Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

เมื่อชาวเราตามหาหลักธรรม......จนสูญค่าความเป็นเมืองพุทธ!


เจริญพรสาธุชนผู้มีสติปัญญามั่นคงในวิถีแห่งการผันแปรอย่างรุนแรงของโลก
ดังที่มีปรากฏการณ์ต่างๆ นานาเกิดขึ้นในสังคมทั่วโลก
ให้มหาชนได้ลิ้มชิมรสปัญหาเงื่อนปมจากการดำเนินชีวิตไปบนวิถีโลกลักษณะทรงกลม
แต่มีผิวภูมิศาสตร์ขรุขระ ลุ่มๆ ดอนๆ มากไปด้วยหลุมบ่อ
ระเกะระกะไปด้วยสัพเพเหระ ทั้งที่มีสาระและไร้สาระ
หากรู้จักคิดพิจารณา...

จะด้วยอำนาจชะตากรรมฟ้าลิขิตที่ต้องเป็นไป หรือจะด้วยแรงขับเคลื่อน ของ
อำนาจตัณหาและแรงกรรม ของวิสัยสัตว์โลก
ผู้ถือตนว่า...เป็นเจ้าของโลกขรุขระใบนี้ บัดนี้ ในความจริงของโลกที่มี
ลักษณะสามัญ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
ได้แสดงธาตุแท้ให้ปรากฏในบริบทความเคลื่อนไหวที่น่าศึกษายิ่ง


เมื่อปรากฏมิติแห่งเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นอย่างยากจะเข้าใจถึงธาตุแท้ของโลก
หากขาดสติปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย ทั้งนี้
ด้วยมายาแห่งโลกที่ทับซ้อนสร้างภาพหลากหลายมิติ
ซึ่งหากไม่เพิ่มพูนกำลังสติปัญญาก็ยากที่จะเข้าถึงมิติแห่งความจริงแท้ได้จากการเข้าใจด้วยแค่เพียงเพ่งดูอย่างผิวเผิน...

จะด้วยสัตว์โลกเป็นผู้มีกิเลสกามปิดดวงจิต
หรือจะด้วยวิสัยสัตว์ผู้มากไปด้วยจินตนาการทางการสร้างมโนภาพที่เป็นไปตามความเชื่อเข้าใจแห่งจิตตนก็ตาม
แต่ปรากฏกา รณ์ที่เกิดในดวงจิต
ก็คือความมืดมนที่ยากจะให้เข้าใจในสภาวธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริง
จึงควรระมัดระวังการเหยียบลงไปบนพื้นที่ปัญหา ซึ่งอาจจะตกขอบ
ถลำลึกลงไปในบ่อปัญหาได้อย่างน่ากลัว


ถ้าขาดการใคร่ครวญไตร่ตรองอย่างไม่ประมาทในสภาพธรรม นั้นๆ แห่งโลกมายา
ที่ยากต่อการเข้าใจยิ่งในบริบทโลกวิสัยปัจจุบัน...ซึ่งแม้แต่นักวิชาการ...นักวิชาเกิน...นักช่างคิดทั้งหลายยังตกหลุมบ่อมายาแห่งโลกตายมานักต่อนักแล้ว
ด้วยความรู้ในทางวิชาการที่เรียนมาในระนาบแกน x-y (แถม แกน z
ให้ด้วยอีกแกนหนึ่ง)

จึงไม่แปลกที่ เรื่องกล้วยๆ... (รวมถึงเรื่องข้าว...เรื่องยาง...)
จะทำลายความมั่นใจของนักวิชาการ...นักจินตนาการ...นักสร้างมโนภาพ
ได้อย่างหมดสภาพภูมิปัญญาผู้รู้ทางโลก...ทั้งนี้ เพราะเรื่องกล้วยๆ ข้าวๆ
ยางๆ เหล่านั้นมันได้ผันแปรไปตามวิถีกระแสโลก มิใช่กล้วย ยายมี, ข้าว
ตามา, ยาง ตามั่น แบบสมัยก่อน มันจึงไม่ได้ทรงปัญหาไว้อย่างเดิม
ให้ใช้สูตรสำเร็จแก้ไขได้ตามแบบนักวิชาการปากซอย


ด้วยภูมิความรู้ตามก้นฝรั่ง...การใช้สูตรแก้ไขแบบเดิมที่ไร้ความเข้าใจในความจริงแห่งโลกมายาจึงใช้การไม่ได้
ด้วย ความรู้มันเข้าไม่ถึงตัวปัญหา
ที่ส่งต่อรูปก่อกระแสแปรภาพสลับซับซ้อนหลายเชิงมิติ จนยากจะคาดเดาได้ตาม
ทฤษฎีขนมครกปากซอย


และไม่ว่าจะด้วยอะไรเป็นเหตุปัจจัยก็ตาม...แต่วันนี้โลกพัฒนาปัญหาไปไกลจนเกินความรู้ของชาวโลกอีกแล้ว
ซึ่งหากพูดได้คงจะกล่าวปรามาสว่า..."น้ำหน้าอย่างมึงหรือจะมาแก้ปัญหาของกูได้..."
และคงจะกล่าวสำทับด้วยความสะใจแบบโลกๆ ว่า...
"ถ้าพวกมึงแน่จริงคงไม่ตกอยู่ภายใต้วังวนของอำนาจกูมาโดยตลอดหรอกเว้ย!!"

สาธุชนผู้มีสติปัญญาจึงไม่ควรมองโลกแบบง่ายๆ
ดุจนักจินตนาการทางโลกทั้งหลาย เพราะปัญหาที่สลับซับซ้อนซ่อนพรางตาอยู่ใน
Space and Time ให้มีความหลากหลายแห่งมิติเกิดขึ้น
ที่จะต้องมีสติปัญญาเข้มแข็งเพื่อเพ่งพินิจให้ทะลุ
เพื่อเข้าให้ถึงความจริงแท้แห่งโลก...จึงอย่ามองอะไรกล้วยๆ...อย่างที่เคย


ด้วยนิสัยคนมักง่าย เพราะหากเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดา กล้วยๆ
บุรพชนคงไม่ร่วมกันเรียกขานธรรมชาติเหล่านี้ว่าแม่หรอก ไม่ว่าจะเป็น
แม่โพสพ...แม่คงคา...แม่ธรณี ที่ซึมซับจิตวิญญาณสัตว์โลกมายาวนาน จนเป็น
หนังมหาภารตะว่าด้วย ๓๑ ภพภูมิ ที่แม้พระพุทธเจ้าของเราก็มิได้ปฏิเสธว่า
โลกมันมีมายาซับซ้อน ยากที่สัตว์โลกจะเข้าใจได้จริง


ในความจริงแห่งโลกที่มีสัจธรรมซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งไม่เคยปรากฏมีนักวิชาการ
นักจินตนาการผู้ใดเข้าถึง-เข้าใจแจ่มแจ้งในปัญหาของโลกมายาใบนี้
และหากผู้ใดรู้แจ้งแทงตลอดในโลก ผู้นั้นก็จะได้รับการยกย่องบูชา
เป็นบรมศาสดาแห่งชาวโลกทันที ดุจดังพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา
ที่ต้องใช้เวลายาวนานมากอสงไขย มากกัลป์
สั่งสมสติปัญญาที่เรียกว่าบารมีธรรม
เพื่อการวิเคราะห์-วิจัยโลกจนตรัสรู้ในเรื่องโลกได้อย่างสิ้นเชิง
ด้วยการเข้าถึงความจริงขั้นสูงสุดที่เรียกว่า อริยสัจ
อันเป็นธรรมที่ลึกซึ้งประณีต ยากที่สัตว์โลกทั้งหลายจะมองเห็น...จะเข้าใจ
และด้วยความไม่รู้ของชาวโลก จึงได้คิดสร้างทฤษฎีมากมายตามภูมิปัญญาถั่วๆ
เพื่ออวดอ้างว่า


ฉันเข้าใจโลก...สามารถพัฒนาสังคมมวลมนุษยชาติให้ก้าวหน้าไปบนโลกใบนี้ได้
โดยมุ่งดำเนินชีวิตแข่งขันกับการดำเนินวิถีของโลก
ที่ก่อรูปส่งต่อไปตามกระแสอย่างเป็นระบบในลักษณะปัจยาการ
อันแสดงความสัมพันธ์แห่งสภาวธรรมที่สร้างปมเงื่อนไขให้เกิดและแก้ให้สลายไปในตัวของมันเอง
อันไ ม่มีอำนาจใดๆ สามารถไปหักทำลายวิถีแห่งโลกได้เลย...

พระพุทธศาสนาของเราจึงวางหลักการเรียนรู้เรื่องโลกไว้อย่างปกติ
ให้เห็นความเป็นธรรมดาของโลกตามสภาพที่มีอยู่จริง
โดยการเข้าถึงสามัญลักษณะของโลก เพื่อหลีกเลี่ยงการรับรู้ในเชิงมายา
อันเป็นผลที่สืบจากความเป็นธรรมดาของโลก ด้วยการรู้เท่าทันโลกว่า
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะวิ่งไล่ตะครุบเงาของโลกอันไม่มีสาระ


ความจริงที่ควรยึดถือ...ที่แสดงสภาวะเฉิดฉายโฉบเฉี่ยวเที่ยวไปวันๆ
ด้วยบทบาทหลากหลายตามใบสั่งแห่งเจ้ามายา
เพื่อหลอกล่อให้สัตว์ขาดปัญญาสยบอยู่ใต้อำนาจ...

ดังนั้น เพื่อการทะลวงไส้โลกให้สิ้นทุกขด
พุทธศาสนาของเราจึงกำหนดจุดประสงค์ของการเรียนรู้
เพื่อเข้าให้ถึงรากเหง้าปัญหาแห่งโลกมายาใบนี้ ซึ่งสัตว์โลกยากจะเข้าใจ
ทั้งนี้ เพราะความซับซ้อนแห่งมายาโลกที่แผ่อำนาจครอบคลุมความรู้สึกสัตว์ทั้งหลายไปทั่ว
ให้ยากต่อการจัดระเบียบความคิด
พัฒนาความเข้าใจให้ถูกต้องตามความประสงค์จริง
อันควรค่าต่อการเข้าให้ถึงความจริงแท้
ที่ยากจะเข้าถึงในวิถีจิตแห่งสัตว์โลกทั้งหลายที่ขาดการสั่งสมบารมีธรรม (ปัญญา) มาอย่างต่อเนื่อง


พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเป็นแบบฉบับอันยิ่งใหญ่ของผู้ประสบความสำเร็จ
จากการตรัสรู้ รู้แจ้งแทงตลอดในโลก
ด้วยการสั่งสมบารมีธรรมมาอย่างต่อเนื่อง
จนถึงพร้อมด้วยบารมีธรรมขั้นสูงสุด (ปรมัตถบารมี)
ให้เกิดพระสัพพัญญุตาญาณ ขึ้น (สติปัญญาชั้นประเสริฐสุด บริสุทธิ์ที่สุด)
สามารถรู้แจ้งโลก ทะลวงทะลุปัญหาได้หมดสิ้นไป
ด้วยความรู้-ความเข้าใจที่สัมฤทธิ์โดยการเพียรปฏิบัติของพระองค์เอง
ด้วยความรู้แจ้งโลกของพระองค์
จึงนำมาสู่การประกาศหลักความจริงแท้ของโลกว่า
โลกนี้ไม่จริง...ไม่จีรังยั่งยืน ไร้แก่นสารความเป็นตัวตนบุคคล
อันสัตว์ทั้งหลายไม่ควรยึดถือ
เพราะจะให้เกิดความทุกข์ทันควันหากเข้าไปยึดถือ...

จึงได้ทรงประกาศหลักอริยสัจ ๔ อย่างมีแบบแผน เป็นระบบ ละเอียด
ประณีตทุกขั้นตอน แจกแจงไว้อย่างชัดแจ้งและเปิดเผย รวม ๘๔,๐๐๐
พระธรรมขันธ์ เพื่อการศึกษาของสัตว์โลกที่มีวาสนาบารมี
พอที่จะร่ำเรียนและปฏิบัติได้จริง โดยกำหนด ๔ ประการแห่งความจริงที่ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจในเรื่องของโลก ได้แก่

๑.โลก คือเรื่องราวแห่งความทุกข์ ที่ปรากฏเป็นความจริง (สัจจะ) ว่าโลกคือความทุกข์

๒.ความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น-ความทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
นอกจากความทุกข์แล้ว ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลย
มีแต่สภาพธรรมแห่งความไม่เที่ยงของความเกิดดับที่ปรากฏให้เห็น
เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในความจริงที่ว่า
ความทุกข์ย่อมมีมูลเหตุให้เกิดขึ้นและดับไป (เหตุแห่งทุกข์)

๓.เมื่อเข้าถึงความจริงแห่ง เหตุแห่งทุกข์ แล้ว ก็ย่อมเห็นความจริงว่า
ทุกข์นี้ดับได้ โลกนี้เป็นเพียงมายา
ไม่มีภาพความจริงแห่งความเป็นตัวตนถาวร สุดท้ายย่อมดับสิ้น
แต่ที่ดำเนินอยู่ได้เพราะมูลเหตุยังให้ผล หากมูลเหตุสิ้นไป ทุกข์ (ปัญหา)
ย่อมดับไปสิ้น

๔.เมื่อทรงประกาศหลักความจริงทั้ง ๓ แล้ว
ก็ได้แสดงภูมิปัญญาของความเป็นพระบรมศาสดาที่ทรงค้นพบหนทางแห่งความดับทุกข์ได้สิ้น
ที่เรียกว่า อริยมรรค อันมีองค์ธรรม ๘ ประการ ถือปฏิบัติในทางสายกลาง
(มัชฌิมาปฏิปทา) อันพระองค์ได้ปฏิบัติให้ดูด้วยพระองค์เองแล้วว่า
อริยมรรคเป็นหนทางที่นำไปสู่ความดับทุกข์ได้จริง


เรื่องดังกล่าวมีพระสงฆ์สาวกจำนวนมากมายรับรองว่าพระองค์ท่านตรัสไว้จริงทุกประการ
ด้วยความจริง (สัจจะ) ๔ ประการดังกล่าว ซึ่งเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
จึงสร้าง แนววิธีคิดแบบอริยสัจ ขึ้นเพื่อใช้แก้ไขปัญหาโลก
จนสามารถรู้จริงในวิสัยโลก ตลอดจนกระบวนการเวียนว่ายตายเกิด
ซึ่งยากที่สัตว์จะเข้าใจ


โดยเฉพาะกฎความเป็นธรรมดาที่แสดงในรูปปัจยาการที่เรียกว่า
ปฏิจจสมุปบาทธรรม...ที่เป็นสมบัติทางปัญญาอันล้ำค่าของพระพุทธศาสนา
ที่แม้นักวิชาการทุกศาสตร์ในโลกยอมรับ แม้นักวิทยาศาสตร์อย่าง ไอน์สไตน์
โดยเฉพาะการประกาศกฎความมีอยู่จริงในธรรมชาติขั้นสูงสุดที่เรียกว่า
ธรรมนิยาม...ด้วยความเป็นเมืองพุทธศาสนาที่มีพระธรรมคำสั่งสอนอันล้ำเลิศ
ชาวเราทั้งหลายจึงน่าจะ สามารถนำมาใช้ในการจัดระบบระเบียบสังคมตาม
กระบวนการวิถีพุทธ เพื่อความสันติสุขได้อย่างแท้


จริง...แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เราได้ทอดทิ้งภูมิปัญญาขั้นสูงสุดที่ควรนำมาใช้ประโยชน์...ปัญหาต่างๆ
จึงไม่สิ้นไป จนนำไปสู่การตามหาความหมาย คำว่า "ปรองดอง"


จากคนนอกศาสนา...อย่างไม่รู้จักละอายใจเลย ในฐานะที่ประกาศว่า
เป็นประเทศพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่...มีชาวพุทธมากกว่า ๙๐%...

เจริญพร

หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 6 กันยายน 2556
โดย.. พระ อ.อารยวังใส

คำสำคัญ (Tags): #พุทธศาสนา
หมายเลขบันทึก: 548153เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2013 11:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กันยายน 2013 11:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท