๑๕๓. ต่างปรากฏการณ์แต่อยู่บนระนาบเดียวกัน


                        

 

สงครามกลางเมืองในอียิปต์ การใช้อาวุธเคมีในจราจลที่ซีเรีย และการใช้กำลังตำรวจควบคุม สส กับการทุ่มเก้าอี้ ในรัฐสภาไทย ๓ เหตุการณ์นี้ ผมคิดว่าไม่เหมือนกับปรากฏการณ์ทั่วไป อีกทั้งมีความน่าสนใจ ชวนให้น่าคิดและน่าเรียนรู้จากสถานการณ์สังคม ได้หลายอย่าง .............

(๑) อียิปต์ ได้ชื่อว่าเป็นแอ่งอารยธรรมแห่งหนึ่งของโลก มีส่วนต่อการเป็นแบบอย่างอ้างอิงทางการเมืองการปกครอง ที่พัฒนามาสู่สังคมประชาธิปไตยยุคใหม่ และเป็นต้นธารของงานทางปัญญาอีกหลายด้าน ที่มีอิทธิพลต่อสังคมวัฒนธรรมต่างๆ กระทั่งในยุคปัจจุบัน แต่ที่สุด ก็เกิดการใช้ความรุนแรง ที่ตรงกันข้ามกับความเป็นแบบอย่างสังคมเชิงอุดมคติอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น จึงไม่ใช่เหตุการณ์ใช้ความรุนแรงอย่างเดียว แต่เป็นการบอกถึงขีดจำกัดบางอย่างที่เกิดขึ้น แม้ในสังคมที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแบบ ที่หลายแห่งในโลกดำเนินตาม

(๒) การใช้อาวุธเคมีในจราจลที่ซีเรีย ที่เกิดขึ้นแม้ในท่ามกลางสังคมยุคใหม่ ที่เชื่อกันว่าเชื่อมโยงถึงกัน  ข่าวสารแพร่กระจายให้ได้ร่วมรับรู้กันทั่วโลก อาวุธและอาวุธเคมี ก็เป็นการสนับสนุนและร่วมมือกันของกลุ่มระหว่างประเทศ ทุกอย่างเข้มแข็ง ก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ แต่กลับบ่งบอกถึงความอ่อนแรงของระบบคุณธรรม ของการแข่งขันและช่วงชิงการเข้าถึงประโยชน์สูงสุด ที่สังคมยุคใหม่ทั่วโลกต่างมุ่งชูเป็นอุดมคติของการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมตนเอง แต่ไม่สามารถคำนึงถึงการอยู่ร่วมกันของหมู่มนุษย์ในฐานะสังคมโลกด้วยกัน

(๓) การใช้กำลังตำรวจควบคุม สส รวมทั้งการทุ่มเก้าอี้ ในรัฐสภาไทย เป็นการแก้ปัญหาที่ได้ใจผู้ชมเหตุการณ์ สื่อให้รู้ถึงความชอบธรรมที่ได้รับจากทัศนคติมวลมหาชน แต่หากพิจารณาใคร่ครวญให้ดีอีกทีหนึ่งแล้ว ก็จะต้องตระหนักว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ กำลังบ่งบอกถึงความไม่มีอยู่จริง ของการที่จะต้องยืนหยัดแก้ปัญหาส่วนรวมอันแตกต่างหลากหลาย ด้วยความเชื่อมั่นในระบบเหตุผล

แม้ในพื้นที่ซึ่งเชื่อกันว่าจะต้องปลอดจากความรุนแรงทั้งปวง ที่สุดก็ใช้เครื่องมือทางกำลังอำนาจเข้าจัดการกับภาวะกดดันต่อการหาทางออกด้วยเหตุด้วยผลกันไม่ได้ ของกลุ่มผู้ซึ่งถือเป็นตัวแทนของความขัดแย้งแตกต่างในสังคม เช่นนี้แล้ว ก็จะไปหวังและเพ้อฝันอะไรกันได้ต่อความรุนแรงทั้งปวงประดามี ที่กรุ่นอยู่ในสังคมภายนอก ทั้งไม่เกินที่จะคิดคาดการณ์ได้ว่าจะต้องมีอีกอยู่เรื่อยๆ

