักยภาพของพันธุ์ในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งสิ้น 38 แปลง
ทดลองระหว่างปี 2535-2542 พบว่าสายพันธุ์ระยอง 9 ให้ผลผลิตแป้ง และผลผลิตมันแห้งสูง ในปี 2544-
2547 ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยองจึงร่วมมือกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยในการ
ประเมินผลผลิตเอทานอลจากสายพันธุ์ระยอง9 ร่วมกับลูกผสมชุดเดียวกันนี้อีก 2 สายพันธุ์เปรียบเทียบกับ
พันธุ์มาตรฐานได้แก่ ระยอง 5 ระยอง 72 ระยอง 90 และเกษตรศาสตร์ 50 ในระดับห้องปฏิบัติการ แล้ว
คัดเลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตเอทานอลสูงจากการทดลองระดับห้องปฏิบัติการ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์ระยอง 9 และ
พันธุ์ระยอง 90 ไปทดลองผลิตเอทานอลในระดับโรงงานต้นแบบขนาดกำลังผลิต 1,500 ลิตร ที่ใช้หัวสด
เป็นวัตถุดิบ พบว่า สายพันธุ์ระยอง 9 ให้ผลผลิตเอทานอลสูงกว่าพันธุ์ระยอง 90 สายพันธุ์ระยอง 9 จึง
เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมเอทานอล และผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ ได้แก่ แป้งมัน มันเส้น และมันอัดเม็ด
ลักษณะเด่น
- ยอดอ่อนสีเขียวอ่อน ใบสีเขียวอ่อน ก้านใบสีเขียวอ่อนปนชมพู
- ลำต้นสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลอมเหลือง ลำต้นสูงตรง ปกตำไม่ค่อยแตกกิ่ง สูง 235 ซม.
- หัวสีน้ำตาลอ่อน เนื้อหัวสีขาว
- ผลผลิตเฉลี่ย 4.9 ตัน/ไร่
- เปอร์เซ็นต์แป้งเฉลี่ยในฤดูฝน 27.2% ในฤดูแล้ง 27.6%
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. เป็นพันธุ์ที่เหมาะสมต่อการใช้ทำเอทานอล เนื่องจากมีแป้งสูง 2. ทรงต้นดี สูงตรง ได้ต้นพันธุ์สำหรับขยายพันธุ์ได้มาก 3. งดเร็ว ประมาณ 5 วันหลังปลูก 4. ให้ผลผลิตและปริมาณแป้งสูงกว่าพันธุ์มาตรฐานทั่วไป
|
1. หากเก็บเกี่ยวก่อนอายุ 1 ปี จะให้ผลผลิต่ำกว่า พันธุ์อื่นๆ 2. ควรปลูกในพื้นที่ที่มีปริมาณฝนสูงกว่า 1,000 มม. ข้อควรระวัง
|
ข้อควรระวัง
ควรเก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 1 ปี เนื่องจากสายพันธุ์ระยอง 9 มีเปอร์เซ็นต์แป้งสูงแต่สะสม
น้ำหนักช้า ถ้าเก็บเกี่ยวเร็วจะให้ผลผลิตหัวสดต่ำกว่าพันธุ์มาตรฐานอื่นๆ
มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 72
เป็นพันธุ์ลูกผสมที่ได้คัดจากการผสมระหว่างพันธุ์ระยอง 1 กับระยอง 5 เมื่อปี 2533 ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่
ระยอง แล้วนำมาประเมินผลผลิต ตามขั้นตอนของการปรับปรุงพันธุ์ ในศูนย์วิจัยพืชไร่ระยองและ สถานี
ทดลองพืชไร่ และแหล่งปลูกต่าง ๆ จนถึงปี 2542 พบว่าเป็นพันธุ์ที่เหมาะสมที่จะปลูกในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับการพรับรองพันธุ์ ในปี 2543
ลักษณะเด่น
- ยอดอ่อนสีม่วง ใบแก่สีเขียวเข้ม และก้านใบมีสีแดงเข้ม
- ลำต้นสีเขียวเงิน ความสูงเฉลี่ย 2 เมตร ลำต้นตรง
- เปลือกหัวสีขาวนวล เนื้อสีขาว
- ผลผลิตเฉลี่ยจากทั่วประเทศ 5.09 ตัน/ไร่
- เปอร์เซ็นต์แป้งเฉลี่ย 20.9%
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. แข็งแรง ทนแล้ง ปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2. ให้ผลผลิตสูง 3. ท่อนพันธุ์ทนแล้งได้ดีกว่าพันธุ์อื่นๆ เพราะมีอาหารสะสมมาก 4. ตรง ทำให้สามารถตัดเป็นท่อนพันธุ์ปลูกได้ จำนวนมาก และเข้าทำงานในแปลงได้สะดวก
|
1. หากเก็บเกี่ยวในฤดูฝน หรือปลูกในดินทรายที่มีการจัดการธาตุอาหารไม่ดี จะทำให้เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ
ยาว เมื่อถอนจะขาดอยู่ในดิน ไม่เหมาะปลูกใน พื้นที่ที่เป็นดินเหนียวจัด
|
มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 90
ได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์ CMC76 และพันธุ์ V43 ในปี 2521 ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง หลังจากผ่าน
การคัดเลือกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 และเปรียบเทียบพันธุ์เบื้องต้น ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยองแล้ว นำไปเปรียบเทียบ
มาตรฐานพันธุ์ เปรียบเทียบพันธุ์ในท้องถิ่น เปรียบเทียบพันธุ์ในไร่กสิกร และทดสอบพันธุ์ในไร่กสิกร ใน
สถานีทดลอง และไร่กสิกรจังหวัดต่าง ๆ
ลักษณะเด่น
- ยอดอ่อนสีเขียวอ่อน ใบสีเขียวเข้ม และก้านใบมีสีเขียวอ่อน
- ลำต้นอ่อนสีเขียว ลำต้นแก่สีน้ำตาล กิ่งโค้ง ความสูงเฉลี่ย 1.65 เมตร
- หัวยาวเรียว มีหัวต่อกอมาก เปลือกหัวสีน้ำตาลเข้ม เนื้อสีขาว
- ผลผลิตเฉลี่ยจากทั่วประเทศ 3.96 ตัน/ไร่
- เปอร์เซ็นต์แป้งเฉลี่ยในฤดูฝน 25% ฤดูแล้ง 30%
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. ออกหัวง่าย เสี้ยนน้อยแม้อายุหัวมาก 2. มีแป้งสูง ในทุกฤดู 3. ผลผลิตสูงมาก เมื่อดินดี
|
1. ไม่ทนสภาพดินเลว
3. กิ่งพันธุ์โค้ง มีอายุเก็บรักษาสั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ |
ข้อควรระวัง
1. ไม่เหมาะสมกับแหล่งที่มีแมลงหวี่ขาวแพร่ระบาด
2. ต้นพันธุ์ไม่ควรเก็บไว้นานเกิด 2 สัปดาห์ก่อนนำไปปลูก เพราะจะเสื่อมคุณภาพ
มันสำปะหลัง พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 (MKUC 28-77-3)
เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์ระยอง 1 และพันธุ์ระยอง 90 ผสมขึ้นในปี 2527
ลักษณะเด่น
- ยอดอ่อนสีเขียว ใบสีเขียวอมม่วง
- ต้นสีเทาเงิน ลำต้นยาวโค้ง ความสูงต้นเฉลี่ย 1.8 – 2.5 เมตร
- แตกกิ่งระดับแรกที่ความสูง 80 – 150 เซนติเมตร
- หัวยาวเรียวมีขนาดสม่ำเสมอ เปลือกหัวสีน้ำตาล เนื้อสีขาว
- ผลผลิตเฉลี่ย 3.6 – 4.0 ตัน/ไร่
- เปอร์เซ็นต์แป้งเฉลี่ยในฤดูฝน 23.3% ในฤดูแล้ง 28%
- ต้นพันธุ์เก็บไว้ได้นานประมาณ 30 วันหลังจากตัดต้น
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. มีความแข็งแรงปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมได้กว้าง 2. ทนโรค แมลง 3. ลำต้นยาวใช้ทำพันธุ์ได้มาก ความงอกดี 4. กิ่งพันธุ์มีอายุการเก็บรักษาได้นาน 4-5 สัปดาห์ |
1. ลำต้นโค้ง ยาวเกะกะ เข้าทำงานยาก 2. กินปุ๋ยมาก
|
พันธุ์ห้วยบง 60
เป็นพันธุ์ที่พัฒนาโดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลัง
แห่งประเทศไทย ได้จากการผสมระหว่างพันธุ์ระยอง 5 กับพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 เมื่อปี พ.ศ.2534 ผ่านการ
ประเมินผลผลิตมากกว่า 30 การทดลอง ได้รับพระราชทานชื่อพันธุ์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีว่า “ห้วยบง 60” รับรองพันธุ์โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2546
ลักษณะเด่น
- ยอดอ่อนสีม่วงอ่อน ใบและก้านสีเขียวปนม่วง ใบมีขนอ่อน
- ลำต้นสีเขียวเงิน ต้นสูง 180 – 200 เซนติเมตร แตกกิ่งแรกระดับ 90-140 เซนติเมตร
- หัวยาวเรียว มีลักษณะคอดเป็นปล้องเล็กน้อย เปลือกหัวสีน้ำตาลอ่อน เนื้อสีขาว
- ผลผลิตเฉลี่ย 5.0 – 6.4 ตัน/ไร่
- แป้งเฉลี่ย 25.4%
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. กิ่งพันธุ์เก็บรักษาได้ค่อนข้างนาน (3-4 สัปดาห์) 2. ความงอกสูง 3. แป้งสูง คุณภาพแป้งดี |
1. ลำต้นสั้น ใช้ทำพันธุ์ได้น้อย
มันสำปะหลังพันธุ์ใหม่ที่น่าสนใจ |
มันสำปะหลังพันธุ์ CMR 43-40-82
ผสมขึ้นเมื่อปี 2543
ลักษณะเด่น
- ใบสีเขียวเข้ม ใบอ่อนสีน้ำตาล
- ลำต้นตั้งตรง ทำมุมระหว่างต้นแคบ สีน้ำตาลเข้ม ไม่แตกกิ่ง
- หัวอ้วนสัน ดก
- ผลผลิตเฉลี่ยจากแปลงทดลองที่ มทส. 12.12 ตัน/ไร่
- เปอร์เซ็นต์แป้ง 26.50%
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. ลำต้นยาวตรง ใช้ทำพันธุ์ได้มาก เข้าทำงานง่าย 2. หัวสั้น ดก ขนาดกลาง ปลูกระยะชิดได้ดี 3. เปอร์เซ็นต์แป้ง ค่อนข้างสูง 4. ใบหนาแน่น ข่มวัชพืชได้ดี |
1. กิ่งพันธุ์มีอายุเก็บรักษาไม่นาน
|
พันธุ์ CMR 43-08-89
ผสมขึ้นเมื่อปี 2543
ลักษณะเด่น
- ใบสีเขียวเข้ม ใบอ่อนสีเขียวใบดกหนา
- ลำต้นตั้งตรง ทำมุมระหว่างต้นแคบ สีเขียว แตกกิ่งที่ระดับ 2 เมตร
- หัวยาวมาก ดก
- ผลผลิตเฉลี่ยจากแปลงทดลองที่ มทส. 15.20 ตัน/ไร่
- เปอร์เซ็นต์แป้ง 22.50%
ข้อดี |
ข้อเสีย |
1. ลำต้นยาวตรง ใช้ทำพันธุ์ได้มาก เข้าทำงานง่าย 2. ผลผลิตสูงมาก 3. ใบหนาแน่น ข่มวัชพืชได้ดี 4. ใบหนาแน่น ข่มวัชพืชได้ดี |
1. เปอร์เซ็นต์แป้งค่อนข้างต่ำ
|
พันธุ์ห้วยบง 80
เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์ระยอง 5 และพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ณ สถานีวิจัยศรีราชา จ.ชลบุรี ในปี 2535 โดยมี
ขั้นตอนการคัดเลือกและทดสอบ ดังนี้
พ.ศ. 2535-2537 ทำการปลูกคัดเลือกเหลือ 204 สายพันธุ์
พ.ศ. 2538-2541 ปลูกเปรียบเทียบพันธุ์เบื้องต้น เปรียบเทียบในท้องถิ่น
พ.ศ. 2542-2549 ปลูกเปรียบเทียบในท้องถิ่นและในไร่เกษตรกร รวมทั้งหมด 70 แปลง ทดลองใน
10 จังหวัด
ลักษณะเด่น
- ยอดสีเขียวอ่อน
- สีเปลือกหัว น้ำตาลอ่อน
- ลำต้นสูง แตกกิ่งน้อย
- เปอร์เซ็นต์แป้ง 27.3%
- เหมาะกับการใช้แปรรูปทำมันเส้น แป้ง และเอทานอล
ข้อแนะนำในการปลูก
มันสำปะหลังพันธุ์ "ห้วยบง 80" เป็นมันสำปะหลังพันธุ์ใหม่ เมื่อได้รับพันธุ์ห้วยบง 80 นี้แล้ว ก่อน
ขยายปลูกเป็นจำนวนมาก ควรจะทดลอง ปลูกเปรียบเทียบพันธุ์ดีพันธุ์ อื่นที่ใช้อยู่ เช่น ผลผลิต หรือลักษณะ
อื่น ๆ ของพันธุ์จนพอใจ ลักษณะของสายพันธุ์นี้จะแตกกิ่งน้อย และลำต้นค่อนข้างจะตรงมากกว่าพันธุ์ห้วย
บง 60 และพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ทำให้สะดวกต่อการตัดเก็บท่อนพันธุ์และสามารถเพิ่มจำนวนต้นปลูกต่อไร่
ให้สูงขึ้นได้ (ถี่ขึ้น) เป็นพันธุ์ที่มีแป้งเฉลี่ยสูง ซึ่งสูงกว่าพันธุ์ เกษตรศาสตร์ 50 และ ห้วยบง 60 ผลผลิตหัว
สดใกล้เคียงกับพันธุ์ ห้วยบง 60 แต่สูงกว่าเกษตรศาสตร์ 50 นอกจากนั้น การที่จะปลูกให้ได้ผลผลิตสูงควร
ใส่ปุ๋ยสูตร 15-7-18 หรือสูตร 16-8-16 หรือ 15-15-15 อัตรา 25-50 กิโลกรัม/ไร่ หลังปลูก 1-2 เดือน (ในขณะ
ที่ดินมีความ ชื้น) หรือใส่ปุ๋ยคอก อัตรา 500-1,000 กิดลกรัม/ไร่ หว่านก่อนพรวนดินปลูก และไม่ควรเก็บ
เกี่ยวมันสำปะหลังอายุน้อยกว่า 10 เดือน
ที่มา : มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี (2551), http://www.tapiocathai.org
เมื่อทำการปลูกไปได้ประมาณหนึ่งเดือนก็ควรสำรวจตรวจแปลงถากถางดายหญ้าพอสมควรไม่จำเป็นต้องทำให้เหี้ยนเตียนโล่งจนเหลือแต่ดินโล้น เอาแต่พอประมาณมิให้หญ้าขึ้นปกคลุมต้นมันสำปะหลังก็เพียงพอ เพื่อให้หญ้าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของตัวห้ำตัวเบียนควบคุมแมลงศัตรูในธรรมชาติไปด้วยในตัว หลังจากนั้นก็ใส่ปุ๋ยตามปรกติ ตามสภาพดิน เช่น 15-15-15, 16-16-16, 46-0-0, 13-0-46 ฯลฯ และถ้าเสียดายกลัวว่ามันสำปะหลังจะไม่ได้กินปุ๋ยอย่างเต็มที่ ก็ควรจะนำมาทำให้กลายเป็นปุ๋ยละลายช้า ด้วยการนำปุ๋ยเคมี 2 กระสอบ (100 กิโลกรัม) เทกองบนพื้นซีเมนต์หรือผ้าใบ ฉีดน้ำจุลินทรีย์หน่อกล้วย หรือน้ำเปล่าให้พอเปียกชุ่มๆ แล้วใช้ ซีโอ-พูมิช Zeo Platinum Pumish (หินแร่ภูเขาไฟ) เทลงไป 1กระสอบ (20 กิโลกรัม) ก็จะได้อัตราส่วน ปุ๋ย 5 ส่วน ต่อ พูมิช 1 ส่วน ช่วยทำให้ปุ๋ยเคมีที่ละลายเร็วในประเทศไทยนั้นกลายเป็นปุ๋ยละลายช้า ค่อยปลดปล่อยปุ๋ยออกมาให้แก่ต้นมันสำปะหลังอย่างช้าๆ หิวก็กิน อิ่มก็หยุด ทำให้ไม่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์กับสายลม แสงแดด
และถ้าจะบำรุงให้ครบแบบเต็มยศทั้งธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม เพื่อมิให้สูญเสียโอกาสของการรับรายได้ก็จะต้องฉีดพ่นธาตุอาหารจุลธาตุทางใบไปพร้อมด้วย โดยใช้ ซิลิโคเทรซ 10 กรัม, ไคโตซานMT 10 ซี.ซี.และโพแทสเซียมฮิวเมท 3 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (ต้นทุนประมาณปิ๊ปละ 3 บาทกว่าๆหน่อย) จะทำให้พืชได้รับแร่ธาตุสารอาหารอย่างครบถ้วนเต็มที่ ทั้งทางใบและทางราก มันสำปะหลังสามารถนำไปใช้ในกระบวนการปรุงอาหารและสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของตนเองได้อย่างเพียงพอ หลังจากนั้นให้สังเกตลักษณะอาการของต้นมันว่าสามารถที่จะดำรงความเขียว (หมายถึงมีอาหารเพียงพอไปได้กี่วันกี่เดือน) เมื่อเริ่มเหลืองซีดจากการขาดอาหารก็ปฏิบัติดังเช่นในรอบแรกที่ดูแลหญ้าและใส่ปุ๋ยอีกครั้งหนึ่ง โดยประมาณก็จะอยู่ที่ 2 เดือน ถึง 3 เดือน ครับ หลังจากนั้นอาจจะไปใส่อีกครั้งหลังจากมันอายุได้ประมาณ 6 เดือน ในกรณีที่สภาพต้นมันสำปะหลังยังดูไม่สมบูรณ์มากเพียงพอ หรืออาจจะเป็นการเพิ่มแป้งให้แก่หัวมันด้วยการใส่ปุ๋ย โพแทสเซียมคลอไรด์ 0-0-60 บำรุงเสริมเข้าไปก็ได้ ในกรณีหลังนี้อาจจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามสภาวะราคาตลาดของมันด้วยว่า มีความคุ้มค่าสอดคล้องสมดุลกันหรือไม่
เกี่ยวกับโรคมันสำปะหลังนั้น สามารถที่จะพบได้ในหลายกรณี เนื่องด้วยมีความเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน การที่มีพันธุ์ใหม่ๆทีนำเข้าจากต่างประเทศและพันธุ์ที่พัฒนาผสมขึ้นมาเอง การดูแลรักษาจึงต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่และศึกษาระมัดระวังทำความเข้าใจโรคและแมลงศัตรูของมันสำปะหลังให้รู้จักให้มากๆยิ่งขึ้น จึงขอนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกสักหน่อย
1. โรคใบไหม้ เกิดจากเชื้อ Xanthomonas campesdtris pv. Manihotis พบทั่วทุกภาค เมื่อใช้ท่อนพันธุ์จากต้นที่เป็นโรคติดต่อกัน 3 ถึง 4 ปีโดยไม่มีการป้องกันกำจัด อาจมีความเสียหายถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เริ่มแรกแสดงอาการใบจุดเหลี่ยม ฉ่ำน้ำ ใบไหม้ ใบเหี่ยว ยางไหล จนถึงอาการยอดเหี่ยวและแห้งตายลงมา นอกจากนี้ยังทำให้ระบบท่อน้ำท่ออาหารของลำต้นและรากเน่า
ท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคแสดงอาการคือ ยอดที่ผลิใหม่เหี่ยว มียางไหล และมีอาการแห้งตายจากยอดอย่างรวดเร็ว และแพร่ระบาดไปยังต้นข้างเคียง ซึ่งมักจะแสดงอาการเป็นจุดช้ำเล็กๆ ที่ต้น แล้วแผลขยายเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มลุกลามเป็นแผลใหญ่บางครั้งจะพบวงสีเหลืองลามเป็นใบไหม้ และใบร่วง ลำต้นแห้งตาย เมื่อผ่าดูระบบท่อน้ำและอาหารทั้งของลำต้นและรากจะมีสีคล้ำเนื่องจากเนื้อเยื่อของส่วนนี้ถูกทำลาย ในบางครั้งจะพบอาการยางไหลบนส่วนลำต้นที่ยังอ่อนหรือก้านใบ และแผลจุดบนใบพบระบาดมากได้ในช่วงฤดูฝน
การแพร่ระบาดของโรคที่สำคัญ คือ ติดไปกับท่อนพันธุ์ที่เป็นโรค แพร่กระจายไปโดยฝนหรือกับดิน หรือกับเครื่องมือที่ใช้ในการเกษตร เช่น มีดที่ใช้ในการตัดท่อนพันธุ์ ในบางประเทศมีรายงานว่า แมลงเป็นตัวการในการแพร่ระบาด เชื้อสาเหตุของโรคสามารถอยู่รอดในดิน บนเศษซากพืชได้นานกว่า 2 ปี
2. โรคใบจุดสีน้ำตาล เกิดจากเชื้อรา Cercosporidium henningsii เป็นโรคที่สำคัญที่สุดของมันสำปะหลัง เกือบทุกพันธุ์เป็นโรคใบจุดสีน้ำตาล ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับพันธุ์ อายุพืชและสภาพแวดล้อม มันสำปะหลังที่มีอายุ 3-5 เดือน จะมีความต้านทานต่อโรคนี้มากกว่ามันสำปะหลังที่มีอายุ 3-5 เดือน จะมีความต้านทานต่อโรคนี้มากกว่ามันสำปะหลังที่มีอายุ 14-16 เดือน และสามารถพบโรคในแหล่งที่มีความชื้นต่ำแห้งแล้งได้ โรคใบจุดสีน้ำตาลนี้จะไม่ทำให้ผลผลิตของมันสำปะหลังลดลงมากนักผลผลิตจะแตกต่างเฉพาะในพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรค สำหรับในพันธุ์ระยอง 1 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เป็นโรคระดับกลาง ทำให้ผลผลิตลดลงตั้งแต่ 14-20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากทำให้ใบร่วงเร็วกว่าปกติพุ่มใบ (Canopy) เปิด เป็นโอกาสให้วัชพืชเจริญได้ดี อันเป็นผลทางอ้อมทำให้ผลผลิตของมันสำปะหลังลดลง
โดยทั่วไปต้นที่เป็นโรคมีการเจริญเติบโตเป็นปกติ จะพบอาการของโรคบนใบล่างๆ มากกว่าใบบนซึ่งมีอายุน้อยกว่า มันสำปะหลังอายุ 5-15 วัน จะทนทานต่อการเกิดโรค และจะอ่อนแอพบเป็นโรคได้เมื่ออายุ 25 วัน ขึ้นไป โดยเกิดอาการใบจุดค่อนข้างเหลี่ยมตามเส้นใบ มีความสม่ำเสมอ สีน้ำตาล ขนาด 3-15 มิลลิเมตร มีขอบชัดเจน จุดแผลด้านหลังใบมีสีเทาเนื่องจากมีเส้นใยและส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อสาเหตุ ในพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรค แผลจะล้อมรอบด้วยวงสีเหลือง ตรงกลางแผลอาจจะแห้งและหลุดเป็นรู
เชื้อสาเหตุของโรคสามารถอาศัยอยู่ได้บนใบมันสำปะหลังที่ร่วงอยู่ในไร่ และจะขยายโดยการสร้างสปอร์เมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สปอร์เหล่านี้จะแพร่กระจายไปโดยลม หรือเม็ดฝนพาไปตกบนใบปกติ ทำให้เกิดการแพร่โรคได้ต่อไป
สภาพแวดล้อมซึ่งได้แก่ ความชื้น อุณหภูมิ อายุของพืช และความอุดมสมบูรณ์ของดิน มีความสำคัญต่อการแพร่ระบาดของเชื้อมาก กล่าวคือ การสร้างสปอร์ หรือคอนิเดีย (Spore of conidia) จะเกิดที่ความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 50 -90 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิที่ทำให้สปอร์งอกดีที่สุดอยู่ระหว่าง 39-43 องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงสามารถพบโรคใบจุดสีน้ำตาลในแหล่งที่มีความชื้นต่ำและแห้งแล้งได้
3. โรคใบจุดไหม้ เกิดจากเชื้อรา Cercospora viscosae มักจะพบควบคู่ไปกับโรคใบจุดสีน้ำตาล โรคนี้สามารถทำให้ผลผลิตลดลงได้ 12-30 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการสูญเสียพื้นที่ใบ ใบเหลืองและร่วงเร็วกว่าปรกติ และอาจเป็นผลกระทบเนื่องมาจากการเปิดโอกาสให้วัชพืชเจริญได้ดีเมื่อใบร่วงและพุ่มใบเปิด
อาการของโรคพบบนใบเป็นจุดกว้างไม่มีขอบเขตที่แน่นอนเหมือนกับโรคใบจุดสีน้ำตาล จุดแผลจะกว้างมาก แต่ละจุดอาจกว้างถึง 1 ใน 5 ของแฉกใบ หรือมากกว่า ด้านบนใบมักเห็ดจุดแผลสีน้ำตาลค่อนข้างสม่ำเสมอ ขอบแผลมีสีเหลืองอ่อน ด้านใต้ใบมักเห็นเป็นวงสีเทา เนื่องจากส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อราสาเหตุเช่นเดียวกับโรคใบจุดสีน้ำตาล ลักษณะแผลในบางครั้งจะคล้ายกับโรคใบจุดวงแหวน ซึ่งเกิดจากเชื้อ Phoma sp. (Phyllosticta sp.) แต่โรคใบจุดวงแหวนจะเห็นวงแหวนด้านบนของใบ เมื่อแผลลามติดต่อกันทำให้ใบเหลืองทั้งใบและร่วงไปในที่สุด ในพันธุ์ที่อ่อนแอใบร่วงอย่างรุนแรง ในมันสำปะหลังที่มีอายุมากกว่า 6 เดือนอาการของโรคจะรุนแรง ในมันสำปะหลังที่มีอายุมากกว่า 6 เดือนอาการของโรคจะรุนแรงมากกว่ามันสำปะหลังที่มีอายุน้อย
4. โรคใบขาว เกิดจากเชื้อรา Phaeoramularia manihagis (Cerospora caribaea) พบทั่วไปในเขตปลูกมันสำปะหลังที่ชื้นและเย็น อาการเป็นจุดค่อนข้างเหลี่ยมถึงกลม ขนาด 1-7 มิลลิเมตร แผลมักจะมีสีขาว มีขอบแผลสีน้ำตาลอมม่วง ล้อมรอบด้วยวงสีเหลือง แผลจะจมเข้าไปในผิวใบทั้งสองด้านทำให้เห็นบริเวณแผลบางกว่าปกติ เมื่อมองด้านหลังจะเห็นขอบแผลไม่ชัดเจนเท่าด้านบนใบ และบางครั้งจะเห็นสีเทาของส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อสาเหตุลักษณะอาการของโรคนี้มักจะพบควบคู่กับอาการขาดธาตุสังกะสี
5. โรคลำต้นเน่าที่เกิดจากเชื้อรา เนื่องจากเกษตรกรนิยมเก็บเกี่ยวผลผลิตหัวมุนสำปะหลังในช่วงฤดูแล้ง ทำให้ต้องเก็บต้นพันธุ์ไว้รอเวลาปลูกที่เหมาะสมเป็นเวลานาน ในช่วงนี้ทำให้เกิดต้นเน่าได้ หรือในบางปีสภาพอากาศแห้งแล้งมาก มันสำปะหลังทิ้งใบเป็นเวลานานทำให้พบอาการต้นแห้งจากปลายลงมา มีอาการยืนตาย (Die back) โรคลำต้นเน่าเกิดจากเชื้อรา Glomerella cingulata พบทั่วไปในท่อนพันธุ์ที่กองไว้ หรือตัดทิ้งไว้ในไร่
ระยะแรกท่อนพันธุ์จะเริ่มเน่าตรงส่วนปลาย และลุกลามเข้าไปทำให้เปลือกบวมเน่า ต่อมาจะเหี่ยวแห้ง ใต้เปลือกเป็นสีดำบนผิวเปลือกเป็นเม็ดนูน ๆ แล้วจะแตกเป็นผง
6. โรคที่เกิดจากเชื้อรา Botryodiplodia theobromae เป็นโรคที่เกิดกับท่อนพันธุ์ หรือลำต้นที่แก่แล้วและตกค้างในไร่ มีความสำคัญและพบน้อยกว่าโรคที่เกิดจากเชื้อรา Glomerella cingulata เชื้อจะแพร่ไปกับท่อนพันธุ์ และเข้าทำลายเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เชื้อราจะเข้าทางแผลและลุกลามมากขึ้นเมื่อมีความชื้นสูง ท่อน้ำท่ออาหารจะเน่าแล้วกลายเป็นสีดำ โดยจะลุกลามจากแผลรอยดัดของท่อนพันธุ์ หรือลำต้นที่เป็นแผล ทำให้เปลือกบวมและเน่าเป็นสีน้ำตาลดำ มีกลุ่มเม็ด Pycnidia ของเชื้อราขึ้นบนเปลือกแล้วจะแห้งตาย
7. โรคขี้เถ้าหรือราแป้ง เกิดจากเชื้อรา Oidium manithotis พบทั่วไปในต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยพบน้อย ระยะแรกมีลักษณะเป็นเส้นใยสีขาวปกคลุมใบเป็นจุดต่อไปส่วนนั้นจะกลายเป็นสีเหลืองด้านบนของใบเนื่องจากการเข้าทำลายของเชื้อรา และจะเกิดจุดเหลี่ยมในบริเวณนี้ ลักษระขนาดไม่แน่นอนคลช้ายกับการทำลายของแมงมุมแดง Red Spider Mites) พบบนใบล่างของต้นมากกว่าใบอ่อน การแพร่ระบาดโดยทั่วไปเกิดได้ดีในฤดูแล้ง มีความชื้นในอากาศสูงในเวลากลางคืน
8. โรคแอนแทรกโนส เกิดจากเชื้อรา Collerotrichum spp. โรคนี้จะพบหลังจากมีฝนตกติดต่อกันเป็นเวลานาน ในประเทศไทยพบเฉพาะในบางพื้นที่ทำให้ลำต้นแคระแกร็น สำหรับมันสำปะหลังที่มีอายุประมาณ 1 เดือน จะทำให้ต้นตายได้ ความเสียหายเนื่องจากโรคนี้ที่สำคัญ คือ ทำให้ขาดแคลนท่อนพันธุ์ ใบขีดเหลืองในบริเวณรอยต่อของใบและก้านใบ พบรอยแผลสีน้ำตาล บางครั้งแผลจะลามถึงก้านใบ ทำให้เป็นสาเหตุของใบร่วง เชื้อสามารถเข้าทำลายลำต้นส่วนที่ยังเขียวได้และทำให้เกิดอาการแตกสะเก็ดนูน ลำต้นแคระแกร็น และพบอาการแห้งตาย
โรคหัวเน่าเละ เชื้อสาเหตุ Phytophthora drechsleri เชื้อโรคนี้จะเกิดกับมันสำปะหลังทั้งในระยะกล้าและลงหัวแล้ว มักจะพบในบริเวณดินที่ระบายน้ำยาก และอยู่ใกล้กับทางน้ำหรือคลอง โรคนี้อาจทำความเสียหายถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเกิดกับต้นยังเล็กอยู่จะทำให้รากเป็นรอยช้ำสีน้ำตาลและเน่า ต้นจะเหี่ยวเฉา ถ้าเกิดกับหัวจะทำให้หัวเน่าอย่างรวดเร็วและมีกลิ่นเหม็น ใบเหี่ยวแล้วร่วง ถ้าเกิดรุนแรงต้นจะตาย มีรายงานในอัฟริกาและอเมริกาใต้ว่า โรคนี้เกิดจากเชื้อรา Phytophthora ชนิดอื่นๆ อีก คือ P. erythoseptica และ P. cryptogea
10 โรคหัวเน่าแห้ง เชื้อสาเหตุ Rigidoporus (Fomes) lignosus เป็นโรคที่พบมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอัฟริกา ลาตินอเมริกา และเอชียบางประเทศ ในประเทศไทยเคยพบที่จังหวัดจันทบุรี เข้าใจว่าเป็นโรคชนิดเดียวกัน มักจะพบโรคนี้ในแหล่งที่เปิดป่าใหม่ หรือเคยปลูกกาแฟและยางพารามาแล้ว ลักษณะอาการจะเกิดเส้นใยสีขาวในดินรอบโคนท่อพันธุ์และราก บางครั้งอาจจะพบส่วนขยายพันธุ์มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดผักกาดเรียกว่า Sclerotia ที่สร้างโดยเชื้อรานี้อยู่ด้วย เม็ดกลมๆ เล็กๆ นี้สามารถจะขยายพันธุ์เจริญเติบโตเป็นเส้นใยเข้าทำลายต้นอื่นๆ ต่อไป เส้นใยของเชื้อจะเข้าทำลายก้านมันสำปะหลังทางแผลของท่อนพันธุ์หรือราก ทำให้เน่าใบเหี่ยวและจะตายไปในที่สุด
นอกจากนี้ในบางบริเวณที่ลุ่มและมีสภาพอากาศชื้นมากพบว่ามีมันสำปะหลังบางพันธุ์ เช่น พันธุ์ระยอง 60 มีอาการลำต้นเน่า ซึ่งอาการจะลุกลามต่อไปทำให้เกิดอาการรากเน่าได้ พบว่าเกิดจากเชื้อรา Diplodia sp. เนื่องจากเชื้อสาเหตุของโรคมีหลายชนิดทั้งเชื้อราและบักเตรี และเชื้อเหล่านี้มีความสามารถในการอยู่รอดได้ดีในดินและมีพืชอาศัยมากชนิดทำให้การป้องกันกำจัดมีข้อจำกัด อยู่มากพอสมควร
11. ไรแดง พบทำความเสียหายมันสำปะหลังมี 2 ชนิด คือแรงแดงหม่อน (Teranychus truncates) และไรแดงมันสำปะหลัง (Oligonychus biharensis) ไรแดงหม่อนทำความเสียหายดูดกินน้ำเลี้ยงตามใต้ใบส่วนล่าง และขยายบริเวณขึ้นสู่ส่วนยอด ส่วนไรแดงมันสำปะหลังดุดกินน้ำเลี้ยงบนหลังใบส่วนยอดและขยายปริมาณลงสู่ส่วนล่างของต้น การทำลายของไรแดงทำให้ใบเหลืองซีดเป็นรอยขีด ใบม้วนงอและร่วง ส่วนยอดที่ถูกทำลายงองุ้ม ตาลีบ การขยายปริมาณขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ฝนทิ้งช่วงนานมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง โดยเฉพาะช่วงต้นยังเล็กจะมีผลต่อการสร้างหัว บางพื้นที่เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้
12. เพลี้ยแป้งลาย (Firrisia Virgata) ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของต้น เช่น ใบ ยอด และส่วนตา แมลงถ่ายมูลของเหลวทำให้เกิดราดำ (Sooty mold) พืชสังเคราะห์แสงได้น้อย การเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ลำต้นมีช่วงข้อถี่ยอดแห้งตาย หรือยอดแตกพุ่มและอาจมีผลกระทบต่อการสร้างหัวหากต้นยังเล็ก
ตัวเต็มวัยมีลักษณะค่อนข้างแบน บนหลังและด้านข้างมีแป้งปกคลุมมาก เวลาวางไข่จะสร้างถุงไข่ไว้ใต้ท้องเป็นใยคล้ายสำลีหุ้มไว้อีกขั้นหนึ่ง เพลี้ยแป้งจะแพร่กระจายตามลำต้น โคนใต้ใบ ปริมาณจะขยายจนเต็มข้อตามลำต้นส่วนใบ ส่วนยอด เพลี้ยแป้งชนิดออกลูกจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าชนิดวางไข่ หากสภาพอากาศแห้งแล้งและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานจะขยายปริมาณอย่างรวดเร็วกว่าชนิดวางไข่ หากสภาพอากาศแห้งแล้งและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานจะขยายปริมาณอย่างรวดเร็วตัวอ่อนวัย 1 เป็นวัยที่เคลื่อนย้ายไปตามส่วนต่างๆ ของพืช เป็นวัยสำคัญที่เคลื่อนย้ายไปตามส่วนต่างๆ ของพืช เป็นวัยสำคัญในการแพร่กระจายไปสู่บริเวณพื้นที่อื่นโดยการติดไปกับท่อนพันธุ์หรือกระแสลม
13. แมลงหวี่ขาว (Dialeurodes sp.) ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนใต้ใบพืช แมลงจะถ่ายมูลของเหลวทำให้เกิดราดำ พืชสังเคราะห์แสงน้อยลง และชะงักการเจริญเติบโต ใบม้วน ซีดและร่วง มีการเข้าทำลายเป็นหย่อมๆ และจะแพร่ขยายออกไปเป็นเวลานาน มีพืชอาศัยมากทั้งพืชไร่ พืชสวนและไม้ประดับ การทำลายของแมลงชนิดนี้จะพบควบคู่กับการเข้าทำลายของไรแดงและเพลี้ยแป้ง ตัวเต็มวัยจะออกจากดักแด้รอยแยกเป็นรูปตัวที “T” ทางด้านหลัง เป็นแมลงขนาดเล็ก 2 มิลลิเมตร ปีกบางใส 2 คู่คลุมเลยส่วนท้อง ตาแดง มักเกาะนิ่งกับใบพืช เคลื่อนไหวช้า อยู่เป็นกลุ่ม
จะพบไข่แมลงหวี่ขาวตามบริเวณส่วนยอด ตัวอ่อนและดักแด้บริเวณส่วนกลางของต้น ตัวเต็มวัยและดักแด้จะพบตามส่วนล่างของต้น มีการระบาดเป็นหย่อมๆ แพร่กระจายในสู่ส่วนยอดจนเต็มต้นแล้วจึงเคลื่อนย้ายไปบริเวณใกล้เคียง พบมากเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน
14. ปลวก (Coptotermes gestroi) ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยกัดกินท่อนพันธุ์ทำให้ต้นมันสำปะหลังไม่สามารถงอกได้กัดกินลำต้นแล้วนำดินเข้าไปบรรจุไว้แทนในลำต้น ทำให้ต้นหัก ล้ม นอกจากนี้ยังทำลายส่วนหัวมันสำปะหลัง ส่วนใหญ่จะพบในแหล่งพื้นที่เปิดใหม่ หรือเนินจอมปลวก ในกรณีพื้นที่ที่มีปลวกทำความเสียหายในระยะแรกและท่อนพันธุ์ไม่งอกมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ควรทำการปลูกซ๋อม
15. แมลงนูนหลวง (Lepidiota stigma) เป็นแมลงปีกแข็งค่อนข้างใหญ่ ขนาดลำตัวยาว 3-4 เซนติเมตร กว้าง 1.5 – 2 เซนติเมตร ตัวหนอนทำลายกัดกินราก ทำให้ต้นมันสำปะหลังตาย ทำความเสียหายในระยะต้นยังเล็ก ลักษณะคล้ายเกิดจากผลกระทบความแห้งแล้ง แต่ถ้าถอนต้นจะหลุดได้โดยง่าย พบมากในแหล่งปลูกที่เป็นดินทราย ph 6.0-6.5
16. ด้วงหนวดยาว (Dorysthenes bugueti) ตัวสีน้ำตาลแดง ขนาดยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร เป็นแมลงศัตรูที่ทำลายต้นมันสำปะหลังระยะที่เจริญเติบโตแล้ว พบในแหล่งดินร่วนปนทราย (pH 6.8-6.9) ตัวหนอนกัดกินภายในเหง้าและหัว ทำให้คุณภาพและราคาหัวมันสำปะหลังลดลง ต้นหักล้มก่อนกำหนด เนื่องจากตัวหนอนกัดกินเป็นโพรงและอยู่ภายในลำต้นหรือโคนต้น
(แหล่งอ้างอิง : อ.ฐิติมา วีระศิลป์ ; 2542 พืชทองคำใต้ดิน...มันสำปะหลัง สถาบันส่งเสริมพืชไร่และพืชพลังงานไทย)
การดูแลรักษาโรคและแมลงศัตรูของมันสำปะหลังนั้น ปรกติแล้วในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากหน่วยงานต่างๆ ก็มีสนับสนุนอยู่อย่างครบครันพร้อมเพียง ทั้งจุลินทรีย์ปราบเชื้อรา(Fungi) ปราบแบคทีเรีย (bacteria) หนอน แมลง หรือตระกูลเพลี้ยต่างๆ อย่างเช่น ไตรโคเดอร์ม่า (Tricoderma , Bacillus Thuringiensis, Beauveria, Metharizium, Bacillus Subthilis etc.) หรือจะเป็นการใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์หรือสรรพคุณในการไล่แมลงอย่าง ขมิ้นชัน ไพล ฟ้าทะลายโจร ตะไคร้หอม และกานพลู กลิ่นของแมลงเหล่านี้จะขับไล่และหลอกไม่ให้แม่ผีเสื้อกลางคืนและแมลงตัวเต็มวัยเข้ามาวางไข่ในไร่มันสำปะหลังของเรามากจนเกินไป ทำให้ง่ายต่อการป้องกันดูแลรักษาในแนวทางชีวภาพ ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรู ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อให้ธรรมชาติเสื่อมโทรมเสียหาย การใช้สารชีวภาพหรือสารที่ปลอดภัยไร้สารพิษเข้ามาจัดการปัญหา จะทำให้ระบบนิเวศน์ในแปลง เรือก สวน ไร่ นาเรา ไม่ถูกทำให้ดินตายนึ่ง หรือคล้ายการบอนไซดินหรือสิ่งมีชีวิตในดิน จากการที่ทำให้จุลินทรีย์หรือสิ่งมีชีวิตในดินล้มตายลงจากสารพิษหรือยาฆ่าแมลง เกษตรกรผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกมันสำปะหลังปลอดสารพิษ ติดต่อสอบถามมาได้ถึง ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com โทร. 0-2986-1680-2
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
ไม่มีความเห็น