แต่งโดย ปัฐมาันันท์ แสงพลอยเจริญ
ในวาระสุดท้าย... ฉันกระซิบที่ข้างหูของเธออย่างแผ่วเบาว่า “อาม่า หนูกลับมาแล้วค่ะ” สายตาของหญิงชราที่ผ่านโลกมากว่าค่อนชีวิต กระพริบตาถี่ขึ้น และพยายามมองหน้าหลานรักให้เต็มตาเป็นครั้งสุดท้าย ดังจะบอกว่า
“อยากให้หลานอยู่กับ อาม่าตลอดไป ไม่ว่ากาลนั้น หลานจะ เป็น... หรือว่า ตาย...”
แดดอุ่นยามบ่ายทอแสงจับพื้นห้อง อาบไล้ทุกสิ่งให้เป็นสีทอง เปรียบเหมือนความรักของอาม่าที่ยังคงอาบไล้สถานที่แห่งนี้อยู่ นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้ “บ้าน” ที่ความรัก และความทรงจำของยังไม่จางไปเหมือนควันหาย
ย้อนไปเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว แม่นำฉันมาฝากไว้ให้อาม่าเลี้ยงตั้งแต่ยังไม่เริ่มคลาน เมื่อคราวนั้นบ้านเก่าของอาม่าตั้งอยู่บนกลางเกาะของแม่น้ำสองสี จุดบรรจบของสายน้ำ “ปิง” และ “น่าน” ที่ไหลมารวมกัน จนกลายเป็นต้นกำเนิดของ “แม่น้ำเจ้าพระยา มารดาแห่งสยามประเทศ”
ฉันเติบโตที่นี่ พร้อมกับความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับ “อาม่า” (คำนี้แปลว่า ย่า มาจากภาษาจีน) ผู้เป็นแม่คนที่สอง ที่คอยดูแล ป้อนข้าว ป้อนน้ำ จนฉันเติบโต ที่บ้านหลังนี้อาม่าได้เลี้ยงฉันอยู่หลายปี จนฉันเริ่มหัดเดิน และย้ายไปอยู่กับแม่
หลังจากฉันย้ายไปจากบ้านบนเกาะไม่นานนัก อาม่าก็ย้ายจาก “บ้านเกาะ” ไปอยู่ “บ้านบก” ฉันในฐานะทั้งหลาน และเหมือนลูกคนเล็กของท่านก็ติดสอยห้อยตามไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ที่บ้านหลังนี้อาม่าไม่ต้องทำงานหนักเหมือนบ้านหลังเดิมอีกแล้ว แต่ด้วยความเป็นแม่ที่ดี ท่านก็ยังคงทำกับข้าวมาเลี้ยงลูก ๆ หลาน ๆ คอยดูแลทำความสะอาดบ้านอยู่ทุกวัน ที่สำคัญ ท่านปลูกฝังความเป็นชาวพุทธที่ดีให้กับฉันอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยการทำดีให้หลานดู ดังนั้นทุก ๆ เช้า อาม่าจะหุงอาหารมาใส่บาตรพระหน้าบ้าน เป็นกิจวัตรที่ท่านกระทำมาตลอดชีวิต ตราบจนวาระสุดท้าย
ฉันลูบไล้ตามลายไม้ของพื้นเตียงเก่า ๆ เพื่อซึมซับถึงบรรยากาศในวัยเด็ก ที่ฉันกับอาม่าทำกิจกรรมต่างๆ ณ ที่แห่งนี้ร่วมกัน อาม่าจะฟังอาโกว (ภาษาจีน แปลว่า อา) สอนฉันทำการบ้าน หรือไม่ก็นอนฟังฉันอ่านหนังสือ ให้หลานถอนผมหงอก นวดแข้งนวดขา ปรับทุกข์สุขกัน อาม่าจะเล่าเรื่องสงครามโลกสมัยที่ท่านยังสาว ฉันก็จะนั่งฟังท่านตาแป๋ว สนใจกับเรื่องราวของคนในอดีตที่หาฟังจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว บางครั้งฉันง่วง ๆ เหงา ๆ ก็จะนอนหนุนตัก เพื่อให้ท่านลูบหัวฉันอย่างช้า ๆ เป็นการส่งถ่ายความรักจากท่านมาสู่ฉันอย่างอ่อนโยน
เราอยู่ร่วมกันที่บ้านหลังนี้นานพอควร นานมากพอที่ท่านเริ่มเข้าสู่วัยชรา หลังจากนั้นท่านสุขภาพไม่ค่อยดี ต้องเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง จนท่านไปพักอยู่โรงพยาบาลยาวนานจนไม่กลับบ้านอีกเลย
ก่อนหน้าที่ท่านจะเข้าโรงพยาบาล ฉันจำได้ว่า ฉันกับอาม่า เราเอาตุ๊กตาแมวมาเล่นกัดกันอย่างเมามัน อาม่าออกแรงเยอะเกินไป คอของตุ๊กตาแมวสีส้มจึงหลุดขาดสะบั้น หล่นมาให้เห็นกับตา เราทั้งสองก็ยังคงหัวเราะให้กัน นึกขันกับเรี่ยวแรงของอาม่าที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน แต่ใครเลยจะรู้ว่านั่นเป็นลางร้าย ภายหลังแม้เราจะพยายามนำตุ๊กตาตัวนั้นมาเย็บคอต่อกันก็ไม่สำเร็จ เพราะคอของตุ๊กตาแมวก็ยังเลื่อนไปมาได้ ไม่เหมือนกับตุ๊กตาแมวตัวเดิมอีกแล้ว มันช่างเหมือนกับความตายที่มาเยือนใครแล้ว คนนั้นก็ไม่มีสิทธิ์จะย้อนกลับมาเหมือนเดิมได้อีกเลย
ล่วงเข้ากลางเดือนนับจากนั้น อาการของอาม่าเริ่มหนักขึ้น พ่อและอาจึงพาท่านส่งโรงพยาบาลในกลางดึกคืนหนึ่ง และจากวันนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ไม่ได้กลับมายังบ้านที่ท่านรักและหวงแหนหลังนี้อีกเลย
เมื่อไม่มีอาม่าที่บ้าน แม่ก็พาฉันไปอยู่ที่บ้านอีกหลัง พร้อม ๆ กับที่ฉันต้องเวียนเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อไปดูแลอาม่าสลับกับญาติ ๆ นานร่วมหลายเดือน
ระหว่างนั้นอาการของอาม่าค่อย ๆ ฟื้นตัวทีละน้อย ทุกคนใจชื้นคิดว่าอีกไม่นาน ขวัญของบ้านคงจะคืนเรือน แต่ชะตาของอาม่าก็เหมือนกับชะตาชีวิตของตุ๊กตาแมวตัวนั้น เพาะอาม่าเริ่มเพ้อ จดจำใครไม่ได้ และไอหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เย็นวันหนึ่งระหว่างที่ฉันกลับมาจากเยี่ยมคุณยาย พ่อก็รีบโทรมาหาแม่ เพื่อบอกว่าอาม่าตามหาตัวฉันเพียงอย่างเดียว ไม่พูดถึงใครเลย พูดถึงแต่ชื่อหลานคนนี้ พ่อต้องเร่งให้แม่พาฉันกลับมา เพราะนี่อาจเป็นไม่กี่ชั่วโมงสุดท้ายที่เราจะได้อยู่กับท่าน
ฉันกับแม่นิ่งตะลึง ในความรู้สึกของเด็กแปดขวบ มันช่างปวดร้าว เพราะไม่เคยนึกฝันว่าวันที่แม่คนที่สองต้องลาจากได้มาถึงแล้ว ฉันกับแม่รีบรุดไปโรงพยาบาล ด้วยความหวังในใจว่า วันแห่งการจากลายังคงไม่ใช่วันนี้
ข้างเตียงโรงพยาบาล...
ญาติทุกฝ่ายมากันพร้อมหน้า อาม่ายังหายใจอย่างรวยริน อาโกวมากระซิบข้างหูของท่านว่า “ถ้าแม่รับรู้ว่าใครมาให้กระพริบตาหนึ่งครั้ง” อาโกวจึงรายงานว่าคนนั้นคนนี้มาแล้ว ท่านก็กระพริบตาอย่างละหนึ่งครั้งเหมือนกับรับรู้ สุดท้ายอาโกวรายงานว่าฉันมาถึงแล้ว ฉันสังเกตว่าท่านกระพริบตาถี่และนานมากขึ้น
ฉันเดินไปจับมือผอม ๆ ขึ้นมาแนบตัวอย่างเชื่องช้า โน้มตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของท่าน “อาม่า หลานกลับมาแล้ว”
ท่านกระพริบตาไม่ยอมหยุด หยาดน้ำใส ๆ ไหลท้นขอบตา ท่านพยายามพูดชื่อของฉันหลายครั้ง แต่คำพูดนั้น...กลับเลือนหายไปในอากาศ
“หลานกลับมาหาอาม่าแล้วจริง ๆ ไม่ต้องกลัว หลานรักอยู่ที่นี่แล้ว” ฉันประคองมือของท่านไว้อย่างทะนุถนอม เหมือนกับร่างท่านจะหลุดลอยหายไป
ฉันนึกถึงคำของคนเฒ่าคนแก่ที่เล่าสืบทอดกันมาว่า ถ้าใครใกล้ตาย เราต้องทำให้เขาคลายห่วงกังวล อย่าร้องไห้ และต้องทำให้เขานึกถึงพระ จึงจะได้ไปดี ฉันเริ่มบอกกับท่านว่า
“อาม่าไม่ต้องห่วงหนูนะ ทำใจให้สบาย”
ฉันเริ่มเล่าเรื่องบุญที่ท่านกระทำมาตลอดชีวิต พร้อมกับพูดคำว่า “พุทโธ ๆ ๆ” กระซิบที่ข้างหูท่านอยู่หลาย ๆ ครั้ง ระหว่างนั้นก็ทำใจแข็งจึงไม่มีหยาดน้ำตาร่วงหล่นมาแม้สักหยด
ไม่นานนัก อาม่าอาเจียนเป็นเลือดสด ๆ เลือดสีดำข้นไหลรินจากปากท่านตลอดเวลา หมู่ญาติทำใจไม่ได้จึงเบือนหน้าหนีจากสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า และร้องไห้ดังฟ้าจะถล่มลงมาในตอนนี้ ยิ่งทุกคนร้องไห้ ท่านยิ่งอาการหนัก
เลือดสด ๆ ไหลออกมาจากปากท่านไม่หยุด ฉันว่าตอนนี้อาม่ากำลังก้าวเข้าสู่สมรภูมิแห่งความตาย มีแต่ท่านคนเดียวเท่านั้น ที่รู้ ที่เห็น ไม่มีใครติดตามไปกับท่านได้ ทุกคนรอบตัวท่านจึงมีหน้าที่สร้างบรรยากาศที่ดี สร้างความสบายใจให้กับท่าน การร้องไห้กันระเบ็งเซ็งแซ่ นอกจากจะเป็นการส่งผ่านความทุกข์ให้ท่านแล้ว ยังทำให้ท่านเป็นห่วงกังวลมากยิ่งขึ้น สุดท้ายคนใกล้ตายก็ยิ่งเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ดังนั้นเลือดจึงยังคงไหลออกจากปากของท่านอย่างไม่หยุด จนกระทั่งวาระสุดท้าย ท่านจึงแน่นิ่งไป
หน้าโลงศพ อากง (ภาษาจีน แปลว่า ปู่) ยังเหม่อมองรูปของอาม่าอย่างซึม ๆ แม้ชีวิตของคู่ทุกข์ยากจะจบลงไปแล้ว แต่ชีวิตคู่อันยาวนานกว่า 50 ปียังคงดำรงอยู่มิเลือนหาย ฉันร่วมงานศพของอาม่าตั้งแต่เช้าจนกระทั่งค่ำมืด ล่วงเข้าคืนที่สาม ระหว่างเข้าบ้านฉันรู้สึกว่าแถวบ้านมีเสียงหมาหอนตามมาแปลก ๆ เสียงของมันช่างเยือกเย็น และยาวนานผิดปกติ ความรู้สึกอึดอัดแบบนี้เริ่มเกิดขึ้นอีกแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนกับมีใครมายืนอยู่ข้าง ๆ ตัวเรา ฉันจึงพูดกับตัวเองและเผื่อไปถึงคนที่ตายไปแล้วว่า “ถึงแม้อาม่าจะมาหาจริง ๆ ก็ดีนะ เพราะเราจะได้คุยกันอีกครั้งจริงไหมคะ หลานคิดถึงอาม่าค่ะ” พูดเสร็จก็เข้าไปบ้านของอาม่าเพื่ออาบน้ำนอน
ได้ผล...คืนนั้นฉันฝันว่า อาม่าแต่งชุดที่ท่านสวมก่อนเข้าโลง มายืนเรียกฉันที่ประตูหน้าบ้าน ฉันดีใจมากและถลาตัวเข้าไปกอดท่าน ฉับพลัน... ทุกอย่างในบ้านก็เลือนหาย กลายเป็นบ้านไม้เก่า ๆ อาม่าฉันพาเดินไปที่บ้านหลังนั้น พร้อมกับแนะนำให้รู้จักว่า นี่คือบ้านหลังใหม่ที่อาม่าพักอยู่ในโลกหลังความตาย
ในตัวบ้านมีของไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นเครื่องเรือนไม้เก่า ๆ เช่น ตู้กับข้าวที่โย้เย้ เตียงนอนที่อยู่บนพื้นไม้ผุ ๆ ดูแล้วแทบไม่เชื่อกับสายตาว่า “นี่หรือคือบ้านของอาม่าในโลกที่สอง” ช่างผิดกับบ้านในโลกมนุษย์ราวฟ้ากับดิน อาม่าพาฉันมานั่งหน้าตู้กับข้าวพร้อมกับยื่นจานสีขาวใบนึงมาให้
“เอ้า กินซะ อร่อยนะ”
อาม่าถือจานขนมถ้วยฟูสีชมพู ดูแล้วแข็ง ๆ ชืด ๆ ไม่น่ากินสักนิด แต่ด้วยความเกรงใจ ฉันจึงหยิบมันขึ้นมาพิจารณาช้า ๆ กำลังจะกินอยู่แล้ว ท่านจึงพูดขึ้นว่า
“กินแล้ว ก็จะได้มาอยู่กับอาม่าที่นี่นะ อาม่าเหงา”
ฉันหยุดมือเพียงเท่านั้น ในใจคิดว่า “ไม่ดีกว่า”
อาม่าหน้าเสีย จึงหันมาถามฉันว่า
“ทำไมล่ะ ขนมมันไม่น่ากินเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ แต่หนูยังอิ่มอยู่”
อาม่ายังไม่ถอย ยังคงคะยั้นคะยอให้ฉันกินอยู่หลายครั้ง ท่านจ้องหน้าแบบเอาเป็นเอาตาย บังคับให้ฉันกินให้ได้ ดูแล้วน่ากลัวมาก แล้วท่านก็เปลี่ยนมาเป็นยิ้มหวานพูดกับฉันใหม่ว่า
“เอาล่ะไม่เป็นไร แต่ต้องอยู่กับอาม่านะ”
ฉันเห็นท่าไม่ดี จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“อาม่า บ้านหลังนั้นที่ขาว ๆ สวย ๆ คือบ้านของใครกันล่ะ”
“บ้านหลังนั้นน่ะนะ อู้ย เขาเป็นคนรวยมากทีเดียว อาม่าอยากอยู่บ้านแบบนั้นบ้างน่ะ”
พูดยังไม่ทันจบ ฉันรีบลุกเดินออกไปที่ถนนหน้าบ้านหลังงามนั้นทันที แสงสว่างของบ้านสีขาวหลังใหญ่ สะท้อนกับพื้นถนนทำให้ฉันตื่นขึ้นมา
ฉันเล่าเรื่องราวความฝันให้แม่ฟัง แม่จึงบอกว่า
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ ถ้าขืนตะกละกินขนม ได้ไปอยู่กับอาม่าที่โน่นแน่ๆ”
ฉันเล่าเรื่องนี้ให้หลายต่อหลายคนฟัง ว่าความฝันของฉันมันเป็นจริงไหม ถ้าจริงอาม่าก็คงน่าสงสารมาก ต้องการเสบียงในโลกหน้าด่วน
ทุกคนในครอบครัวตัดสินใจร่วมบุญหล่อองค์พระเงินขนาดใหญ่ให้กับย่า ระหว่างที่หล่อพระฉันได้นั่งสมาธิเพื่อตั้งจิตอธิษฐานว่า “ขอให้บุญครั้งนี้ มีส่วนให้อาม่าได้บ้านสภาพที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องมาลำบากอีก”
น่าแปลก เสียงในใจของฉันมันก้องกังวานไปไกลจนเต็มศาลา ไกลออกไปจนสุดขอบฟ้า ความรู้สึกตอนนั้นขนลุกไปทั้งตัว ตัวใหญ่ ๆ เหมือนกับจะลอยได้
หลังจากกลับมาบ้านอีกเกือบเดือน ฉันเดินทางเข้าสู่โลกแห่งความฝันอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉันมาอยู่ในโลกที่แปลกออกไป
ฉันยืนแหงนคอตั้งบ่า มองตึกที่สูงลิบลิ่วเบื้องหน้า ตึกนี้มีพนักงานยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้ามากมาย คนเหล่านั้นถามฉันว่ามาหาใคร พอถามว่ามาหาอาม่าเท่านั้น ทุกคนหลีกทางให้
อาม่าทิ้งบ้านที่ซ่อมซ่อ กลายเป็นเจ้าของตึกหลังนี้ที่ใหญ่กว่าบ้านข้างเคียงที่เคยอยากได้ คราวนี้อาม่าดูสาว และสวยกว่าที่เคย ผ้าไหมแพรพรรณที่สวมใส่ ดูประณีตและสวยสะดุดตา อาม่าพาฉันชมที่ตึกหลังนี้ บอกว่าท่านเป็นคนดูแลที่นี่ มีลูกน้องนับร้อย พร้อมกับเสื้อผ้าของชุดการแสดงนับหมื่นชุด
“โอ้โห แปลกจังค่ะ แค่บุญที่หนูหล่อพระฝากไปให้ได้ผลมากขนาดนี้เลยเหรอ”
อาม่าจึงพาฉันไปกอดพร้อมกับตบหลังเบา ๆ พูดว่า
“ขอบใจมากจ๊ะ”
ขากลับอาม่าพาฉันกลับมาส่งที่ชายทะเล ผืนทะเลสีฟ้าครามตัดกับแสงอาทิตย์ยามบ่ายเป็นประกายระยิบระยับ ฉันจากลาอาม่ามาสู่แสงอาทิตย์อันอบอุ่น เป็นการจากลาตลอดกาลที่จากกันด้วยดี
ฉันเล่าเรื่องให้ญาติ ๆ ฟังอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น ป้าในบ้านจึงเล่าเสริมว่าดีแล้วที่เป็นแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาตลอดสองเดือนนั้น ป้าจะเห็นอาม่าตัวเขียว ๆ ยืนจ้องเข้ามาในบ้านแล้วเรียกว่าชื่อฉันอยู่ทุกค่ำคืน แต่หลังจากวันนั้น ป้าในบ้านก็ไม่เห็นอาม่าอีก พร้อมกับความโล่งใจของทุกคนในบ้านที่เชื่อว่าอาม่าไปดีแล้วจริง ๆ
บัดนี้ ความหวังครั้งสุดท้ายของอาม่าที่ต้องการให้ฉันไปอยู่ด้วยนั้น ได้เปลี่ยนไปเป็นความสุขในโลกใหม่ที่ท่านได้รับ แม้สิ่งที่ฉันได้พบเจอมันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ฉันก็ยังเชื่อมั่นว่าหากความฝันนั้นเป็นความจริง ฉันก็ยังอิ่มเอมใจที่ว่า อาม่าได้รับผลบุญทำให้ชีวิตของท่านในโลกหน้าดีขึ้นอย่างเป็นอัศจรรย์
ดังนั้นแววตาที่ปิดฉากลงในวันสุดท้าย และความปรารถนาที่ท่านต้องการ คือ “ชีวิตที่ดีขึ้นในโลกหน้า” หาใช่ “ชีวิตของฉัน” ไม่
...เป็นบันทึกที่เขียนได้ดีมากนะคะ...ขอชื่นชมค่ะ
“อยากให้หลาน อยู่กับ อาม่า ตลอดไป ... ไม่ว่ากาลนั้น ... หลานจะ "เป็น... หรือว่า ตาย" .... ชอบมากๆ นะคะ .... บอกอะไรได้มากมาย ..... ค่ะ
ขอบคุณเรื่องดีดีนี้ ค่ะ