สิ่งเหล่านี้ ต่างก็เป็นปรากฏการณ์ที่ถักทอขึ้นบนวิธีคิดที่แยกส่วนชีวิตและสังคมอื่น จนเสมือนเป็นคนละส่วนจากตนเอง และความแตกต่าง ที่อยู่นอกเหนือจากความคิด ความเชื่อ การมุ่งบรรลุผลประโยชน์บนความสนใจและบนเงื่อนไขที่แตกต่างนั้น ต้องขจัดออกไป เพียงแต่ต่างวิธีการเท่านั้น

ต่างบริบท ต่างรูปการณ์ แต่กลับอยู่ในระนาบเดียวกัน ต่างเผชิญกับขีดจำกัดของการจัดการตนเองในสังคมในบริบทแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายของท้องถิ่นและของสังคมโลก เป็นการปรากฏขึ้นของแรงสั่นไหว จากการปะทะกันของความแตกต่าง และการเคลื่อนไหวหาความสมดุลลงตัว บนความเป็นจริงอันซับซ้อนมากขึ้น ที่สังคมยังไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสภาพที่ไม่เคยมีในอดีตอย่างนี้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้วอย่างนี้ ไม่ต้องมีคำตอบและบทสรุปเบ็ดเสร็จ แต่ก็มีแง่มุมชวนให้เกิดการนำมาคิดใคร่ครวญ สะดุดความสนใจ เพื่อเกิดมิติเรียนรู้สถานการณ์ต่างๆไปด้วย ได้กำลังคิด และมีกำลังลงมือปฏิบัติสิ่งต่างๆ ให้สะท้อนการได้มีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง ก่อเกิดจิตใจอย่างใหม่ ได้พลังปัญญา และได้ความริเริ่มใหม่ๆ แม้เพียงบนสิ่งเล็กๆตรงหน้าของเรา.

หมายเลขบันทึก: 547594เขียนเมื่อ 7 กันยายน 2013 06:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน 2013 06:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ดูเหมือนว่า ในโลกเราจะใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาไปเสียแล้ว

อยากเห็นการแก้ปัญหาแบบสันติวิธีครับ

...ความเหมือนในความแตกต่างของมนุษย์บนโลกใบนี้นะคะ

เรื่องราวสะท้อนสุขภาพจิต ความคิด ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์ขจิตครับ
ช่วยกันนำมาคุยและสร้างโอกาสให้สังคมได้เกิดการสื่อสาร พูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้  แล้วก็ได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนไปสู่การทำให้สังคมมีกำลังที่จะคิดและลงมือแก้ปัญหาไปตามการรับรู้ อย่างเราๆนี่ก็คงทำได้ไปบนกระบวนการสร้างคน สร้างความรู้ และสร้างการเรียนรู้กับสังคม การพาคนให้มีทักษะการคิดและแก้ปัญหาร่วมกัน มีความฉลาดทางสังคมและความฉลาดทางวัฒนธรรม เห็นนัยสำคัญของความแตกต่างหลากหลาย ที่ทันกับความซับซ้อนของสังคมและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นเรื่องความคิดและหลักการกว้างๆที่ใครๆก็พูดกันอย่างนี้แหละเนาะ

สวัสดีครับ ดร.พจนาครับ
เป็นความเหมือนบนความแตกต่างอีกแง่หนึ่ง ที่หากเห็นแง่มุมนี้อยู่เรื่อยๆ ก็น่าจะทำให้สำนึกและความเป็นตัวตนของสังคมมีความกว้างขวาง เห็นความร่วมกันของสังคมวงกว้าง และเมื่อเห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมอื่น ก็จะได้มีวิธีเห็นว่าในความเป็นจริงแล้วสังคมของเราก็ไม่ได้ต่างไปจากสังคมอื่นเท่าใดนัก สิ่งที่ยังไม่ได้เกิดกับสังคมไทยแบบเดียวกัน ก็จะได้มีวิธีคิดว่าแรงกดดันอย่างนี้เป็นสภาวการณ์เดียวกันของทั่วโลก คนที่มองเห็นแง่มุมอย่างนี้ก็จะมีโอกาสสร้างคน สื่อสารสร้างวาระความตระหนักรู้ และทำให้สังคมมีความฉลาดทางสังคมไว้ก่อน ก็คงจะมีส่วนทำให้อะไรมันดีๆขึ้นบนสิ่งที่เรามีส่วนร่วมทำกันได้คนละนิดละหน่อย 

สวัสดีครับ krutoiting ครับ
เรื่องสุขภาพจิต ความคิด คงจะมีส่วนมากอย่างที่ krutoiting ว่าเหมือนกันนะครับ และอย่างนี้ แม้คนทำงานด้านสุขภาพจิต หรือในกิจกรรมสร้างทักษะการคิด ที่ดูเหมือนอยู่ห่างไกลเหตุการณ์ตัวอย่างอย่างนี้มาก ก็จะสามารถถือโอกาสทำงานตรงหน้า ให้เป็นโอกาสนำเอาเรื่องราวอย่างนี้เข้าไปสร้างการเรียนรู้บนการปฏิบัติ ได้ด้วยเหมือนกัน อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ

.."ความริเริ่มใหม่ๆ..แม้เพียงบนสิ่งเล็กๆ..ตรงหน้าเรา".....น่า..จะ..ขจร..ขจาย..ไป..ในสังคม..เราๆ..(นะเจ้าคะ..ยายธี)

สวัสดีครับยายธีครับ
ขอเห็นด้วยครับ เป็นการทำให้ได้มองสภาวการณ์ต่างๆให้รอบด้านกว้างขวาง ไม่จิตเล็ก เห็นเพื่อเท่าทัน เมื่อเห็นแล้วก็ไม่ท้อแท้สิ้นหวัง แต่กลับมีความหวัง เห็นความหมาย เห็นโอกาสการมีส่วนร่วมได้ทุกเมื่อ และเห็นโอกาสในการพัฒนาบทบาทตนเองของเรา ให้ได้ลงมือทำการงานและพาชีวิตดำเนินไป ให้กล่อมเกลาและก้าวออกจากตัวตนที่คับแคบ อบรมชีวิตด้านใน และได้ภาวะตัวตนร่วมกับผู้อื่นที่กว้างขึ้น ดียิ่งๆขึ้น ไปตลอดเส้นทางชีวิต 

เหตุการทุ่มเก้าอี้...ครั้งแรกที่ผมเห็น ผมรับรู้ถึงความสะใจของตัวบุคคลที่ ระบายออกมาไม่หมด และถูกผ่องถ่ายไป

และด้วยเหตุและผลที่ปะเดประดังเข้ามา....กับจุดยืนในตัวบุคคลที่แสดงออกให้เห็นว่า...หาไม่แล้วจะมีสิ่งเลวร้ายมากกว่านี้

..

ผมชอบคำว่า...สังคมต้องฉลาดขึ้น...และฉลาดด้วยเหตุผล มิใช่ความรุนแรงหรือก้าวร้าว

..

อาจารย์สบายดี นะครับ

ด้วยความระลึกถึง ครับ

สวัสดีครับคุณแสงแห่งความดีครับ
การอภิปรายในสภา เลยแทนที่จะเป็นโอกาสให้ สส และสมาชิกวุฒิสภา ได้นำเอาข้อมูล ความคิด และทรรสนะวิพากษ์ ภายใต้กระทู้และข้อเสนอต่างๆ มาเป็นการได้พัฒนาการเรียนรู้สาธารณะ มีสื่อช่วยสื่อสารถ่ายทอด ทำให้ประชาชนได้ข้อมูล และตัดสินใจมีส่วนร่วมในการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเมื่อถึงวาระการออกเสียงของตัวแทนของเขา รวมทั้งได้สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย ให้สังคมและประเทศชาติแข็งแรงมากยิ่งๆขึ้น ก็กลับเป็นการค่อยๆทำลายบทบาทที่ไม่สามารถจะทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยกลไกอื่น แล้วก็ดันไปดึงเอากลไกอื่นนอกระบบเข้ามาจัดการ ก็น่าเป็นห่วงมากนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท