ย้อนรอยเส้นทาง PhD ของโอ๋-อโณ (23): ความประทับใจจากการขับรถที่เมืองเพิร์ธ


เขียนเล่าเรื่องราวสมัยที่อยู่เพิร์ธลงในวารสารสายใยพยาธิฯเมื่อนานมาแล้ว และเอามาลงใน GotoKnow อยู่พักหนึ่ง แล้วก็หยุดไป จำไม่ได้ว่าทำไม แต่ช่วงนี้เอาไปเก็บใส่ไว้ในเว็บไซต์ของบุคลากรมอ.Share.psu แล้วเลยเอามาเผื่อแผ่ตรงนี้ไปด้วยให้จบค่ะ ดีใจที่ได้เขียนไว้จริงๆ เพราะตอนนี้ให้เขียนก็คงไม่ได้รายละเอียดขนาดนี้แน่ๆ

ความจำเป็นต้องขับรถเอง

ในช่วงแรกที่ไปถึง เนื่องจากเราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปกันทั้งครอบครัว นั่นคืออาจจะต้องใช้รถ โชคดีที่มีนักเรียนรุ่นพี่ที่มีเพื่อนชาวอินโดนีเซียที่เค้าเพิ่งเรียนจบ ชื่อโตโต้จะกลับบ้านและจะขายรถต่อให้เราได้ เป็นรถโตโยต้าโคโรน่าแวนที่แม้จะเก่าแก่ (รู้สึกจะเป็นปี 1975) แต่ได้รับการดูแลรักษามาอย่างค่อนข้างดี เจ้าของรถเป็นนักศึกษา PhD ทางการเกษตร และมีเพื่อนชาวอินโดฯด้วยกันที่เค้าขอสัญชาติเป็นคนออสเตรเลียแล้วชื่อ ป๊ะโซเล่แกมีอู่ซ่อมรถ (แบบสมัครเล่น เป็นงานอดิเรก) ที่บ้านเป็นคนคอยดูแลให้เป็นประจำทุกๆ 3 เดือน 6 เดือน เราก็เลยรับช่วงเลยและพูดกันเล่นๆว่า ไม่ใช่รถ secondhand นะนี่แต่เป็นรถ many many hands ใช้กันต่อๆมาไม่รู้กี่รุ่นแล้ว โตโต้กลับก่อนที่คุณสามีเราจะมาประมาณหนึ่งเดือน ทำให้เราต้องขับรถไปโดยปริยาย เพราะต้องเอารถจากบ้านเขามาบ้านเราและไปไหนมาไหนบ้าง จริงๆแล้วเป็นคนที่ทำให้รถเคลื่อนที่ได้มาตั้งนานแล้ว แต่คิดว่าขับไม่ได้ เพราะกลัวการขับให้สัมพันธ์กับคนอื่น ถ้ามีถนนโล่งๆไม่มีรถอื่นเลยละก้อจึงจะขับได้ แต่โชคดีที่โน่น เขาขับกันแบบเลนใครเลนมันและจำกัดความเร็ว ทำให้ขับได้ไม่ลำบากนัก แต่ต้องเป็นเส้นทางที่คุ้นเคย คุณโตโต้เจ้าของรถก็น่ารักมาก มีตารางมาให้เราเรียบร้อยเลยว่า แต่ละวันก่อนใช้รถ (หรือไม่ใช้ก็ตาม) ต้องดูแลอะไรบ้าง ทั้งหม้อน้ำ น้ำกลั่น น้ำมันเครื่อง ฯลฯ พาไปทำความรู้จักกับป๊ะโซเล่เพื่อนผู้ดูแลรถ (ซึ่งต่อมาก็เป็นผู้มีพระคุณมากมายกับครอบครัวของเรา) พาไปสอนเติมน้ำมัน (ที่เพิร์ธ คนขับรถต้องเติมน้ำมันด้วยตัวเองกันแทบทุกปั๊ม) ตอนแรกๆที่ไปจะดูแปลกตามากที่ได้เห็นคนขับรถทุกแบบ ทั้งใส่สูท แต่งตัวสวยงามหรูหรายืนเติมน้ำมันรถเอง

ความประทับใจจากการขับรถที่เพิร์ธ

ในช่วงแรกๆที่ขับรถคนเดียว จำได้ไม่ลืมเลยว่าเผลอไปขับรถบนถนนข้างบ้าน ซึ่งเป็นเนินชันมากประมาณน่าจะสักเกือบๆ 45 องศา เรียกว่าจอดแล้วไหลปรู๊ดทีเดียวแหละ ครั้งแรกที่ขับผ่านเผอิญไม่มีรถ (เป็นทางสามแยก) ก็ปรู๊ดเดียวขึ้นรอดไปเลย ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่เลี้ยวขึ้นถนนนี้แน่ๆ จะเลยไปอีกถนนที่ค่อนข้างราบกว่า แต่วันนั้นเผอิ๊ญ เผอิญลืม จะถอยกลับก็ไม่ได้ แถมมีรถตามมาอีกต่างหาก ต้องไปจอดรออยู่บนเนินตรงแยกใส่เบรคมือเอาไว้ คราวนี้พอตอนจะออกรถ ด้วยความที่มันชันมาก พอปลดเบรคมือปั๊บรถก็ไหลเร็วจนเราตกใจ กลัวจะไปชนรถข้างหลังต้องดึงเบรคมือขึ้นใหม่แทบไม่ทัน รถหลังก็แสนดี ถอยร่นลงไปให้ห่างเราเยอะเลย (เพราะเห็นแล้วว่ารถเรามีป้าย P อยู่ข้างหลัง) พอตั้งสติได้ว่าต้องเหยียบคันเร่ง ปล่อยคลัชยังไงรถถึงจะไปข้างหน้า ปลดเบรคมือแล้วเหยียบได้ที่ก็พอดีมีรถสวนมาใหม่ ต้องดึงเบรคมือขึ้นใหม่ สติแทบแตก พอรถว่างจะออกใหม่ปลดเบรคมือปั๊บ ตั้งท่าเหยียบคันเร่งปล่อยคลัชไม่ถูกจังหวะ รถก็ไหลถอยหลังจนต้องดึงเบรคมือใหม่ สุดท้ายก็เลยนั่งตั้งสติใหม่ คนขับรถข้างหลังก็แสนดี รอสักพักเห็นรถว่างแล้วเรายังไม่ไปสักที ก็ลงมาถามว่าเป็นอะไรไหม จะให้ช่วยหรือเปล่า เราก็เลยบอกว่าเนี่ยชักจะไม่ไหวแล้ว เขาก็บอกว่าใจเย็นๆทำตามที่ไอบอกนะ แล้วเขาก็บอกให้เหยียบคันเร่งปล่อยคลัช ปลดเบรคมือ เราก็ทำตามเป๊ะๆรถไหลถอยนิดนึงแล้วก็บึ้นไปหน้าจนพ้นเนินไปได้ ประทับใจหนุ่มน้อยใจดีคนนั้นมากๆเลย หลังจากคราวนั้นมาก็ไม่เคยขึ้นถนนนี้อีกเลย เข็ดจนตลอด 5-6 ปีที่อยู่มา

แล้วก็พบว่าที่เพิร์ธนั้นคนขับรถที่เราพบเจอมักจะใจดีมีมารยาทมากเสมอ ทำให้มีกำลังใจในการขับ แต่ก็ยังเป็นประสาทตรงที่ไม่ชอบให้มีรถตามหลังและไม่ชอบการเปลี่ยนเลน เวลาจะไปไหนต้องดูแผนที่ให้เรียบร้อยเอาแบบที่เกาะเลนซ้ายไปได้จนถึงที่ ไกลก็ไม่ว่า แต่ที่โน่นดีอยู่อย่างคือ เขามีหนังสือแผนที่ของทั้งเมืองไว้ให้ทุกปี เราไปตรงไหนก็หาทางได้หมด แถมทิศทางเขาก็ค่อนข้างเป็นระเบียบทำให้ขับรถชมวิวได้สบายบรื๋อ (อย่ามีรถตามก็แล้วกัน) และตามซอยเล็กแยกน้อยที่ไม่มีไฟแดงไฟเขียวก็พยายามไม่ไป เพราะตัดสินใจไม่ค่อยถูก เขาจะมีเส้นขาวกั้นไว้ให้ในเลนที่ต้องหยุดรอ ส่วนเลนที่ไม่มีก็ห้ามหยุด เราเป็นโรคหยุดหมดทุกแยกหรือไม่ก็ไม่หยุดเลยซักแยก เลยไม่ชอบแบบนี้ ถ้าเป็นไฟเขียวไฟแดงไปเลยจะได้แค่คอยดูและทำตามอย่างเดียวเลย ของเขาไม่มีการเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดเมื่อปลอดภัยแบบบ้านเราด้วย แม้แต่ทางเลี้ยวซ้ายก็มีไฟแดงไฟเขียวของตัวเองให้ดูได้ ดีที่ต้องขับคนเดียวอยู่แค่ไม่กี่เดือน พอคุณพ่อบ้านมาก็เลิกขับไกลกว่ารอบบ้าน 3-4 ถนนเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะทุกอย่างถ้าไม่รีบจริงๆและต้องขนอะไรมากมาย ก็อยู่ในระยะเดินถึงได้ทั้งนั้นและอากาศกับสิ่งแวดล้อมดีน่าเดินมากๆ

คนขับรถเองที่อายุมากที่สุดที่เคยเห็น

ที่เพิร์ธนี้เราจะได้เห็นคนขับรถที่อายุมากๆขนาด 80-90 ปีไม่น้อยทีเดียว เขาจะมีกฎว่าคนที่อายุเกิน 60 ปีต้องมาสอบขับรถทุกปี เพราะจะมีอันตรายกับผู้อื่น เคยมีข่าวคุณตาขับรถชนร้านค้ามาแล้ว ตอนหลังรู้สึกจะให้สอบขับถี่ขึ้นกว่าปีละครั้งด้วยละมัง แต่คนสูงอายุที่นั่นค่อนข้างจะเป็นอิสระ เขาไม่ชอบให้ลูกหลานมายุ่งมาก ส่วนมากก็จะเป็นตามเทศกาลต่างๆจึงจะมารวมตัวกันสักครั้ง บางครั้งเราคิดว่าลูกหลานทอดทิ้ง แต่จริงๆหลายๆคนเขาชอบอย่างนั้น เขามีสังคมของเขาเอง ต่างจากบ้านเราที่ผู้เฒ่าผู้แก่จะไม่ได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ลูกหลานคอยบริการ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราสองคนแม่ลูก (กับน้องฟุง) เคยหยุดยืนคอยดูคุณยายถือไม้เท้าออกมาจากร้านพิซซ่า เพราะความที่รถคุณยายสวยมาก (ความจริงเราหยุดดูว่าใครเป็นเจ้าของรถมากกว่า) น่าจะอายุสัก 80 ปีได้ เพราะคุณยายเดินหลังค่อมมากแล้ว แถมใส่แว่นหนาเตอะกับผิวเหี่ยวมากๆ พอคุณยายออกรถเราสองคนก็ร้องพร้อมกันเลยว่า โอ้โห....เพราะคุณยายขับปรื๋อออกไปไม่มีรีรอเลย เหมือนวัยรุ่นยังไงยังงั้น ประทับใจเราเสียไม่มี

เล่าไปเล่ามาเกินพื้นที่เสียอีกแล้วค่ะ ยังไม่ถึงเรื่องเล่าของการพาลูกไปโรงพยาบาลที่เพิร์ธเลย คราวหน้าถึงแน่ๆค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไป

ต่อมาจาก series นี้ค่ะย้อนรอย PhD

หมายเลขบันทึก: 550068เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2013 19:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 สิงหาคม 2014 19:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

อ่านแล้วตื่นเต้น ตามไปด้วยครับกับการขับรถขึ้นที่ชัน เคยมีประสบการณ์เหมือนกัน ที่รถคันเก่าเครื่องดับบนที่ลาดชัน แล้วระบบไฟฟ้าใช้ไมได้ ต้องดึงเบรคมือแล้วสตาร์ทใหม่...ครับ

สุดท้ายขอเชียร์คุณยาย จอมซิ่งครับ..555

 

อ่านบันทึกของพี่โอ๋แล้ว....

อยากให้ตัวเองมีความกล้าในการขับรถแบบพี่ดูบ้าง

แต่สิ่งที่ทำให้ไม่กล้าและกลัวอยู่ทุกวันนี้ คือตอนที่รถขนกาซระเบิดบนทางด่วนประตูน้ำ-เพชรบุรี (รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด)

ที่ทำให้ "กลัว" สุดชีวิต  คืออุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้กระดูกข้างขวาร้าว และใส่เหล็กดามไหปลาร้ากว่า ๒ ปี กว่าจะได้เอาเหล็กออก

หายกล้า ๆ กลัว ๆ มาได้พักใหญ่ และกลับมากลัวใหม่อีกครั้ง  คือนั่งอยู่ในรถแท็กซี่จากซีคอนกำลังจะกลับบ้าน  รถยนต์ส่วนตัว ๒ คันกำลังขับเบียดกันไปมา  และในที่สุดรถคันเล็กนิสสันมาร์ชใจดียอมให้พี่ใหญ่ฟอร์จูนเนอร์ไปก่อน  แต่จนแล้วจนรอดพี่ฟอร์จูนเนอร์เขากลับจอดรถดักหน้าพี่นิสสันมาร์ช......ซะง้านนนนนน .........  แล้วก็ใช้คลื่นเสียง เย้ว ๆ พล่ามไปให้รถคันหลังได้ดูกัน  อินี้ !!!!! น่าตกใจสุด เมื่อเห็นว่าพี่นิสสันมาร์ชเป็นผู้หญิงขับ  ส่วนพี่ฟอร์จูนที่เย้ว ๆ อยู่เป็นผู้ชาย  ไม่รู้ว่าใครถูก ใครผิด 

รู้อย่างเดียวว่าการขับรถต้องมีน้ำใจและแบ่งกันไป  ถนนมีน้อย  รถมีเยอะกว่า  บางทีการขับรถก็ขึ้นกับจังหวะอยู่เหมือนกัน  และต้องไม่มีน้ำโห ปรี๊ดแตกอย่างที่เห็น  ไม่งั้น...ชีวิตเราอาจตกอยู่ในความประมาทของผู้อื่น

ขอสารภาพจากใจว่าหลังจากเหตุการณ์ของพี่ฟอร์จูนกับนิสสันมาร์ชนี่ กลับมาทำให้หนู " ป๊อด " ใหม่อีกครั้ง 

นับถือน้ำใจพี่จริง ๆ แค่ขับในประเทศก็สุดยอดแล้ว

.......................

 

 

 

 

...แม่ของแฟนก็ขับรถถึงอายุ82 ปีตอนนี้ 93 ปี เขาจะดูแลตัวเองและช่วยเหลือตัวเอง ...ส่วนเรื่องการดูแลของลูกหลานก็เหมือนคนไทยนะคะ ...ไปเยี่ยมเยียน พาไปกินข้าวนอกบ้าน พาไปโรงพยาบาล ฯลฯ ...

ตื่นเต้นนะคะ เพราะมีประสบการณ์กับการขับรถแบบมือใหม่หักขับเสียวๆค่ะ

พออ่านถึงตอนขึ้นเนินก็ให้นึกเห็นภาพเลยว่าถ้ารถติดละเอ๋ยจ่อจะขึ้น ข้างหน้าก็ไปไม่ได้ ข้างหลังก็จ่อท้าย

โห...ต้องเหยียบมิดเบรค กลัวจนต้องดึงเบรคมือยอมแพ้ ตั้งแต่บัดนั้นจนทุกวันนี้ค่ะ

ดังนั้นพออ่านถึงตอนน้องดร.โอ๋ขับขึ้นเนิน ต้องแอบชื่นชมว่า.เยี่ยมจริงๆค่ะ

ขอบคุณนะคะ สำหรับบันทึกที่เป็นกำลังใจของผู้หญิ๊งผู้หญิง

ถ้าก่อนหน้าพี่หัดขับแล้วมาได้อ่านบันทึกนี้ ป่านนี้พี่คงข้ามประเทศไปไหนๆแล้ว อิอิ

 

ทุกวันนี้พี่ดาก็ยังเกร็งอยู่ค่ะการขับรถไปจอดบนที่ชันหรือเนินสูง ไม่ชอบเลย มือใหม่ตลอดกาลค่ะ คิดถึงเสมอนะคะ

น้องโอ๋เก่งจังค่ะ..ต้องมีสติมั่นคงจีงพาตัวรอดมาได้..

  • ตื่นเต้นกับการขับรถขึ้นเนินครับ
  • เสียดาย ถ้าเห็นรถสวยของคุณยายด้วยก็จะดีมากเลยครับ :-)

ขอบคุณสำหรับดอกไม้และความเห็นจากทุกท่านนะคะ ไม่ค่อยมีเวลามากพอจะตอบขอบคุณเป็นรายบุคคล ถ้าไม่ใช่คำถามหรือจังหวะที่ลงตัวก็มักจะไม่ได้ตอบ ต้องขอโทษด้วยค่ะที่เสียมารยาทเป็นประจำ

nmintra คะตอนนั้นไม่ค่อยได้พกกล้องค่ะ รูปรถสวยไม่มี แต่รูปรถ many many hands car น่ะมีค่ะ อยากเอามาลงแต่เกรงใจคนอ่าน อิ อิ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท