ไปปายครั้งที่ 5


มีบางหมู่บ้านในประเทศไทยเหมือนถูกสาป

 

ป้ายเหลืองหัวลูกศรรูปทรงงูเลื้อยนับหลายร้อยป้าย นั่นคือสัญลักษณ์ของเส้นทางบนภูเขาก่อนเข้าสู่ตัวอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลิ่นอาเจียนในถุงพลาสติกยังตรลบอบอวล ร่างกายรู้สึกเปรี้ยวแสบในลำคอกับกระเพาะ ทุกอย่างเริ่มจะดีขึ้นเมื่อรถวิ่งลงจากภูเขาสู่ทางราบ ด้านซ้ายมือเปลี่ยนภาพเป็นนาขั้นบันได ไร่กระเทียม ด้านขวามือมองไปลิบๆ คือที่ตั้งของชุมชนในแอ่งกระทะ

ตรงนั้นหรือสวรรค์บนดิน คน “กรุงเทพฯ” เขาตื่นตาประทับใจกันนัก

ผมเดินทางกลับมา “ปาย” เป็นครั้งที่ 5 และรู้สึกได้ว่าตัวเมืองปายเปลี่ยนไปมากเหมือนกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ คนที่เข้ามาลงทุนก็ไม่ใช่คนที่นี่ บ้างเป็นคนกรุงเทพฯ บ้างเป็นคนกรุงลอนดอน กรุงแคนเบอร่า กรุงเบอลิน กรุงไทเป อาศัยสาวชนเผ่าลีซอบ้านน้ำฮูที่มีสัญชาติไทยเป็นใบเบิกทางเรื่องการลงทุนข้ามชาติ ตอบแทนด้วยบ้านทรงฝรั่งบนภูเขา ซึ่งเดี๋ยวนี้ใครในหมู่บ้านลีซอไม่มีบ้านแบบนั้นนับว่าเชย โรค “ผัวฝรั่ง” จึงระบาดกว่า 30 ครัวเรือน ชนิดต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์ ส่วนเรื่องสมรักคืออุดมคติในอากาศ มีจริงบ้างก็อยู่อีกฝั่งน้ำสายเล็กๆ ที่คั่นกลางเป็นอาณาเขตระหว่าง 2 ชนเผ่า

มีบางหมู่บ้านในประเทศไทยเหมือนถูกสาป

ไกลออกไปจากตัวอำเภอปาย ในเส้นทางของน้ำตกหมอแปง ระหว่างทางขึ้นน้ำตก มีหมู่บ้านชนเผ่าตั้งอยู่ติดกัน 2 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งคือหมู่บ้านลีซอ อีกหมู่บ้านหนึ่งคือหมู่บ้านสันติชล เป็นศูนย์รวมจีนยูนานอพยพ(หรืออย่างที่รัฐไทยเรียกว่า “จีนฮ่อ”) เผ่าพันธุ์แห่งความอยู่รอด ที่พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อสิทธิพลเมืองของไทย แม้เป้าหมายด้านหนึ่งจะเป็นเพื่อการใช้สัญชาติเป็นใบเบิกทางสู่ประเทศที่สาม ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน หรือจีนแผ่นดินใหญ่

ความเป็นมาของหมู่บ้านสันติชลในอดีตนั้น กำเนิดมาจากเชื้อไฟแห่งการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในจีน(พ.ศ.2492)ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ของประธานเหมาเจ๋อตุง กับพรรคก๊กมินตั๋งซึ่งมีจอมพลเจียงไคเช็คเป็นหัวหน้า ผลจากการปะทะกำลัง ปรากฏว่ามังกรแดงเป็นฝ่ายชนะ ทำให้พรรคก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยไปตั้งถิ่นฐานใหม่ยังหมู่เกาะฟอร์โมซา หรือที่เรียกกันว่า “เกาะไต้หวัน” ในปัจจุบัน

ในการล่าถอยครั้งนั้น กองพล 93 (ทหารจีนคณะชาติ) ซึ่งทำการรบอยู่แถบเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีน ไม่สามารถติดตามกำลังส่วนใหญ่ไปไต้หวันได้ทัน ทำให้ต้องยันทัพกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ และถอยร่นจนหลังพิงพรมแดนตอนเหนือของพม่า ก่อนจะทะลักข้ามพรมแดนเข้าไปแบบหนีตาย

เหมือนหนีหอกปะดาบ รัฐบาลทหารพม่าถือว่าการทะลักข้ามแผ่นดินเป็นการรุกล้ำอธิปไตย จึงใช้กำลังทหารเข้าผลักดันขับไล่ ในสถานการณ์เวลานั้น ทหารจีนคณะชาติมีทางเลือกเดียวคือต้องสู้กับกองกำลังทหารพม่า ก่อนจะทานกำลังไว้ไม่ไหว ทัพถูกตีแตกต้องหนีกระเซอะกระเซิงไปแบบตัวใครตัวมัน วิธีการเอาตัวรอดคือการเข้าไปอยู่ปะปนกับชนเผ่าต่างๆ ในพม่า บางพวกไปรับจ้างขนฝิ่นให้พวกไทยใหญ่ในเมืองต่างๆ บางพวกไปสมัครเป็นทหารของกะเหรี่ยงกอทูเล

แม้หลังจากการสลายตัวของทหารจีนคณะชาติ จะยังเกิดการรวมตัวและสู้รบชนิดผลัดกันแพ้-ชนะกับกองกำลังทหารพม่าอีกหลายครั้ง จนที่สุดรัฐบาลทหารพม่าต้องพึ่งมติของสหประชาชาติ(พ.ศ.2496) สั่งให้ทุกประเทศงดให้ความช่วยเหลือทหารจีนคณะชาติ พร้อมทั้งต้องปลดอาวุธ ก่อนจะผลักดันพวกเขาส่วนหนึ่งจำนวน 12,777 คน ไปยังเกาะไต้หวัน โดยมีเครื่องบินไปรับที่จังหวัดเชียงใหม่ของไทย

กลับไปที่กลุ่มทหารจีนคณะชาติอีกจำนวน ซึ่งหลบหนีปะปนอยู่กับชนเผ่าต่างๆ และไม่ได้รวมตัวเพื่อสู้รบกับกองกำลังทหารพม่า หรือกลุ่มติดอาวุธอื่นใดอีก พวกเขามีชะตากรรมที่แขวนอยู่กับโชคและมัจจุราชโดยแท้

ทหารจีนคณะชาติผู้หนึ่งระเหเร่ร่อน แบกร่างอับปางด้วยโรคมาลาเรียเข้าสู่หมู่บ้านชาวเขาเล็กๆ ฝั่งพรมแดนไทย ได้ผู้ใหญ่บ้านชาวลีซอเมตตาช่วยเหลือฉุดจากพรมแดนวิญญาณขึ้นมาได้ ด้วยบุญคุณชีวิต เขาจึงอยู่ช่วยงานผู้ใหญ่ทุกอย่าง ขยันขันแข็งยิ่งกว่าควายในไร่ ผู้ใหญ่ตอบแทนแรงงานของเขาด้วยลูกสาว สาวลีซอที่ว่างามกว่าทุกชนเผ่า กระนั้นต่อมานับ 10 ปี เขาไม่เคยฝึกพูดภาษาอื่นนอกจากภาษาจีน มีแต่หญิงงามแห่งเผ่าลีซอผู้นั้น ที่ต้องปรับตัวเองทุกวันหน้ากระจก

บ้านน้ำฮูเดิมเป็นป่ารกทึบ แต่ดีตามฮวงจุ้ยคือมีภูเขา มีน้ำ คล้ายเหมาะจะเป็นที่อยู่ของมังกรพลัดถิ่น หลังสำรวจพื้นที่ได้ไม่นาน อดีตทหารจีนคณะชาติคนนั้นตัดสินใจนำเมียลีซอและลูกๆ ของเขาลงหลักปักฐานยังพื้นที่แห่งใหม่ แผ้วถางเพาะปลูกพืชล้มลุก ซึ่งเวลานั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าฝิ่น ต่อมาจึงเริ่มหาพันธุ์ลิ้นจี่ไปปลูกเป็นพืชยืนต้น และเมื่อหลายอย่างไปได้ดี เขาจึงเริ่มส่งข่าวถึงสมัครพรรคพวก การรวมตัวของอดีตทหารจีนคณะชาติจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง

ไม่ใช่เพื่อเตรียมการสู้รบ แต่ครั้งนี้เพื่อสู้ชีวิต

“เราต้องช่วยกันสร้างศาลเจ้าพ่อขึ้นที่นี่ ต้องช่วยกันสร้างโรงเรียนจีนขึ้นมา เส้นทางอพยพสิ้นสุดลงแล้ว”

ภายหลังที่ข่าวนี้ทราบไปถึงกลุ่มทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างอยู่ในพม่า พวกเขาหลายคนที่สามารถฝ่าฟันเข้าถึงบ้านน้ำฮู ก็ได้นำเอาธุรกิจค้าฝิ่นและหยกเข้ามาด้วย

การเอาตัวรอด บางทีเป็นวิถีที่เสี่ยงจะบกพร่องจริยธรรมสูงมาก แต่ไม่มีใครกล้าสอนนักสู้ลูกมังกรให้คำนึงถึงความตายของคนอื่นได้ พวกเขามีลมหายใจที่คิดว่าชีวิตคือกำไร-ขาดทุน เรื่องอื่นๆ กระทั่งความตายของตัวเองเป็นลิขิตฟ้า

อยู่เมืองไทย ไม่เฉพาะว่าจีนฮ่อหนุ่มๆ จะค้าขายฝิ่นถ่ายเดียว พวกเขาเองก็ติดมันงอมแงมไม่แพ้ผู้ซื้อ

ฝิ่นทำให้สัมผัสกับความฝันได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด เสพมันเข้าไปแล้วพวกเขาไม่กลัวดาบ-ปืนใดๆ ดังนั้นเมื่อต่อมามีช่องทางรัฐไทยรับอาสาสมัครทหารช่วยรบสู้กับคอมมิวนิสต์ โดยสัญญาว่าจะให้สัญชาติไทย พวกขี้ยาเดนตายจึงอาสาเป็นแนวหน้า ขอเพียงเชื้อมังกรได้มีอนาคต เติบโตขึ้นอย่างไม่ไร้สัญชาติ และสามารถกลับไปกราบวิญญาณบรรพบุรุษ

สงครามเสร็จสิ้นรัฐไทยก็ให้สัญชาติตามสัญญาจริง แต่ให้เฉพาะพวกพิการแขน-ขาขาดจากการสู้รบ เป็นเครื่องยืนยันว่าพวกนี้ได้สัญชาติแล้วก็ไม่มีทางหนีไปไหนได้...

ผมว่านั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ในเชิงคลางแคลงใจระหว่างจีนฮ่อกับนโยบายของรัฐไทย ที่เข้าไปกำหนดกฎเกณฑ์พวกเขา เมื่อรวมตัวกันเป็นหมู่บ้าน(อาจจะตกสำรวจแผนพัฒนาจากรัฐไทย โดยขีดวงเป็นพื้นที่สีแดงลงไปแทน แต่ไม่ตกสำรวจความช่วยเหลือจากรัฐบาลไต้หวัน ในฐานะอดีตลูกหลานทหารจีนคณะชาติพลัดถิ่น)ความช่วยเหลือจากรัฐบาลไต้หวันก็สามารถหลั่งไหลเข้าไปได้สะดวกขึ้น และมันทำให้การปราบปรามยาเสพติดกลายเป็นเรื่องซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นั่นเอง คือมนต์เสน่ห์แห่งปาย นอกเหนือทิวทัศน์ที่งดงาม ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติแห่งหุบเขา น้ำตก และโป่งเดือด แล้ว ยาเสพติดคือแม่เหล็กขั้วลบที่ดึงดูดให้พวกฝรั่งขี้ยามองปายดุจโอเอซิสแห่งกัญชา ดุจสวรรค์วิมานของเอเดน

แม้กระทั่งทุกวันนี้ไม่เสื่อมคลาย

ผู้นำหมู่บ้านสันติชล ผู้ซึ่งเป็นตำนานแห่งสายเลือดจีน-ลีซอ บอกกับผมว่าตอนนี้โลกของหมู่บ้านเหมือนหมุนกลับด้าน รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่พยายามยื่นเสนอความช่วยเหลือพวกเขาแทนรัฐบาลไต้หวัน ทุกวันนี้ประเทศจีนเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่ “ยักษ์หลับ” อย่างที่นโปเลียนเคยกล่าวถึงอีกต่อไปแล้ว และเมื่อจีนต้องการรวมไต้หวัน พวกเขาก็ได้แสดงศักยภาพที่เหนือกว่าทุกวิถีทางให้ปรากฏ โดยทำลืมสิ้นซึ่งเหตุแห่งความสัมพันธ์ระหว่างลูกหลานทหารจีนคณะชาติกับพรรคก๊กมินตั๋งของไต้หวัน พวกเขาเชื่อว่าเงินแม้ซื้ออดีตไม่ได้ แต่ซื้อปัจจุบันและอนาคตได้

ผมไม่แปลกใจที่ได้ทราบว่าคนในหมู่บ้านโดยส่วนใหญ่ขณะนี้ ให้ความตื่นเต้นกับข้อเสนอจากจีน

มาเมืองปายครั้งที่ 5 อะไรสักอย่างทำให้ผมคิดถึงสุภาษิตที่ว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ผมมองสิ่งที่เกิดขึ้นที่ปายแล้วเห็นไม่ต่างอะไรจากเมืองแห่งอนาคตที่ถูกซื้อ ทุกสิ่งอย่างในปายขณะนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นจากคนที่อื่น คนปายที่แท้ก็มีแต่หมอนวด กับพนักงานทำความสะอาดรีสอร์ต ผมนึกถึงเรื่องสั้นชื่อ “โลกใบเล็กของซัลมาน” กับนักประพันธ์ซึ่งตายไปแล้ว

ผมมาปายคราวนี้ นอกจากขึ้นไปสำรวจหมู่บ้านสันติชล ผมยังพกสินค้ามาขายในงาน “ถนนเมืองปาย” ที่จัดขึ้นทุกวันเสาร์ โดยโต้โผเป็นคนกรุงเทพฯ ผู้ไปเห็นแบบอย่างมาจากถนนคนเดินวันอาทิตย์ของเมืองเชียงใหม่

ภาพไร่กระเทียม นาขั้นบันได ทิวเขาสลับซับซ้อน ทุกอย่างไม่มีความหมายเท่าไรนัก เมื่อผมกังวลอยู่ว่าของที่ขนมาในคราวนี้จะขายได้หรือขายไม่ได้

นี่ผมลบภาพปายในความฝันออกไปเมื่อไรแล้ว?

หมายเลขบันทึก: 54532เขียนเมื่อ 14 ตุลาคม 2006 00:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

เงียบ...

คนท้องถิ่นที่เฝ้าเปลี่ยนแปลงของเมืองอันเป็นถิ่นเกิด

ขอบคุณครับ บันทึกที่ให้มองเห็น 

ขอบคุณครับ!!! 

อีกมุมมองหนึ่งของเมืองปาย

 

คุณจตุพร

ผมเพิ่งมีโอกาสไปงานกาดหลู่เมืองปายมาเมื่อไม่นานนี้

น่าตื่นเต้นที่ยังมีประเพณี ซึ่งยิ่งใหญ่ขนาดนั้น

 

คุณกัลปังหา

ครับ ทุกที่ย่อมมีหลายมุมเสมอ ขอบคุณที่แวะมาอ่านครับ

อ้าว...หากรู้จักกันคงได้ทักทายกันในวันกาดหลู่ มาปายอีกเมื่อไหร่แจ้งผมด้วยนะครับ จะได้แลกเปลี่ยนกัน

 

 

โดนบังคับมาอ่านค่ะ

อิ อิ

ล้อเล่น จ้า...

ว่าง ๆ มาแอ่วกาดบ้านดู่ เจียงฮาย ก็ได้หนาเจ้า

กาดพานก็ม่วนเน้อ (บ้านอยู่พานอ่ะ)

 ....

ขอบพระคุณเจ้าของบล๊อค สำหรับความรู้และบทความดี ๆ เหล่านี้นะคะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท