581. จดหมายถึงท่านพี่มนุษย์หมาป่า


สวัสดีครับท่านพี่มนุษย์หมาป่า

สบายดีนะครับพี่ ส่วนผมสบายดี เร็วๆนี้ได้ดูหนังของท่านพี่เรื่อง The Woverline แล้วดีมากๆ (ตอนแรกไม่อยากดู แต่มีคนบอกว่าดีเลยไปดู) ดูแล้วก็ได้รู้จักตัวตนของท่านพี่มากขึ้น ต้องขอชมครับท่านพี่ว่า ท่านพี่เป็นฮีโร่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ ผมว่าคนทั้งโลกต้องได้แง่คิดดีๆ จากการดูหนังของท่านพี่ครับ  

                                             

อ๊อลืมบอกพี่ไปผมเป็นนักวิชาการ ถ้าพี่จำได้.. ผมเองเป็นอาจารย์สอนด้าน Appreciative Inquiry (AI) ครับ คือเป็นศิลปะการถามเรื่องดีๆ เพื่อให้ได้เรื่องดีไปขยายผลให้มันดียิ่งขึ้น ผมมีเว็บครับพี่คือ www.aithailand.org จะเป็นเรื่องราวของ AI แบบลึกๆไปเลย. 

ผมเองนอกจากสนุกตื่นเต้นแล้ว ผมเองยังได้แง่คิดอยู่เรื่องหนึ่งครับ คือเรื่องแรงจูงใจ (Drive ไดร๊ฟ์) ที่นำมาสู่ความสำเร็จมาให้พี่อย่างโดดเด่นครับ Danial Pink นักคิดระดับโลกว่าไว้ดังนี้ครับพี่ จากการศึกษาคนที่เก่งระดับเทพ แถมมีชีวิตที่ดีนั้น มีพฤติกรรมหลักคือ

1.  Purpose (เพอร์โพส)  คือ การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย.. รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร...

2.  Masterly (มาสเตอร์ลี่) คือความรู้ความเชี่ยวชาญ ประมาณว่าถ้าเราค้นพบว่าเรารักเราชอบอะไร แล้วมันทำให้ชีวิตมีความหมาย เราจะพัฒนาตนเองจนมีความเชี่ยวชาญมากๆ สุดๆ ขึ้นมาเอง

3.  Autonomy (ออร์โตโนมี่)  อิสระภาพ.. ยิ่งถ้าเรามีอิสรภาพ ได้คิดเองทำเองโดยมีฐาน Purpose และ Masterly จะยิ่งทำให้เราพบกับความสำเร็จอย่างโดดเด่นขึ้นมา

จากการดูหนังของท่านพี่ ผมเห็นวิวัฒนาการของท่านพี่เองตามนี้เป๊ะ... ชนิดเป๊ะเวอร์เลยครับ.. 

หนังช่วงแรก ของพี่ ประมาณว่าพี่เองหมดอาลัยตายอยาก.. พี่เลยหนีไปอยู่ป่า.. แน่นอนมีเลือกจะใช้อิสระภาพโดยขาดจุดมุ่งหมาย นั่นคือไม่ได้แสดงความสามารถในการพิทักษ์โลกออกมาสักนิด.. เป็นหมาป่าที่เปิดวิทยุฟังข่าวไปวันๆ.. จนต่อมาพี่เจอเหตุการณ์ที่นำไปสู่การพบกับความอยุติธรรม  การรังแกการเอาเปรียบ.. ที่สุด “ต่อม” ความรักในความยุติธรรมของพี่ก็ถูกปลุกขึ้นมา.. แล้วพี่ก็เลยสามารถดึงเอาขีดความสามารถที่มีอยู่สุดๆ ออกมาต่อกรกับศัตรูได้.. ผ่านสิ่งที่เรียกว่าอิสรภาพที่จะคิดเองทำเองไม่มีใครมากำกับ.. ที่สุดพี่ก็กู้โลกได้อีกครั้ง.. 

                       

จะว่าไปก็น่าเห็นใจศัตรูพี่นะครับ คนนี้พี่เคยช่วยชีวิตไว้ แต่เนื่องจากศัตรูท่านนี้มี Purpose ในชีวิตที่ผิด.. และได้นำอิสรภาพด้านการเงิน ด้านความรู้ไปใช้ในทางทำลาย ที่สุดก็สูญเสียอิสรภาพไปในที่สุด..

สรุปแล้วได้แง่คิดมากจริงๆค รับท่านพี่..   

ในมุมมองของผมการค้น Purpose เป็นเรื่องสำคัญมากครับพี่ เป็นอะไรที่ยากพอควร ท่านที่สังเกตจากพี่  และดูจากคนอื่น รวมทั้งผมเอง มักเกิดขึ้นตอนที่เราเจออะไรที่ทำให้ได้ “ฉุกใจคิด” เจออะไรที่มันขัดกับความรู้สึกสุดๆ... ผมเองผมกลายเป็นคนที่สนใจ AI มากๆ รักค้นคว้าอยู่ตลอดเวลาก็ และได้เผยแพร่ความรู้นี้ฟรีๆ ออกสื่อต่างๆ อย่างสุดๆ ทั้งๆ ที่จะทำแบบเก็บเงินอย่างเดียวก็ได้.. 

ก็เพราะสมัยเรียนปริญญเอก.. มันลำบากมาก ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูกเรียนขณะกำลังค้นคว้าศาสตร์ต่างๆ ที่พอลงลึกไปเรื่อยๆ.. ปรากฏว่าเจอด่านเก็บตังค์.. งานวิจัยดีๆ พี่คิดกว่า 25 เหรียญ หนังสือบางเล่มเป็นพัน  แทบท้อ.. แต่พอมาเจอ AI ตอนค้นคว้า ปรากฏว่าในเว็บของคนคิด AI ท่านแจกให้ฟรี  เรียกว่ามีทุกอย่างที่คุณไม่มีวันได้จากศาสตร์อื่นๆ ซึ่งก็เห็นท่านสอนท่านทำบริษัทที่ปรึกษาไปด้วย แจกฟรีไปด้วย ท่านกลายเป็นกูรูของโลก มีชื่อเสียง มีคนเอางานท่านไปต่อยอดทั่วโลก กลายเป็นกระแสขึ้นมา อยากรวดเร็ว ผมเองเจอต้นแบบดีๆ และจบมาด้วยความใจกว้างของท่าน.. เลยเกิดจุดหมายดีๆในชีวิตคือ ต้องการเผยแพร่เรื่องดีๆ ให้คนไทยทราบครับ เลยสร้าง AI Thailand ขึ้นมาและก็พบกับความหมายของชีวิตจริงๆ  เพราะสนุกมากๆ มีคนถามผมว่าทำไม ไม่กลัวคนอื่นลอกไปหมดเหรอ ไม่กลัวครับ ดีครับจะได้ช่วยเผยแพร่เรื่องดีๆ  

แต่ที่ผมรู้สึกว่ามีความหมายจริงต่อชีวิตนี้คือ คือเราสอน MBA ครับ กลับมีโอกาสสอนให้คนในอาชีพแพทย์พยาบาล บางท่านเอาความรู้ AI ไปขยายผลเรื่องการลดโรคกลัวเข็ม แก้ปัญหาขี้ลืมให้ผู้ป่วย ทำเรื่องความเจ็บปวด ห้องคลอดก็มี.. สุดๆ ไหมครับ. รู้สึกว่าเรามีความหมาย มีความภาคภูมิใจสุดๆ..ที่ได้ช่วยสังคมในมิติที่เราเองก็คาดไม่ถึง 

พอมี Purpose คุณจะอยู่กับมันทุกวัน ฝึกผีมือ และไม่ว่าจะมีอิสรภาพหรือไม่ (กรอบ) .. คุณจะหาทางสร้างอิสรภาพ คือการแหกคอกได้เอง

และสำหรับท่านที่ยังหา Purpose ไม่เจอ มีหลายวิธีครับ วิธีหนึ่งคือไปดูงาน ไปดูความลำบาก เช่นพระพุทธเจ้า สมัยเป็นเจ้าชาย ท่านเดินไปในเมืองไปเจอคนเกิดแก่เจ็บตาย ท่านเลยค้นพบเป้าหมาย ความหมายใหม่ของชีวิต นำมาสู่การเลือกฝึกตนเอง จนมีอิสรภาพไม่ต้องมาเกิดในที่สุด

ส่วนท่านที่ลำบากจริงๆ ไม่รู้ทำไง หา Purpose ไม่เจอสักที ผมว่าบางทีต้องอาศัยเวลา ตัวหนึ่งก็คือลองทำอะไรที่ชอบๆ ที่คุณทำได้ดีควบคู่กันไป ผมมีเพื่อนรักคนหนึ่ง เรียนทันตจุฬา  เธอเองเรียนไม่ค่อยทันเพื่อนรู้สึกแย่ ถึงขั้นคิดจะลาออก แต่ความที่คิดว่าตัวเองชอบภาษาอังกฤษ เลยไปเรียนที่บริติช เคาซิล เธอเรียนได้ดี มีความสุข เธอก็เรียนมาเรื่อยๆ กลายว่าความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษของเธอหล่อเลี้ยงใจเธอในการเรียนทันตแพทย์ จนปี 5 เธอไปเจออาจารย์ผู้ใหญ่ใจดี ที่เธอประทับใจในบุคลิกภาพ เธอเกิดชอบอาจารย์ อยากเรียนและเป็นแบบอาจารย์.. ตอนนี้เธอกลายเป็นทันตแพทย์ที่ทำเรื่องศัลยศาสตร์ช่องปากและมีความสุขในอาชีพมากๆ.. แนวคิดหลังนี้คือ การหาเรื่องที่ชอบทำ แล้วค้นหาต้นแบบ ที่เป็นแรงบันดาลใจดีๆครับ ก็จะพบเอง

ท่านพี่ครับ สุดท้ายนี้ผมขอขอบพระคุณท่านพี่ ที่มากู้โลกเราอีกครั้ง แถมยังให้แง่คิดดีๆ กับพวกเรา ขอบคุณจากใจจริงๆ

ด้วยรักและเคารพ

ภิญโญ รัตนาพันธุ์

ผู้ก่อตั้ง AI Thailand


Reference:

The first picture is retrieved in Aug 8, 2013  from http://www.heavy.com/entertainment/2013/03/wolverine-movie-photos-images-official/

The second picture is retreived in Aug 8, 2013 from http://swishost.com/hugh-jackman-as-wolverine-wallpaper.html


หมายเลขบันทึก: 544936เขียนเมื่อ 8 สิงหาคม 2013 07:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม 2013 08:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (148)

เรื่องนี้อยากดูค่ะ. พออ่านบันทึกนี้ก็ยิ่งอยากดูค่ะ

ขอบคุณค่ะอาจารย์

ขอบคุณครับอาจารย์..

ดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัว...

ชอบสำนวนชวนอ่าน ที่นำเรื่องยากมาเป็นเรื่องง่าย แทรกอารมณ์ขันชวนติดตาม ชื่นชมค่ะ

 

พี่หมาป่าจะได้อ่านใหมนี่ แต่ JJ อ่านแล้ว ชื่นชม ครับ

กมลชนก กิจกสิวัฒน์

น.ส.กมลชนก กิจกสิวัฒน์

555740111-3

หนูชอบบทความตอนนี้ของอาจารย์มากค่ะ แปลกประหลาดและเท่ห์ดี ได้อ่านให้คุณแม่ฟังด้วยค่ะ

ส่วนของหนู ขอแชร์เรื่องราวดีๆบ้างนะค่ะ

"Coaching"

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

เป็นเรื่องตอนที่ทำงานอยู่บริษัทขอนแก่นแหอวนค่ะ ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นเซลล์ต่างประเทศ ซึ่งเราดูแลลูกค้าโซนตะวันออกกลาง พวกอิรัก อิหร่าน ดูไบ ซาอุ ประมาณนี้ค่ะ ออเดอร์แต่ละออเดอร์ตีเป็นเงินไทยมูลค่าเป็นหลักล้านขึ้นทั้งนั้น ปัญหาคือ หนูเสนอราคาผิด ซึ่งก็แจ้งราคาไปใหม่แล้วแต่ลูกค้าไม่ยอม เค้ามาขอส่วนลด เราจึงต้องไปบอกเจ้านาย เจ้านายก็ให้ลดเพิ่มให้ลูกค้าอีก 3 เปอร์เซนต์ แต่ด้วยความที่หนูเป็นเด็กเพิ่งจบใหม่ เพิ่งได้งานนี้ครั้งแรก หนูคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากๆๆๆ และรู้สึกผิดที่เจ้านายต้องมาลดราคาสินค้าทั้งที่เป็นความผิดของเรา ถึงหนูจะบอกลูกค้าว่าลดเพิ่มให้ และลูกค้าโอเคแล้ว แต่หนูก็รู้สึกแย่และเสียใจมาก พอเดินออกมาจากห้องเจ้านายหนูก็มานั่งร้องไห้อยู่ที่โต๊ะ

จุดเปลี่ยน

ห้องทำงานของแกอยู่ด้านหลังพวกเซลล์ทุกๆคน หนูไม่รู้ว่าเจ้านายเดินมาตอนไหน แต่แกเดินมาจากด้านหลัง ตบไหล่ แล้วก็บอกว่า "ไม่เป็นไร สู้ๆนะ" แล้วแกก็เดินไปเลย เท่านี้และค่ะน้ำตาไหลมาหมดเลย เพื่อนๆตกใจมาก เค้ารู้กันว่าหนูเสนอราคาผิด แต่ไม่คิดว่าเราจะร้องไห้ขนาดนี้ หลังจากครั้งนั้นเป็นต้นมา หนูใส่ใจเรื่องการเสนอราคามากขึ้นมาก เพราะตอนนั้นคิดว่านี่ขนาดเราเสนอราคาผิด และบริษัทต้องเสียรายได้ส่วนที่ควรจะได้เป็นมูลค่าตั้งเยอะ แต่เจ้านายยังให้อภัย จากเหตุการร์นี้เองทำให้หนูใส่ใส่รายละเอียดมากขึ้น และรักเจ้านายของหนูมากๆค่ะ ต้องขอขอบคุณ "คุณวินัย เสรีโยธิน" เจ้านายของหนู ซึ่งถึงแม้ว่าท่าจะไม่ได้ทำงานที่ขอนแก่นแหอวน และหนูไม่ได้เป็นเซลล์ที่นั้นอีกแล้ว แต่ท่านก็ยังจะเป็นเจ้านายที่ดีที่สุดในใจเสมอค่ะ

 

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

เป็นเรื่องตอนที่ทำงานอยู่ขอนแก่นแหอวนเหมือนกันค่ะ เพราะลูกค้ากลุ่มที่เราดูแลเป็นโซนตะวันออกกลาง พวกแขกจะค่อนข้างน่ากลัว ใจร้อน พูดจาเสียงดัง ไม่ค่อยมีมารยาท ตอนนั้นหนูต้องเข้าไปเช็คอวนในโกดัง เอาพวกเก่าอวนเสียมาชั่งกิโลขาย ซึ่งตอนนั้นลูกค้าซึ่งเป็นชาวอิรักเข้าไปเลือกอวนด้วย แต่ด้วยความที่อวนมีหลายชนิดมาก ตัวเลขที่ฝ่ายคลังจดให้จึงยาวเป็นหางว่าว หนูต้องเอาตัวเลขนั้นมากดเครื่องคิดเลขเพื่อรวมตัวเลขและบอกลูกค้า สถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวยเพราะอยู่ในคลัง ทั้งร้อน และรีบ เพราะใหล้จะเลิกงานแล้ว คนงานก็อยากจะรีบกลับบ้าน หนูเองก็รน ทำให้หนูบวกเลข 2 ครั้งไม่เท่ากัน ลูกค้าโกรธมาก ด่าเราแบบสุดๆ ตะโกนว่าเราแบบสุดตัว ชี้มือด่าต่อหน้าคนงานเกือน 20คนทั้งคลัง เราจึงรวมอีกรอบนึง พอตัวเลขเท่ากันเราก็ขอแยกตัวออกมาเลย ตอนนั้นสมองเบลอไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว หนูไม่ได้กลับออฟฟิส แต่ไปนั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าศาลพระภูมิของบริษัท รู้สึกเสียใจว่าเราก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ เค้าน่าจะให้เกียรติกันมากกว่านี้ในสมองตอนนั้นคิดว่าถ้าหยุดร้องไห้ จะกลับไปบอกหัวหน้าว่าไม่เอาแล้ว หนูจะไม่ดูแลลูกค้าคนนี้แล้ว

จุดเปลี่ยน ตอนนั้นตอนเย็น เลิกงานพอดี พี่ที่แผนกวางแผนทอ ชื่อพี่สม กำลังจะกลับบ้านผ่านมาเห็นจึงมาคุยด้วย หนูเลยร้องไห้แล้วเล่าให้พี่แกฟัง หนูบอกว่าลูกค้าไม่ให้เกียรติและไม่เชื่อใจ ถ้าเป็นหัวหน้าของหนู ลูกค้าเค้าจะไม่กล้าด่าหัวหน้าอย่างงี้ นี่คงเป็นเพราะหนูเป็นเด็กใหม่ เค้าเลยไม่ให้เกียรติและไม่เชื่อมือ พี่สมเลยบอกว่า "เราก็ต้องพิสูจน์ให้เค้าเห็น ต้องพิสูจน์ให้เค้ารู้ว่าลูกคุณหนูอย่างเราก็สามารถทำงานให้เค้าได้ อย่าไปยอมแพ้ นาจี(ชื่อลูกค้า)เค้าก็เป็นคนอย่างงี้แหละ ถ้าเราสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ ต่อไปเค้าก็จะไม่คุยกับใครเลยนอกจากเราคนเดียว" หลังจากนั้นหนูก็ได้คิด ตั้งสติ และพยายามลองเริ่มต้นใหม่ สุดท้าย สามารถทำได้ค่ะ ลูกค้าติดหนูมากๆ และหนูก็รู้ใจรู้ค้าด้วย พูดมาคำเดียวรู้เลยว่าเค้าหมายถึงอะไร ต้องการอะไร 1 ปีที่ขอนแก่นแหอวนได้อะไรเยอะมากจริงๆค่ะ หลังจากนั้นเข้มแข็งขึ้นเยอะค่ะ ขอบคุณเจ้านาย หัวหน้า ลูกค้า และเพื่อนร่วมงานดีๆทุกคนค่ะ

 

กมลชนก กิจกสิวัฒน์

เรื่องที่ 1 ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น”

ที่ บ้านเลี้ยงหมาอยู่ 2 ตัว ตัวที่จะพูดถึงเป็นหมาตัวแรก หนูได้มันมาตั้งแต่ตอนจะขึ้น ม.1 ตอนนี้อายุมันก็เกือบ 18 ปีแล้วซึ่งถือว่าแก่มากๆแล้ว ปัญหาก็คือ ในแก่มากและใกล้ตายด้วยโรคชรา และยังมีโรคลิ้นหัวใจรั่ว หมอก็สังเกตว่าอาจจะเป็นมะเร็งอีกเพราะมันมีก้อนเนื้อขึ้นมา ตอนนี้ต้องทำใจอย่างเดียว ก่อนหน้านี้หนูทำใจไม่ได้เลย วันๆนึงร้องไห้ไม่รู้กี่รอบเพราะทนรับสภาพมันไม่ได้ มันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลุกขึ้นยืนเองไม่ได้ ต้องคอยพยุง ส่วนใหญ่ก็จะนอนทั้งวันเหมือนคนแก่ เวลาปวดอึปวดฉี่ก็เดินไม่ได้ บางทีก็ฉี่ราดอึราด ทุกวันนี้เก็บอึให้ทุกวัน บางทีก็นอนทับอึตัวเอง กินข้าวเองไม่ได้เพราะขากรรไกรไม่ค่อยทำงานแล้ว ต้องเอามือป้อนข้าวใส่ปาก เวลากินน้ำก็ต้องช่วยพยุงตัว แต่หนูก็ทนและจะดูแลมันให้ถึงที่สุด

อา ที่บ้านซึ่งเป็นคนธรรมะธรรมโม แกเห็นหนูทำใจไม่ได้เพราะวันนึงหนูร้องไห้หลายครั้งมากๆ แกเลยบอกว่า “ไม่ต้องไปรั้งเค้าไว้หรอก แค่ปฏิบัติกับเค้าให้ดีที่สุดก็พอ ชาตินี้เค้าไม่เคยกัดหรือทำร้ายใคร เค้าไม่ได้สร้างกรรมเพิ่ม เค้าแค่เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเท่านั้น ถ้าเค้าตายไปก็จะได้ไปเกิดเป็นเทวดา” คำพูดนี้ทำให้หนูคิดได้และเริ่มทำใจได้ ซึ่งก่อนหน้านี้หนูจะพูดกับหมาว่า “อย่าทิ้งเจ๊ไปนะ อยู่กับเจ๊ก่อน” แต่หลังจากที่อาบอก หนูก็บอกกับหมาว่า “ถ้าอยากไปก็ไป ถ้าเหนื่อยก็ไป แต่ขอให้ไปอย่างสงบ และแต่ไม่ต้องเป็นห่วงทุกๆคนที่บ้าน”

ตอน นี้หมาตัวนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเราก็ดูแลกันไปให้ดีและถึงที่สุด แต่สภาพจิตใจตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ถ้าแม้ว่าเวลาที่มันจะตายจริงๆยังไงเราก็ต้องเศร้าอยู่แล้ว แต่คิดว่าทำใจได้ระดับนึงแล้วค่ะ

จุดเปลี่ยน คำพูดของอาที่บอกว่า “เค้าเกิดมาเพื่อใช้กรรม ชาตินี้เค้าไม่ได้ทำกรรมเพิ่ม มีแต่สร้างความสุขให้คนในครอบครัว ถ้าเค้าตายไปเค้าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา” หนูไม่รู้หรอกค่ะว่าเค้าจะได้เกิดเป็นเทวดารึเปล่า แต่ก็เชื่อว่าเค้าจะได้ไปเกิดให้ภพภูมิที่ดีกว่านี้แน่นอนค่ะ ต้องขอขอบคุณคุณอาด้วยที่ช่วยดึงหนูจากความเศร้าและจิตใจที่ยึดติด ตอนนี้หมายังมีชีวิตอยู่ แต่คุณอาไปบวชเป็นแม่ชีแล้วค่ะ

 

2.            เรื่องที่ 2    “ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น”

เนื่อง จากว่าตอนนี้หนูต้องมาดูแลกิจการที่บ้าน ซึ่งรับช่วงต่อจากคุณพ่อ เพราะคุณพ่อก็จะเริ่มวางมือแล้ว แต่เนื่องจากเราเป็นผู้หญิง และเป็นเด็กใหม่ที่ต้องมาทำงาน สั่งโน่นสั่งนี่คนที่อายุมากกว่า โดยเฉพาะพนักงานช่างที่เป็นผู้ชาย หนูจึงไม่ค่อยกล้าสั่งงานหรืออะไรเท่าไหร่นัก เวลาสั่งงานก็จะพูดเบาๆ นิ่มๆ ทำให้พนักงานช่างผู้ชายไม่ค่อยเกรงกลัว บางครั้งก็ไม่ทำตามที่เราบอก จนบางครั้งเวลาจะสั่งงานเราก็จะสั่งผ่านหัวหน้าช่าง ชื่อพี่ดำแทน จนมาวันนึงพี่ดำบอกว่า “น้องก็สั่งเลย ถ้าเค้าไม่ทำตามก็ไปสั่งเค้า ไปจี้เค้า ไม่ต้องเกรงใจ จริงอยู่เราเป็นผู้หญิงและอายุน้อยกว่า แต่เค้าเป็นเถ้าแก่ เป็นเจ้าของ เค้ากินเงินเดือนเราอยู่ ถ้าไม่กล้าสั่งกล้าบอกตอนนี้จะบอกตอนไหน เดี๋ยวนานไปเค้าก็จะไม่เกรงมันจำละบาก” และนอกจากนี้เวลาที่เราสั่งงานผ่านพี่ดำ พี่ดำก็จะไม่สั่งต่อให้ บอกให้เราไปสั่งเองเลย แต่ต้องขอขอบคุณพี่ดำมากๆ เพราะทุกวันนี้พนักงานทุกคนก็เชื่อฟังเราไม่ต่างจากพ่อ ทำให้เราทำงานได้เต็มที่ และบริหารงานที่บ้านได้สะดวกรวดเร็วขึ้นมาก นอกจากนี้ พนักงานขายก็เชื่อมั่นและไว้วางใจ ตอนนี้คุมงานแทนพ่อได้เกือบ 80%แล้วค่ะ

จุดเปลี่ยน คำพูดของพี่ดำที่บอกว่า “เราเป็นเจ้าของบริษัท  ถ้าไม่กล้าสั่งตอนนี้ และจะเริ่มตอนไหน ถ้าไม่เริ่ม ต่อไปเค้าก็จะไม่เกรงเรา และเราก็จะไม่มีอิทธิพลกับเค้าเลย”

 

ปริชาติ พรหมมากุล 555740193-5 sec 3

Coaching   วิชา  Creativity

"Coaching คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคน"

 

              คนที่สามารถทำให้เรา เปลี่ยนทัศนะคติ  เปลี่ยนมุมมอง ปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเองให้ดีขึ้น  จำได้ขึ้นใจเลย พี่คนนั้นชื่อ พี่ธีระ  วนาเฉลิม พี่เขารับราชการเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน สำนักงานผังเมือง จังหวัดขอนแก่น  ตอนนั้นข้าพเจ้าได้เรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ได้เข้าไปฝึกงานที่สำนักงานผังเมืองจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ และข้าพเจ้าได้เข้าฝึกงาน ในด้านงานธุรการ เอกสาร หนังสือ บันทึก  รับ - ส่ง  ภายนอก ภายใน   พี่ธีระ คนนี้จะเป็นคนที่ เข้มงวด ในด้านเอกสาร ตัวหนังสือ การพิมพ์หนังสือราชการ กั้นหน้า กั้นหลัง ระยะห่าง โดยแต่ก่อนจะเป็นเครื่องพิมพ์ดีด การปัดแคร่  จะสอน (โดยมีสีหน้าที่ดุ) ต้องตรงตามระเบียบ ผิด 1 ตัว ต้องพิมพ์ใหม่ทั้งหมด การเรียงเอกสาร ชั้นวางเอกสาร  ต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย การเรียงต้องเรียงตามตัวอักษร ตอนนั้นสุดแสนจะทน  เกลียดขี้หน้า คล้ายๆว่า เป็นผู้ชายอะไรว่ะ ทำไมพูดบ่อย สอนอะไรหนักหนา กูรำคาญ ถึงขนาดว่าไม่อยากไปฝึกงานเลย และชอบทำให้เราเสียหน้า ร้องไห้บ่อยมาก กับคำพูดของพี่ธีระ และคำพูดของแก ที่ไม่เคยลืมเลยคำพูดที่ว่า ที่พี่ว่าเธอ ไม่ได้ว่าพี่เกลียดชังเธอ  แต่พี่อยากให้เธอได้จดจำ และจะได้ใช้ในภายภาคหน้า   และมันก็เป็นความจริง เมื่อข้าพเจ้าเรียนจบ ข้าพเจ้าสอบบรรจุราชการ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ โดยข้อสอบส่วนมากจะเป็นระบบงานสารบรรณ  เกี่ยวกับหนังสือราชการ  ข้าพเจ้าทำได้เกือบหมด ซึ่งข้อสอบตรงตามที่แก เคยสั่งสอน เคยดุ ด่า เคยจ้ำจี้ จ้ำไช้ เคยบ่น เคยว่าเราให้อับอาย เพื่อให้เราได้จดจำ จนทุกวันนี้ ข้าพเจ้า ไม่เคยลืมพระคุณของแกเลย และเสียใจในการกระทำของตัวเอง ที่เคยได้ว่าแก ตอนที่โดนดุด่า  ตอนนี้พี่แก คงจะเกษียณแล้ว และก็ได้จดจำสิ่งที่แกเคยว่าเราในอดีตมาสั่งสอน บุตร ของเราต่อไป  ขอบคุณ พี่ธีระ วนาเฉลิม คะ

นายอภิเษก วิจารณ์พล 555740309-2 Sec.3

Coaching   วิชา  Creativity

 

                                แต่ก่อนผมเป็นเด็กคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนอารมณ์ร้าย หงุดหงิดง่าย ชอบทะเลาะกับผู้อื่นเป็นประจำ ตามประสาเด็กวัยรุ่น และมีเรื่อง ถึงกับขึ้นโรง ขึ้นศาล  มาวันหนึ่ง พ่อพูดเรื่องนิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง  เรื่องนี้ทำให้ผมเลิกพฤติกรรมที่เลวร้ายลงได้ และสามารถ เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ มาฟังกันครับว่าพ่อเล่าเรื่องอะไรเด็กน้อยคนหนึ่งเป็นคนอารมณ์ร้าย หงุดหงิดง่ายชอบทะเลาะกับผู้อื่นเป็นประจำ พ่อเลยนำตะปูมาให้กำหนึ่ง พร้อมกับบอกว่าเมื่อใดที่เจ้าหงุดหงิดเจ้าจงไปตอกตะปูที่รั้วบ้านหนึ่งตัว วันแรกเด็กน้อยคนนี้ก็ตอกตะปูไปสามสิบกว่าตัว วันต่อๆมาก็เริ่มลดลงเรื่อยๆเพราะเริ่มจะคิดได้ว่า การควบคุมอารมณ์โกรธนั้นง่ายกว่าการไปตอกประตูตั้งเยอะจนกระทั่งเด็กคนนั้นสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้จนเลิกตอกตะปูได้แล้ว จึงไปหาพ่อบอกว่า พ่อครับผมสามารถระงับความโกรธได้เด็ดขาดแล้ว พ่อจึงบอกให้เจ้าพิสูจน์ซิ เจ้าอาจจะขี้เกียจตอกตะปูก็ได้ ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เจ้ารู้สึกว่า เจ้าระงับความโกรธได้จริง เจ้าก็ไปถอนตะปูออกมาตัวหนึ่ง ผ่านไปไม่นาน รั้วบ้านนั้นก็ถูกเด็กน้อยถอนตะปูไปจนหมดสิ้น เด็กน้อยจึงดีใจวิ่งไปหาพ่อบอกว่า  ตัวเองสามารถแก้ไขนิสัยอารมณ์หงุดหงิดง่ายได้เด็ดขาดจริงๆ แล้วแล้วพ่อก็พาเด็กน้อยมาที่รั้วบ้าน พร้อมกับบอกว่า "เจ้าเห็นไหม  ถึงแม้เจ้าจะสามารถถอนตะปูได้หมดแล้ว แต่มันก็ยังเหลือร่องรอยตะปูที่เจ้าได้ตอกไว้ ก็เปรียบเสมือนกับจิตใจคนเรานั่นเอง ถึงแม้เจ้าจะได้แก้ไขในการกระทำของเจ้าแล้ว แต่มันก็ยังคงมีบางสิ่งบางอย่างติดค้างในใจ ในสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป ต่อไปเจ้าจงคิดให้ดีๆ ในสิ่งที่เจ้าจะทำต่อไป เจ้าจะได้ไม่เสียใจภายหลัง สร้างมิตรเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ แต่มีศัตรูเพียงคนเดียวก็มากเกินไปแล้ว"  ครับ จริงอย่างที่ท่านว่าจริง  ปัจจุบัน ผมมีลูกน้อง ประมาณ  20 คน  อยู่กันแบบพี่น้อง ไม่ใช้อารมณ์ มีเหตุผล คุยกัน  และรักใคร่กันดีครับ  ขอบพระคุณพ่อ ที่แนะนำ ชี้แนวทางที่ดีๆ ให้กับลูกชายคนนี้

น.ส.เมธาวี โพธิ์สุวรรณ รหัส 555740227-4 Ex19 Sec4

วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ (910746)

"Coaching"

เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประมาณช่วงเรียน ม.ปลาย โดยปกติแล้ว ตัวดิฉันจะเป็นเด็กผู้หญิงอ้วนๆแล้วสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงตัวดิฉันคือ ขาใหญ่ ดิฉันไม่ถึงกับสวย ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร นิสัยจะเป็นคนที่ไม่ค่อยอยากพบปะผู้คน ไม่ค่อยอยากไปไหน เหตุเพราะคิดเสมอว่า ตัวเองไม่สวย ดูไม่ดีในสายตาคนอื่น ในกลุ่มเพื่อนผู้หญิง ส่วนใหญ่ คนสวยๆ หน้าตาดีๆเค้าก็จะไปด้วยกัน ทำงานกลุ่มเดียวกัน มันก็เลยทำให้เวลาเปิดเทอมทีไร ฉันจะไม่มีเพื่อนจองที่นั่งให้ และฉันก็ไม่รู้เลยว่าในเทอมนั้นๆฉันจะได้นั่งเรียนกับใคร ณ ตอนนั้น ดิฉันรู้สึกเหมือนสังคมเพื่อนไม่ยอมรับดิฉัน และทำให้ดิฉันรู้สึกไม่ดีอย่างมาก รวมถึงในสมัย ม.ปลาย ก็มีการแอบชอบรุ่นพี่บ้าง แต่ถูกปฏิเสธเพราะตัวดิฉันเองอ้วน T_T

                แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยน และส่งผลให้ดิฉันเป็นฉันจนถึงทุกวันนี้คือ วันนึง แม่ ได้พูดคุยกับดิฉัน แม่บอกว่า แต่ก่อนแม่ก็อ้วน แม่ก็ขาใหญ่ แต่ทำไมเราต้องเอาจุดด้อยเรา มาทำให้เรายิ่งด้อยกว่าเดิมละลูก ดูวัยรุ่น ที่กรุงเทพสิ เค้าอ้วน แต่เค้าแต่งตัวน่ารักๆ เค้ามั่นใจหน้าตาเค้าก็มีความสุขดีนะ แต่ถ้าลูกคิดว่า เพราะว่าลูกอ้วน แล้วทำให้ไม่มีเพื่อน เราก็ขยันในเรื่องอื่นสิ ตั้งใจเรียน ขยันทำงาน เดี่ยวเพื่อน ก็จะเข้ามาหาเราเอง บทสนทนาที่แม่ได้คุยกับดิฉันในวันนั้น ทำให้ดิฉันเปลี่ยน

                ดิฉัน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลองเปลี่ยนการแต่งตัวใหม่  พยายามมั่นใจกับสิ่งที่ทำมากยิ่งขึ้น ขยัน และตั้งใจเรียน ถึงแม้จะเรียนไม่เก่ง แต่การที่เราขยัน ผลที่ได้ คือตามที่แม่บอกจริงๆ เพื่อนเริ่มเข้ามาหาดิฉันมากขึ้น ดิฉันเริ่มมีเพื่อน เริ่มมีสังคม และเรื่องนึงที่สอนดิฉันในเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือ กลุ่มเพื่อน เราสามารถเลือกคบได้ และเราควรเลือกกลุ่มเพื่อน ที่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นเรา  นั้นคือเพื่อนแท้ และจริงใจ

เรื่องที่ 2: เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                เหตุการณ์ดังกล่าวก็คงจะเป็นเหตุการณ์ในสถานที่ทำงานในปัจจุบัน โดยปกติแล้ว น่าจะเป็นกันในสังคมไทยในปัจจุบัน นั้นคือ เรื่องความอาวุโส ด้วยตัวดิฉัน ก็เป็นพนักงานระดับปฏิบัติการคนนึง  ด้วยอายุงานก็ถือว่าน้อยกว่าพี่ๆที่ทำงานมาก่อนหน้านั้น  ด้วยนิสัยที่ว่า ปฎิเสธคนในเรื่องงานไม่เป็นและ เป็นคนที่ชอบรับงานไว้คนเดียว ทำให้เกิดเหตุการณ์ การแบบรับงานที่มากเกินไป จนกระทั่งวันนึง เครียดในเรื่องงานมาก จนกระทั้งร้องไห้ออกมา มีกลุ่มพี่ทำงาน คนนึงได้นั่งฟังดิฉันปรับทุกข์ แกเลยบอกว่า พี่ก็เข้าใจในเมย์นะ แต่การที่เราแบกรับงานไว้คนเดียวมากเกินไป การไม่ปฏิเสธ เลย ผู้ใหญ่เค้าก็คิดว่าเราทำงานได้ เค้าเลยมอบงานให้เรื่อยๆ เพราะเค้าเห็นว่าเราทำได้ ถามถึงว่าดีไหม ก็ดี เพราะเรามีความสามารถ แต่เราได้อะไรจากสิ่งนั้น นอกจาก เครียดกว่าเดิม ในบางครั้ง งานบางงานเราก็ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง ไม่ใช่ว่ารับให้เค้าทุกอย่าง และงานที่เราทำอยู่ ถ้าเราคิดว่า เราทำดีที่สุดแล้ว นั้นก็พอ เพราะพี่ก็คิดว่า สิ่งที่เมย์ทำ มันก็ดีกว่าบางคนที่พูดจาต่อหัวหน้า บอกว่าตัวเองงานเยอะ แต่ที่จริงแล้วทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง ทำได้เท่าที่ทำ และทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถของเรา และที่สำคัญ อย่าเครียด

 

                การปรับทุกข์ดังกล่าวทำให้ดิฉันรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการปรับตัวใหม่ พยายามไม่เครียดเรื่องงานมากเกินไป ทำงานเท่าที่ทำได้ เพราะคิดเสมอว่า ถึงเราเครียดไป หรือป่วยจากกงาน บริษัทก็แค่หาคนใหม่มาทำงานทดแทนตำแหน่งเราก็เท่านั้น” แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่ทำงานนะค่ะ ก็ยังคงทำงาน และรับผิดชอบในสิ่งที่ทางบริษัทมอบหมายมาเช่นเดิม เพียงแค่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ก็เท่านั้น เพราะดิฉันคิดว่า หากดิฉันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตรงนี้ได้ วุฒิภาวะทางอารมณ์ และสภาพจิตใจของฉันก็จะดีขึ้นตาม

นายสุริยา ชัยมี 555740299-9 MBA Ex19 Sec 3

คนที่ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์ แต่อยากทำเปิดร้านอินเตอร์

เมื่อห้าปีที่แล้วหลังจากเรียนจบปริญญาตรี ผมได้รับเงินทุนจากคุณแม่มาทำธุรกิจเล็กๆ นั้นก็คือ การเปิดร้านอินเตอร์เน็ตในหมู่บ้าน โดยที่สั่งซื้อคอมพิวเตอร์มาจำนวนหลายเครื่องจากช่างคอมที่รู้จัก ซึ่งเขามีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้มาเป็นระยะเวลานาน หลังจากติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เสร็จสิ้นจนพร้อมในการให้บริการลูกค้า เปิดร้านมาได้ระยะหนึ่งคอมพิวเตอร์เริ่มมีปัญหาจุกจิก เช่น หน้าจอดับ ไวรัส อุปกรณ์บางส่วนไหม้ และข้อมูลสูญหาย เป็นต้น ซึ่งปัญหาต่างๆ นาๆ เหล่านี้ทำให้ผมต้องเรียกช่างมาแก้ไขปัญหาตลอด และทำให้ผมต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากในแต่ละครั้ง และชิ้นส่วนที่ซื้อเปลี่ยนแต่ละครั้งก็แพงกว่าท้องตลาด ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ทำให้เราเสียค่าใช้จ่ายบ่อยๆ เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ จนกระทั่งผมได้พบอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ท่านชื่อเล่นว่า อาจารย์นุ ท่านแนะนำผมว่า ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไร เราเป็นเจ้าของธุรกิจสำคัญที่สุดเราจะต้องทำมันให้เป็นอย่างท่องแท้ เพราะถ้าวันหนึ่งลูกน้องไม่อยู่ ธุรกิจเราก็ยังสามารถอยู่ได้ ท่านแนะนำผมว่าให้ซื้อหนังสือเกี่ยวกับส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ การติดตั้งและการแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์มาศึกษา และท่านยังแนะนำผมอีกว่า หาเวลาไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมจะได้เข้าใจมากขึ้นที่วิทยาลัยสารพัดช่างอุดรธานี เพราะที่นั้นเขาเปิดสอนคอร์สสอนระยะสั้นเกี่ยวกับการเป็นช่างคอมพิวเตอร์ ผมทำตามที่ท่านแนะนำอย่างตั้งอกตั้งใจ และจากนั้นมาผมก็ไม่ได้เรียกใช้ช่างคอมพิวเตอร์อีกต่อไป และการสั่งซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ของผม ผมก็ไม่สั่งซื้อกับช่างอีกต่อไปเช่นกัน แต่สั่งซื้อชิ้นส่วนต่างๆ ของคอมพิวเตอร์กับร้าน Advice มาประกอบเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมลดค่าใช้จ่ายในร้านลงได้มาก และทำให้ผลประกอบการของธุรกิจที่ทำอยู่มีกำไรมากขึ้น

น.ส. กรกนก นรมาตย์ Y#14

                                                                                                                             รหัส  555740016-7 

Coaching

       เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่ตัวดิฉันอยู่ชั้นประถม มีอยู่วันหนึ่งดิฉันได้ไปที่ร้านขายอุปกรณ์การเรียนหลัง จากเดินวนเวียนหาของอยู่นาน ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น นั่นคือ ดิฉันนั้นเดินผ่านชั้นวางสีโปสเตอร์ ทันใดนั้นเอง สีโปสเตอร์หล่นลงมาและแตกเต็มพื้น เมื่อเห็นดังนั้นด้วยความตกใจดิฉันจึงรีบวิ่งออกจากร้าน แต่ในระหว่างทางดิฉันก็คิดมาโดยตลอดว่าดิฉันทำถูกแล้วหรือที่วิ่งหนีปัญหาและวิ่งหนีความจริง เมื่อกลับไปถึงบ้านดิฉันก้อเดินวนไปวนมาอยู่หน้าบ้าน ทันใดนั้นเองคุณป้าที่อยู่ข้างบ้านดิฉันมาพบเข้าจึงถามด้วยความห่วงใยว่าเป็นอะไร ทำไมจึงเดินไปเดินมา พอฉันเห็นคุณป้าแล้วจึงเข้าไปกอดทันที เพราะตอนนั้นฉันกลัวเหลือเกินป้าจึงบอกให้ค่อยๆเล่าให้ฟังว่าเป็นอะไร ป้าจึงสอนว่าหนีอะไรก็หนีได้แต่อย่าหนีความจริง ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่แก้ไขไม่ได้ ทำให้ดิฉันกล้าเล่าให้ป้าฟัง ป้าจึงบอกว่าเรื่องแค่นี้มันเล็กมาก แต่ยังดีที่หนูยังเห็นมันเป็นเรื่องใหญ่ ป้าดีใจที่หนูไม่มองข้ามสิ่งที่ตัวเองกระทำ ป้าสอนไว้ว่าในเมื่อเราทำผิด เราจึงต้องรับผิด มิใช่จะรับแต่ชอบอย่างเดียว เกิดเป็นคนต้องเป็นคนมีความรับผิดชอบ หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นดิฉันจึงได้ไปสารภาพความจริงกับทางร้าน แทนทีจะได้ด่ากลับเปลี่ยนเป็นคำชมที่กล้ายอมรับ นับจากวันนั้นมาจุดเล็กๆนี้เองทำให้กลายเป็นนิสัยติดตัวดิฉันมาโดยตลอด คือ ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด ทำถูกก็ต้องรับชอบ คนเราเกิดมาต้องมีความรับผิดชอบและรู้จักกล่าวคำขอโทษเมื่อทำผิด เพราะการขอโทษมีแต่ได้ ไม่มีคำว่าเสีย 

 

                                                                                      ไอลดา ศรีประเสริฐ 555740102-4 sec 11

Coachinng

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสมัยเรียนมหาลัย หนูได้มีโอกาสไปโครงการเวิร์คแอนทราเวลกับเพื่อน เหมือนเด็กมหาลัยทั่วไป แต่ปัญหาคือหนูไม่เคยเข้าสังคมอื่นมาก่อนเลยเพราะเรียนโรงเรียนเดิมและกลุ่มเพื่อนเดิมๆมาตลอดตั้งแต่ประถมจนถึงมหาลัย จึงทำให้หนูไม่เคยมีเพื่อนหรือเข้าสังคมอื่นเลย หนูติดเพื่อนมากจนกระทั่งไปทำงาน เจ้านายบอกว่าจะต้องจับแยกให้มีคนไทย 1 คนเท่านั้นในทีม จึงทำให้หนูกลัวมาก ภาษาก็ไม่ได้แถมมีพวกแมกซิกันที่ไม่พูดภาษาอังกฤษอีกด้วย เมื่อทำงานเพื่อนฝรั่งในวัยเดียวกันกับหนู ก็สนิทกันหมด ดูเหมือนหนูเป็นส่วนเกิน หนูจึงพยายามทำงานคนเดียว เมื่อมีงานที่ต้องทำร่วมกับคนอื่นหนูก็จะขอทำคนเดียว มีหลายครั้งที่พวกเค้าพยายามเข้ามาคุยกับหนู แต่หนูก็รู้สึกอึดอัดและอยากรีบจบบทสนทนาเพราะกลัวฟังไม่รู้เรื่อง อาทิตย์แรกหนูรู้สึกหดหู่มากและไม่อยากไปทำงานเลย จนกระทั่งวันหยุดของหนูมีพี่คนไทยคนหนึ่งผ่านมาเห็นหนูอยู่คนเดียวตอนอาหารเช้าจึงเข้ามาพูดคุย หนูเล่าปัญหาให้พี่เค้าฟัง พอฟังเสร็จพี่เค้าก็หัวเราะบอกว่า ตอนแรกที่มาอยู่พี่เค้าก็เป็นคล้ายๆหนู (พี่เค้ามาอยู่ 1 ปี) ฟังไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจวัฒนธรรม โดนฝรั่งล้อเอา แต่พี่เค้าก็คิดได้ว่าถ้าหาฝรั่งมาเป็นพวกได้ก็จะไม่โดนล้อและถ้าพูดเก่งก็จะสามารถตอบโต้ได้ เมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้ ไม่งั้นเวลา 3 เดือนของหนูก็จะเหมือนอยู่ในนรก หนูเลยคิดได้และรู้สึกตัวเองว่างี่เง่า เรื่องทั้งหมดก็เพราะตัวเองแท้ๆ พี่เค้าเลยชวนหนู้ไปเดินเล่นดาวทาวน์กับพี่และเพื่อนต่างชาติ และแนะนำให้รู้จักกัน พี่เค้าช่วยหนูให้ได้พูดกับเพื่อนฝรั่งและหนูก็มีเพื่อนต่างชาติเพิ่ม จากนั้นอีก 1 อาทิตย์ ทักษะหนูก็พัฒนาขึ้นมามากอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าอยากไปทำงานทุกวันเลย

 

นส.ทิพย์วิภา วงศ์นิจศีล

นส.ทิพย์วิภา วงศ์นิจศีล 555740165-0 Ex 19 sec 4

Coaching

 “ตอนที่ใครสักคน มาเตือนสติแล้วทำให้เราเห็นสิ่งที่ควรจะเป็น ทำในสิ่งที่ควรจะทำ มองเห็นอนาคตมากขึ้น

 

                ตอนปริญญาตรีข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบแล้ว ก็หลง แสง สี เสียง ที่กรุงเทพ ไม่ยอมกลับบ้าน แม้ว่าจะสัญญากับทางบ้านไว้แล้วว่า จะขอทำงานหาประสบการณ์ที่กรุงเทพก่อน 1 ปี แล้วจะกลับมาช่วยกิจการที่บ้าน แต่เมื่อครบ 1ปี ข้าพเจ้าไม่ยอมกลับ เหตุผลเพราะติดความสบาย มีเงินเดือนที่ถือว่าค่อนข้างดี ไม่ขัดสน  มีวันหยุด ได้ไปเที่ยวเล่น shoppingกับเพื่อน ถ้ากลับมาที่ขอนแก่น กลัวจะเบื่อ เพราะขอนแก่นไม่มีอะไร เป็นเมืองเงียบๆ ไม่มีสีสันเหมือนกรุงเทพ  หาเหตุผลอ้างในการเลื่อนจะกลับมาทำงานที่บ้าน จนมีอยู่วันหนึ่ง คุณพ่อของข้าพเจ้าถามขึ้นมา ขณะที่เราทานข้าวกันอยู่ คุณพ่อถามว่า ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ทำงานเรียบร้อยดีไหม สบายดีหรือเปล่า เงินทองพอใช้ไหม ข้าพเจ้าก็ตอบกลับไปว่า สบายดี งานสบายมีวันหยุด เงินทองพอใช้มีเงินเหลือเก็บ  แล้วคุณพ่อก็ถามต่อว่า แล้วในอนาคตอีก 5 ปีจากนี้ ข้าพเจ้าวางแผนชีวิตไว้ว่าอย่างไง  เท่านั้นแหละข้าพเจ้าอึ้งไปชั่วขณะ คือข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงอนาคตข้างหน้าเรยว่าต่อจากนี้ 10ปี 20ปี จะเป็นอย่างไร รู้สึกว่าตัวเองอยู่ไปวันๆ ทำงานกลับบ้านๆ รอวันที่เงินเดือนออกพอโดนถามแบบนี้ ก็เริ่มคิดได้ว่า นั่นสิ อีก5ปีชั้นจะเป็นยังไง ชั้นจะเป็นลูกจ้างไปตลอดเหรอ ทั้งๆที่ทางบ้านมีกิจการที่ดีให้เรากลับไปดูแล เราไม่ได้เริ่มต้นจาก0เหมือนคนอื่นๆ ทำไมเราต้องทิ้งโอกาสนี้เพราะความสบายเพียงเล็กน้อยที่มีอยู่ในปัจจุบัน อีกอย่างครอบครัวเราก็อยู่ที่ขอนแก่น พ่อแม่เริ่มอายุมากแล้ว ใครจะดูแลท่าน แล้วไหนจะกิจการ งานที่บ้านอีก ถ้าเราไม่กลับไปฝึก ไปเรียนรู้งานตอนนี้ แล้วเราจะไปทำตอนไหน ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆเพื่ออะไร เป้าหมายในชีวิตแค่5ปียังไม่มีเลย  เมื่อคิดได้ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจกลับมาช่วยกิจการที่บ้าน และได้มาเรียน MBAคู่ไปด้วย ตามคำแนะนำของคุณพ่อ เพื่อต้องการนำความรู้บริหารที่ได้ไปต่อยอด และรู้จักสังคมในขอนแก่นมากขึ้น  ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และกำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ต้องขอบคุณคุณพ่อมากที่ช่วยเตือนสติ ให้รู้จักวางแผนชีวิตในอนาคตว่าตนเองต้องการอะไร มีเป้าหมายในชีวิตแบบไหน แล้วจะไปให้ถึงเป้าได้อย่างไร

 

นางสิรินทรา  ใจฉลาด 555740093-9 MBA Young 14 Sec.11 

          ทุกครั้งที่เรามีปัญหา ย่อมต้องการความช่วยเหลือเสมอ และทุกครั้งเรามักจะนึกถึงคนที่เรารักก่อนใคร หวังว่าเค้าจะช่วยเราได้ มันเหมือนเป็นนิสัยของเรา เมื่อเราทุกข์เราก็ร้องขอความช่วยเหลือจากพ่อทุกที แต่พ่อจะตอบกลับทุกครั้งด้วยคำว่า "ลูกทำเองได้ พ่อเชื่อในตัวลูก" ทุกครั้ง เราจะหันกลับมาแก้ไขเรื่องทุกข์นั้นด้วยตัวเราเองเสมอ จนทุกวันนี้เวลาคิดอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จ ก็จะนึกถึงคำพ่อบอกคำนี้ ทำให้เราผ่านปัญหาหลายๆ ครั้งมาได้ ประสบความสำเร็จในหลายๆ เรื่อง เช่น 

          เมื่อเราทำงานเป็นพยาบาลปฏิบัติธรรมดาของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง วันหนึ่งผู้บริหารเชิญเราเข้าทีมกลยุทธของโรงพยาบาล โดยที่เรามองตัวเองว่าคงทำไม่ได้ ไม่เคยมีความรู้ด้านบริหาร ไม่มีความรู้ด้านกลยุทธ จึงขอคำแนะนำจากพ่อ พ่อบอกเหมือนทุกครั้ง "ลูกทำได้ เชื่อในตัวลูก" แค่นั้นที่ทำให้เรารู้สึกสู้ อ่านหนังสือ ถามผู้บริหารในสิ่งที่เราไม่รู้ ขยันสุดๆ จนประสบความสำเร็จ ได้รับคำชมจากผู้บริหาร แค่นั้นที่ทำให้รู้สึกภูมิใจและมีความสุขค่ะ

นายสุปรีย์ ศาสตรพันธุ์

นายสุปรีย์ ศาสตรพันธุ์  555740013-3 
 sec.12  Y#14

"Coaching"

เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

               ตั้งแต่เด็กจนโต เรื่องเรียนสำหรับผมนั้น ผมตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเรียนคืออะไร ผมรู้แค่ว่า ขอแค่ตัวเองไม่เกเร( เข้าเรียน ไม่โดดเรียน )ก็พอแล้ว แต่การที่ผมเข้าเรียนนั้นไม่ใช่การตั้งใจเรียน คือบางทีเข้าไปก็หลับ คุยกับเพื่อนบ้าง ทำการบ้านวิชาอื่นบ้าง เป็นแบบนี้ประจำ เรื่องเกรด ก็ขอแค่ไม่ติด 0 ไม่ติด ร ก็พอใจแล้ว จะ2.เท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร ก็เป็นแบบนี้เรื่อยๆจนเรียนถึงระดับปริญญาตรี ก็คิดแบบเดียวๆกัน เกรดรวมก็2.5 ก็ถือว่าโอเคแล้ว ต่อไป ขอแค่ไม่ต่ำกว่า C ทุกวิชาเลยก็เอา ไอ้เรื่องไปลุ้น A ลุ้นเกรดสวยๆงี้ ไม่เคยมีอยู่ในความคิด จนมาช่วงนึงผมได้รู้จักๆคนนึง แล้วเขาได้พูดกับผมว่า เรียนแค่เนี่ย เกรดได้แค่เนี่ย จบมาจะทำไรกิน ใครเขาจะจ้าง ณ ตอนนั้นเอง แทนที่ผมจะโกรธที่มีคนมาพูดจาอะไรแบบนี้ด้วย แต่ผมดันรู้สึกว่า เอ้อ..! มันจริงว่ะ เรามันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ผมนั่งมองย้อนไปในอดีตแล้วก็คิดทบทวน ว่าทำไมตัวเองเป็นแบบนั้น และจะต้องไม่เป็นแบนั้นให้ได้ในอนาคต จากนั้นผมก็ตั้งใจเรียนมากๆ เรียกว่าทำอะไรที่ตรงกันข้าวกับเมื่อก่อนมากๆ ตั้งใจเรียนทุกคาบ นั่งหน้าห้องทุกคาบ ขยันทำการบ้านด้วยตัวเอง ตั้งใจอ่านหนังสือสอบ จนจากหวังแค่C กลายเป็นว่า มีเกรดA ทุกๆเทอมที่เรียน เทอมละ2ตัวบ้าง3ตัวบ้าง จนเทอมสุดท้าย A ทุกวิชาที่ลงเรียน

 

เรื่องที่ 2เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

               ตอนสมัยผมเรียนมัธยม ก็เป็นเด็กคนนึงที่สนใจเรื่องกีฬาฟุตบอลมากๆ ผมไม่เคยฝึก ไม่เคยอบรมอะไรที่ไหนมาก่อน เล่นไปเองตามประสาเด็กๆ ส่วนมากจะเล่นตอนพักเที่ยง โดยจะเล่นกับเพื่อนๆในห้องเดียวกัน จัดทีมเล่นกันสนุกเฮฮาไป และเล่นในตอนเย็น หลังจากที่โรงเรียนเลิกแล้ว ผมก็จะรีบกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดเผื่อที่จะได้มาเล่นฟุตบอล ช่วงเย็นนั้นจะเป็นช่วงที่หลายๆคนที่อาจจะอยู่โรงเรียนเดียวกัน ต่างโรงเรียนกัน หรือจบไปแล้วบ้าง ก็มาเล่นกัน เราก็อาศัยว่าเล่นกับหลายๆคน บางคนก็เก่งมากๆ ก็ได้เรียนรู้จากเขาบ้าง ทำให้มีการพัฒนาการเล่นขึ้นบ้าง แล้วพอช่วงนึง ประมาณม.ปลาย พวกผมก็เตะเล่นกับเพื่อนตามปกติ แต่ก็มีอีกกลุ่มมาเล่นด้วย โดยบอกว่ามาแข่งขัน ใครชนะได้กินน้ำฟรี โดยผู้แพ้เป็นคนเลี้ยง จีงได้จัดทีมกัน เตะกับกลุ่มนั้น และก็จะมีมาแบบนี้เรื่อยๆ จนวันนึง ผมเองก็กำลังแข่งกับทีมนึงอยู่ ก็เรื่อยๆทั่วไป แต่วันนั้นเอง มีครูสอนพละ ที่เป็นคนควบคุมทีมโรงเรียน เดินผ่านมาพอดี เขาเห็นว่า ทำไมมีคนเชียร์เยอะจัง จึงหยุดดู แล้วดันชื่นชอบในผลงานผมที่เล่นอยู่ ครูจึงเรียกผมติดทีมโรงเรียน แล้วก็เรียนเก็บตัวซ้อม สอนเทคนิคต่างๆให้กับผม แก้ไขข้อผิดพลาดให้กับผม แนะนำด้านต่างๆ จึงทำให้ผมพัฒนาขึ้นไปอีก จนติดทีมฟุตซอลจังหวัด

นายศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์ 555740084-0 MBA.young14 sec.11 
 
   การค้นพบว่าตัวเรานั้นมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเมื่อเรารู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรนั้น นั่นทำให้เรามีแรงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาตัวเราเอง ตัวผมเองนั้นเมื่อช่วงกำลังศึกษาปริญญาตรีก็ยังไม่ค้นพบว่าเป้าหมายในชีวิตคืออะไร มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ไม่มีแรงบันดาลใจหรือแรงจูงใจอะไร ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป จนถึงวันที่ได้มีโอกาสเริ่มทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ในตอนแรกคิดแต่เพียงว่าอยากลองเริ่มทำอะไรซักอย่างด้วยความสามารถของตัวเราเอง ลองดูว่าเราจะมีศักยภาพมากแค่ไหน ทำธุรกิจแรกถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเพราะผมยังไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร ขาดแรงกระตุ้น ไม่มีเป้าหมาย จนทำธุรกิจต่อมาผมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดและได้ร่วมงานกับผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตด้านต่างๆ และการลองผิดลองถูกหลายๆครั้งทำให้ผมค้นพบว่าชีวิตผมอยู่ไปเพื่ออะไร อยากประสบความสำเร็จเพื่ออะไร ทำให้ธุรกิจต่อๆมาผมเริ่มพัฒนาความคิด พัฒนาตัวเองมากขึ้น เกิดเป้าหมายในชีวิต เกิดแรงกระตุ้นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เราก้าวต่อไป และสิ่งสำคัญอย่างแรกที่ทุกคนต้องมีคือ purpose ในชีวิตครับ

                                                                               น.ส.อารีรัตน์  ไชยศิลา

555740316-5 Ex#19 Sec.3

                                                                                                        "Coaching"

จากการได้พูดคุยกับคุณลุง คุณลุงเคยพูดประโยคหนึ่งว่า ชีวิตคนก็เหมือนต้นไม้ ถ้าปลูกในกระถาง มันก็ไม่มีวันโตเต็มที่ เหมือนปลูกต้นไม้ลงดิน” ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าทำงานเป็นลูกจ้าง จะทำนานแค่ไหน ก็เป็นได้แค่ลูกจ้าง ไม่มีทางเจริญเติบโตไปมากกว่านี้ นายจ้างอยากให้ทำอะไร อยากให้ออกตอนไหนก็ได้ แต่ถ้าเราทำธุรกิจของตัวเอง อย่างน้อยๆ เราก็ยังมีโอกาสเติบโต เพราะเราเป็นนายตัวเอง เหมือนกับปลูกต้นไม้ลงดิน ยิ่งรดน้ำ พรวนดิน มันยิ่งต้นใหญ่ และแข็งแรง แผ่กิ่งก้านสาขา ออกดอก ออกผล ไปชั่วลูกชั่วหลาน ไม่เหมือนปลูกต้นไม้ในกระถาง แม้รากของต้นไม้จะใหญ่แค่ไหน ก็ไม่เกินกว่าขนาดกระถางได้ นายจ้างอยากจะโยนกระถางทิ้งตอนไหนก็ได้  แต่เนื่องจากตัวข้าพเจ้า Purpose ในชีวิตที่ผิด.. และได้นำอิสรภาพด้านความสามารถของตัวเอง ด้านความรู้ไปใช้แบบอยู่ไปวันๆ ที่สุดก็สูญเสียอิสรภาพไปในที่สุด..

 

ในมุมมองของข้าพเจ้าการค้น Purpose เป็นเรื่องสำคัญมาก  เป็นอะไรที่ยากพอควร ก็เพราะตอนทำงานแรกๆ เราทำไปแบบเรื่อยๆ ไม่ได้มีการวางแผนอนาคต ไม่คิดทำธุรกิจ แต่พอได้คุยกับคุณลุง เลยเกิดจุดหมายดีๆในชีวิตคือ ต้องการเผยแพร่เรื่องดีๆ พบกับความหมายของชีวิตจริงๆ  

 

นางสาวนิธิดา  พระยาลอ 555740049-2 MBA Young#14 Sec.11

 

Coaching

     สมัย ป. ตรี อยากใช้ชีวิตอยู่หอในมหาวิทยาลัย ไม่อยากอยู่บ้าน รู้สึกว่าโตแล้ว อยากใช้ชีวิตวัยรุ่นเต็มที่ เที่ยวเกือบทุกวัน ผลก็คือตื่นไปเรียนก็สาย หรือก็ไม่เข้าเรียนเลย ในขณะที่เพื่อนสนิทดิฉัน แตกต่างกับฉันมาก เธอตั้งใจเรียน เรียนเก่งมาก และยังเป็นคนที่คอยโทรตามให้ไปเรียนทุกเช้า คอยเก็บชีทไว้ให้ ดิฉันก็ไปบ้างไม่ไปบ้างตามอารมณ์ ซึ่งส่วนตัวก็รู้สึกผิดกับเพื่อนมาตลอด แต่ก็ได้พยายามอ่านหนังสืออย่างหนักก่อนสอบทุกครั้ง เพื่อให้สอบผ่าน เพราะไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังในตัวเรา ที่เขาคอยช่วยเหลือเรามาตลอด ผลการเรียนที่ออกมาก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็ยิ่งทำให้คิดไปว่า ไม่ต้องเข้าเรียนหรอก แค่อ่านหนังสือสอบก็พอ แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่ดีว่าทำไมเราไม่ไปนั่งเรียนเป็นเพื่อนเพื่อน จะใช้ชีวิตไปวันๆเรียนพอผ่านๆแบบนี้คงไม่ดีแน่ๆ ครั้งหนึ่งเลยได้มีโอกาสคุยกับเพื่อน ว่าทำไมต้องตั้งใจเรียนมากขนาดนี้ ทั้งๆที่บ้านก็ฐานะก็ดี มีพร้อมทุกอย่างแล้ว เพื่อนดิฉันได้พูดมาประโยคหนึ่งว่า " ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าเกิดมา จะทำอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด"

      จากคำพูดของเพื่อน ทำให้ดิฉันมองย้อนดูตัวเอง ถ้าเราทำอะไรด้วยความตั้งใจ เราคงจะไม่มานั่งเสียใจทีหลัง อีกทั้งเรื่องวินัยมันเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานในอนาคต แต่ก่อนเกรดออกมาได้ B+ ก็มานั่งเสียใจทีหลัง ว่าถ้าขยันเข้าเรียนก็น่าจะได้ A ไปแล้ว จากคำพูดเพื่อนวันนั้นทำให้ดิฉันพลิกผันตัวเอง โดยในช่วงนั้นเป็นช่วงฝึกงาน ตลอดระยะเวลา 4 เดือน เข้างาน 8 โมงเช้า ไม่มีคำว่า สาย ลา ขาด เลย มันทำให้เรารู้สึกได้ใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ งานที่ได้รับมอบหมาย เสร็จก่อนเวลาที่กำหนดเป็นเดือนๆ ทำให้มีเวลาเหลือแล้วได้ฝึกทักษะในการทำงานใหม่ๆ ถึงไม่ได้เงินเดือนเป็นการตอบแทน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้ ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเอง ที่ทิ้งชีวิตล่องลอยออกไปได้ พอมาเรียน ป.โท ที่ MBA ดิฉันจึงเอาแรงความตั้งใจที่ไม่เคยใช้ใน ป.ตรี มาชดใช้ใน ป.โท ผลลัพธฺ์ทุกอย่างดีขึ้น ถึงเกรดบางวิชาจะไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้ แต่ก็ไม่มานั่งเสียใจทีหลัง เพราะเราได้ทำเต็มที่แล้ว ถือว่าล้มไม่เจ็บเท่าตอน ป.ตรี ตอนนี้จะทำอะไรก็จะคิด และตั้งใจทำให้ดีที่สุด มองชีวิตเพื่อนแล้วย้อนดูตัวค่ะ เพื่อนเป็นกระจกเงาที่ดี

น.ส.ลัลตรา กิจพิทยาฤทธิ์

นางสาวลัลตรา กิจพิทยาฤทธิ์

555740071-9 Y#14 Sec.12

       

        เมื่อหลายปีที่ผ่านมาได้มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเสียเงินไปเป็นจำนวนไม่น้อย ที่มาของเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะตัวของหนูเองที่รับฟังโดยไร้การคิดให้รอบคอบทำให้สติแตก ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่คิดว่าการทำตามคำบอกของคนที่คุยด้วยนั้นคือการแก้ไขที่ดีที่สุดในเวลานั้นจึงได้ทำตามไปจนสิ้นสุดการสนทนา และเมื่อสุดท้ายรู้ว่าสิ่งที่ได้ลงมือทำไปนั้นทำให้ต้องเสียเงินจำนวนนั้นไปก็ยิ่งทำะไรไม่ถูกและโทษตัวเอง เพื่อนๆจึงได้พาเข้าไปติดต่อธนาคารและเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ก็พบว่าสุดท้ายแล้วไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้เลยยิ่งทำให้โทษตัวเองและรู้สึกผิดมากขึ้น จนครอบครัวได้พูดกับหนูว่า เงินทองเป็นของนอกจากไม่มีใครว่าอะไรหนูแต่ต่อไปหนูต้องมีสติและค่อยๆคิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจทำะไร หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาทำให้หนูจากที่เป็นคนใจร้อน ทำอะไรคิดไม่มากมายก็กลายเป็นใจเย็นขึ้นและคิดอะไรให้รอบคอบมาขึ้นกว่าแต่ก่อนค่ะ

 

        สมัยเรียนปริญญาตรีในช่วงปี 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายต้องทำโปรเจคจบร่วมกับคู่โปรเจคและหัวข้อที่เลือกทำเป็นหัวข้อเกี่ยวกับารผลิตไบโอแก๊สจากการย่อยส่วนประกอบของรำข้าว แต่สาขาที่เรียนคือเคมี ทำให้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับไบโอลึกมากนัก ในช่วงแรกของการหาข้อมูลทำให้เกิดปัญหาและหาข้อมูลกันอย่างสะเปะสะปะเนื่องจากไม่รู้ว่าควรใช้จุลินทรีย์ แบคทีเรียหรือเชื้อรา จึงทำให้โปรเจคไม่คืบหน้า จนเพื่อนได้แนะนำให้รู้จักกับรุ่นพี่ที่กำลังเรียนปริญญาโทไบโอทำให้มีโอกาสได้พูดคุยและเล่าถึงปัญหาให้รุ่นพี่ฟัง พี่เขาจึงได้แนะนำและทำให้ขอบเขตในการหาข้อมูลแคบลงจนในที่สุดก็สามารถหาสิ่งที่ใช้ย่อยส่วนประกอบของรำข้าวได้ หลังจากที่หาข้อมูลได้แล้วต้องเลี้ยงเชื้อ เขี่ยเชื้อ ทำอาหารวุ้นเพื่อเลี้ยงเชื้อฯ รุ่นพี่ก็ช่วยสอนทำให้ได้เรียนรู้และลงมือทำในสิ่งแปลกใหม่จนโปรเจคในส่วนที่เกี่วข้องกับไบโอผ่านพ้นมาได้ด้วยดี

 

 

นายจักรพนธ์ หล่อวิริยากุล

นายจักรพนธ์  หล่อวิริยากุล

555740022-2  Y#14 Sec12                   

 

 

วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ (910746)

"Coaching"

 

1. คนที่สามารถทำให้เรา เปลี่ยนทัศนะคติ  เปลี่ยนมุมมอง ปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเองให้ดีขึ้น

ก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนักศึกษาปกติทั่วไป เรียน เที่ยว เล่นเกม จีบสาวไปวันๆ  แต่มาวันหนึ่งได้มีน้องแนะนำให้รู้จักกับหนังสือ Rich Dad  พ่อรวยสอนลูก ทำให้เพิ่งเคยได้ยินคำว่า  อิสรภาพทางการเงิน เป็นครั้งแรก และได้รับมุมมองสำคัญๆ หลายๆอย่างในการดำเนินชีวิต เช่น พ่อรวย สอนว่า ต่อให้โลกนี้มีงานเป็นแสน เป็นงาน แต่ก็แบ่งได้เป็น  Active Income กับ Passive Income  ซึ่งมันทำให้เราสนใจศึกษาวิธีที่จะเดินทางสู่เส้นทางของ Passive Income อย่างจริงจัง ทำให้เราต้องปรับตัวเองมากขึ้น  โดยต้องอ่านหนังสือมากขึ้น หรือลดเที่ยวลง

2. คนที่ให้เราเก่งใน skill บางอย่างมากขึ้น

 

ตอนเรียน ป.ตรี  เราได้มีโอกาสไปฝึกงานที่ CP โชคชัย  และต้อง Present นำเสนอการแก้ปัญหาให้กับโรงงานด้วย  ซึ่งการนำเสนอนั้น ต้องนำเสนอด้วย PowerPoint ต่อหน้า MVP  และผู้จัดการแผนกต่างๆ เช่น แผนกรับไก่   แผนกไก่ชิ้นส่วน   แผนกควบคุมคุณภาพ  แผนกคลัง  แผนกแปรรูป โดยตอนแรกรู้สึกกดดันมาก และกลัวมาก  เพราะเราต้องนำเสนอให้ระดับหัวหน้าแผนก และรวมถึง MVP ฟัง มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าจะต้องโดนว่า โดนด่า แน่ๆยิ่งทำให้กลัวเข้าไปใหญ่  แต่พอถึงการนำเสนอครั้งแรก ด้วยความกลัวทำให้พูดผิด พูดถูก  แต่ หัวหน้าแผนกและ MVP ไม่ได้ด่า ว่า เลย กลับสอนด้วยความเอ็นดูว่า ฝึกไว้เพราะในอนาคตต้องเจอบรรยากาศที่กดดันมากกว่านี้แน่นอน และได้ถามเพื่อชี้นำในจุดต่างๆ ที่เรานำเสนอแต่ยังไม่ชัดเจน พอมันทำให้เราคิดได้ว่า มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แล้วยังสอนเราด้วยความเอ็นดู  ในการนำเสนอรอบต่อไปมันก็ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น และสามารถนำเสนอได้ราบรื่น ไม่ติดขัด ทำให้มีความมั่นใจในการนำเสนอมากขึ้น จนทำให้เราไม่กลัวการพูดนำเสนอปัญหาพิเศษที่ต้องทำตอนจบ ป.ตรี และสามารถนำเสนอออกมาได้น่าประทับใจมาก

นายณัฐชัย มหธรรม

555740034-5 y.14 sec.12

 "Coaching"

เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

               หลังจากที่เรียนจบตอนป.ตรีได้เข้าทำงานกับบริษัทหนึ่งที่ตรงกับสายงานที่เราจบพอดี ด้วยความที่พ่อกับเจ้าของรู้จักกันจึงได้ฝากงานไว้ให้ โดยที่เข้ามาทำงานในวันแรกเราก็ได้เราก็ได้ทำตัวเป็นปกติเหมือนเด็กคนอื่นที่มาทำงานในวันแรกเหมือนกัน โดยได้รับมอบหมายงานให้แต่ละคนทำงานอย่างไร ซึ่งทุกคนในบริษัทจะทำงานเหมือนๆกันแต่วนไปทำที่ละแผนกจนครบ ในช่วงแรกได้รับทำงานในแผนกเอกสาร ไม่ว่าจะต้องลงมาถ่ายเอกสารด้วยตัวเอง ซึ่งผมไม่เคยถ่ายเอกสารเองเลยซักครั้ง ครั้งนี้ถึงเป็นครั้งแรก และมีพี่ที่สอนงานให้

ในช่วงต่อมาก็ได้รับมอบหมายงานเรื่องส่งเอกสาร ซึ่งต้องไปส่งและตามเอกสารเอง ผมก็ไม่เคยทำมาก่อนและในช่วงแรกก็มีรุ่นพี่มาสอนงานอีกเช่นกันซึ่งเป็นพี่คนเดียวกับที่สอนงานเอกสาร เราก็โดนใช้สารพัน โดยทำถูกๆผิดๆบางบนกันไป ซึ่งในตอนนั้นเราก็คิดว่านี้เป็นบททดสอบว่าเราควรจะทำงานนี้ต่อไปหรือไม่ โดยคิดว่าพี่ที่สอนงานเราก็ใจดีเหลือเกิน แต่ที่ไหนได้พี่เขาเอาเราไปนินทาว่าร้ายตลอด ซึ่งในช่วงแรกเราก็ไม่เชื่อหรอกว่าพี่เขาจะเป็นคนอย่างนี้เพราะได้รับฟังมาจากเพื่อนที่ทำงานอีกทีหนึ่ง แต่พอมีอยู่วันหนึ่งผมได้ยินเรื่องนี้กับหูของตัวเองถึงเชื่อว่าเพื่อนคนนั้นไม่ได้โกหกเราเลย ผมรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้มาก

จุดเปลี่ยน

           พอตกเย็นเราก็เศร้าๆกลับบ้าน แม่ก็รู้สึกผิดปกติเพราะผมเป็นคนที่เฮฮาตลอด แม่จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจึงเล่าเรื่องให้แม่ฟัง พอแม่ฟังจบจึงบอกว่า ในสังคมต่อไปนี้เราอาจจะต้องเจอเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้ กระทบกระเทือนใจมากกว่านี้ คนใสสังคมไม่ได้เป็นเหมือนที่ผ่านมา ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นลูกเจอกับสังคมและสิ่งแว้ดล้อมที่ดี แต่พอเราโตขึ้นสิ่งแวดล้อมก็จะต้องเปลี่ยนไป บางสิ่งเราอาจจะชอบแต่ไม่ใช่สิ่งที่ใช่สำหรับลูก ลูกต้องหาให้เจอว่าลูกชอบสิ่งไหนและลงมือทำสิ่งนั้นอย่างตั้งใจและลูกก็จะมีความสุขกับมัน พอได้ฟังจบก็มีแรงที่จะสู้ต่อในงานต่อๆไป พอจบโปรที่ทดสอบงานก็มีการประกาศว่ามีใครผ่านโปรบาง ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่ผ่านและก็มีรุ่นพี่มาแสดงความยินดีกับผมร่วมถึงพี่ที่ดูแลผมด้วย 

 

เรื่องที่ 2เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

             มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงที่เราว่างงานหลังจากที่จบ มีญาติของผมได้เปิดบริษัทและช่วงนั้นขาดคนดูแล ซึ่งผมเองก็ว่างงานอยู่ญาติจึงขอแรงไปช่วยงาน โดยบอกว่าไม่ได้มาให้ช่วยเปล่านะมีค่าขนมให้ด้วย ผมจึงตกลงไปช่วยงานแกดู พอไปถึงจริงๆกับพบว่างานนี้ยากกว่าที่เราคิดไว้มาก การดูแลคนงานซึ่งเป็นงานที่แตกต่างจากที่เราได้เรียนในตำราเล่มไหนๆ อีกทั้งเราไม่เคยมีประสบงานในการควบคุมและติดต่อประสานงานเลย ในวันแรกก็มีญาติแนะนำว่าถ้าเรามีปัญหาให้ถามพี่ตั้มได้พี่แกมีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้อยู่แล้วแต่ช่วงนี้งานเยอะเลยขอแรงหลานหน่อย พอแนะนำตัวกันเสร็จแกก็บรรยายลักษณ์งานว่าควรทำอย่างไรบาง พอถึงเวลาลงมือจริง กับติดปัญหาทุกอย่างแม้ว่าตอนอธิบายเราจะเข้าใจอย่างไงแล้วก็ตาม พี่ตั้มเลยบอกว่า ให้เราลืมเรื่องกฏระเบียบทุกอย่างที่อ่านมา หรืออธิบายมาให้เราคิดแต่เพียงใจเขาใจเราพอ ถ้าสิ่งไหนเราไม่ชอบก็อย่าไปทำกับลูกน้อง มองให้ลึกๆมองนอกจากใจตัวเองมากๆแล้วเราก็จะควบคุมคนอื่นได้ง่ายๆ    

นางสาววราภรณ์ เอื้ออุมากุล 555740612-1 Y#14 sec.12

เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

ในสมัยเรียนปริญญาตรี เมื่อทางคณะประกาศคะแนนวิชาแรก ผลคะแนนของข้าพเจ้าไม่เป็นที่น่าพอใจ ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมากเนื่องจากได้ทุ่มเทอ่านหนังสือไปมากย่อมคาดหวังว่าต้องได้ผลคะแนนดีตามมา จนคิดไปว่าการเรียนที่คณะนี้คงไม่ใช่ทางที่เราถนัดแน่นอน อีกทั้งช่วงปี1 มีสิ่งที่ต้องปรับตัวมากทั้งเรื่องเพื่อน เรื่องกิจกรรมต่างๆ ทำให้เกิดความท้อแท้จนคิดที่จะสอบเข้าคณะอื่นในปีถัดไป แต่ในช่วงที่กำลังเสียใจมีรุ่นพี่รู้ข่าวแล้วเข้ามาคุยกับเรา ได้ให้กำลังใจ พยายามพูดให้เรามองย้อนไปว่ากว่าที่เราจะเข้ามายังคณะแห่งนี้ได้ เราต้องพยายามแค่ไหน ทำไมคะแนนเพียงวิชาเดียวทำให้ถึงกับคิดที่จะลาออกเลย และพี่ยังพูดอีกว่า พี่เคยเห็นรุ่นพี่ตั้งหลายคนที่ได้คะแนนวิชาแรกเช่นนี้ไม่ดี แต่เขามีกำลังใจสู้ต่อจนสามารถเรียนจบและได้เกียรตินิยมด้วยซ้ำ  เมื่อได้คุยกับพี่คนนั้นทำให้เรากลับมาตั้งใจอ่านหนังสืออีกครั้งโดยพยายามตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นแต่รู้จักประมาณตนให้พอทำได้ เพื่อที่จะได้ไม่กดดันตนเองเช่นวิชาแรก ทำให้ข้าพเจ้าสามารถศึกษาจนจบและมีความสุขในการเรียน

เรื่องที่ 2เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

ในสมัยช่วงปีที่3 ได้มีโอกาสจัดงานรับเพื่อนใหม่ของคณะ ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดที่เคยทำมาเนื่องจากการรับเพื่อนใหม่ จะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 1000 คน ซึ่งข้าพได้ทำงานในฝ่ายสถานที่ มีหน้าที่ในการหาสถานที่ที่ต้องใช้ในการทำกิจกรรมและสถานที่เข้าพัก ซึ่งการทำงานในนามของคณะโดยประสานงานกับฝ่ายต่างๆในมหาวิทยาลัย ทำให้เรารู้จักระเบียบ ขั้นตอนให้การทำงานมากขึ้น แต่ซึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการทำงานครั้งนี้ได้สอนประสบการณ์ให้ข้าพเจ้ามาก คือในวันที่2ของการจัดงาน เกิดเหตุสุดวิสัยที่ทางเทศบาลคลองหลวงงดจ่ายน้ำประปาทั่วบริเวณมหาวิทยาลัย ทำให้คืนนี้จะไม่มีน้ำให้น้องอาบ ข้าพเจ้าซึ่งรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องพยายามหาทางแก้ไข โดยได้ร่วมประชุมกับเพื่อนๆในฝ่าย โดยได้ติดต่อไปยังฝ่ายสถานที่ของมหาวิยาลัยเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเก็บสำรองน้ำ ซึ่งทำให้ทราบว่ามีเพียง2ที่เท่านั้นที่มีการสำรองน้ำคือบริเวณสระว่ายน้ำ กับ ยิมเนเซียม1 ซึ่งสถานที่ทั้ง2นี้ไม่ใช่สถานที่จัดงานของทางคณะ ทางฝ่ายสถานที่ต้องพยายามติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยเพื่อขอเปิดใช้สถานที่อย่างเร่งด่วน และวางแผนการเดินทางของน้องๆจากสถานที่จัดงานมายังที่อาบน้ำให้รวดเร็วและปลอดภัยที่สุดที่สุด ซึ่งกว่าที่จะผ่านพ้นเหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆโดยใช้เหตุผลอย่างรอบด้าน 

น.ส. ภัทรภร จีระดีพลัง

น.ส. ภัทรภร  จีระดีพลัง

555740063-8  Sec.12

วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ (910746)

"Coaching"

 เรื่องที่ 1ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

ได้มีโอกาสไปเข้าค่ายพุทธธรรม ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดขึ้น พระท่านนำวีดีโอการคลอดลูกมาเปิดให้ดู และอธิบายว่ากว่าจะแม่จะเลี้ยงลูกมาจนเติบใหญ่ แต่งงานมีครอบครัว มาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย กว่าจะอุ้มท้อง คลอดเราออกมา กว่าจะเลี้ยงเรา ซึ่งเด็กบางคนตอนกลางคืนร้องไห้งอแง แม่ซึ่งเหนื่อยจากงานบ้านอยู่แล้วกลับต้องมาเลี้ยงลูกซึ่งร้องไห้ตอนดึกอีก แล้วพระท่านก็ได้ถามเพื่อนๆที่มาเข้าค่ายว่า เพื่อนคนไหนซึ่งแม่ตอนนี้ตายไปแล้วบ้าง ซึ่งก็มีเพื่อนหลายๆคนได้ออกไปหน้าเวที ซึ่งก็มีเพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า ตัวเค้านั้นเป็นกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก อยู่กับป้า พ่อเค้าได้ทิ้งเค้าไป ส่วยแม่นั้นได้ตายไปตั้งแต่เค้ายังเด็ก ซึ่งตัวเค้านั้นไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าแม่เลย พอถึงวันแม่ทีไร เพื่อนคนอื่นก็มีแม่ ได้ไปเที่ยวกับแม่ มีแม่มาหาที่โรงเรียน มีโอกาสได้กอดแม่ ได้บอกรักแม่ แต่ตัวเค้านั้นไม่มีโอกาสได้บอกรักแม่เลยสักครั้ง จึงอยากบอกเพื่อนๆว่า บอกรักท่าน พาท่านไปกินอาหารดีๆ ทำดีกับท่านตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าท่านได้จากเราไปแล้ว ถึงจะพึ่งเห็นคุณค่าของท่าน ซึ่งในตอนนั้นได้สายเกินไปแล้ว

 

จุดเปลี่ยน จากเหตุการณ์ที่เพื่อนได้พูด เราก็กลับมาย้อนมองดูตัวเราเองว่า ถ้าเกิดว่าแม่ของเราไม่ได้อยู่กับเราแล้ว เราไม่มีโอกาสได้ทำดีกับท่าน เราคงมานั่งเสียใจภายหลัง เลยทำให้คิดได้ว่า ในเวลาที่แม่ได้อยู่กับเรา จึงทำดีกับท่านพาท่านไปกินอาหารอร่อยๆ มีเวลาให้ท่านบ้าง แค่นี้ท่านก็สุขใจแล้ว

 

เรื่องที่ 2    “ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น

ช่วงปิดเทอมแม่ก็ให้ไปฝึกงานกับอาที่บ้าน ซึ่งอานั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับกระจกและอลูมิเนียม โดยเรามีหน้าที่คีย์ข้อมูลยอดขายลงในระบบคอมพิวเตอร์ วันหนึ่งมีพนักงานคนหนึ่งอยากจะขอหัวหน้างานลาหยุด ซึ่งปกติร้านนั้นจะมีวันหยุดให้พนักงานหยุดได้อาทิตย์ละ1วัน แต่ต้องสลับสับเปลี่ยนวันหยุดกันไป แต่แล้วหัวหน้างานไม่ให้พนักงานคนนั้นลาหยุด ซึ่งพนักงานคนนั้นก็ไม่พอใจ จึงเขียนใบลาออก และได้ลาออกไป หลังจากนั้นเราก็ได้นั่งกินข้าวกับพนักงานที่เหลือจึงได้มีโอกาสนั่งคุยกัน ซึ่งทำให้ได้รู้ว่าความต้องการที่พนักงานอยากได้จากนายจ้างคือ อยากมีวันหยุด อยากเลิกงานเร็วๆ มาทำงานสายๆ ได้สวัสดิการและเงินเดือนเยอะๆ

 

 

จุดเปลี่ยน จากที่เจอเหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงได้รู้ว่า ทุกคนต้องมีแรงจูงใจในการทำอะไรสักอย่าง เผื่อจะได้เป็นแรงผลักดันให้เราไปถึงเป้าหมายที่วางไว้

น.ส.ชมพูนุช ปิตตะกาศ

Coaching

ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

เมื่อตอนเรียนปริญญาตรี ได้เข้าร่วมเป็นผู้นำเชียร์ของคณะ แต่ก่อนที่จะได้เป็นผู้นำเชียร์อย่างเต็มตัวนั้น ก็ต้องผ่านหลายๆกิจกรรม ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็มีความลำบากที่แตกต่างกันออกไป บางทีต้องซ้อมดึก ไม่ค่อยได้นอน ช่วงปิดเทอมก็ต้องซ้อม ไม่ได้กลับบ้าน จนทำให้เรารู้สึกท้อ แล้วก็ไปขอลาออก แต่เมื่อเราไปขอลาออก รุ่นพี่ผู้นำเชียร์ก็ได้พูดกับเราว่า ไม่เสียดายหรอ กว่าที่จะมาถึงจุดๆนี้ได้ ไม่ใช่ใครก็ได้นะที่จะมาเป็นได้ อีกไม่กี่กิจกรรมเราก็จะได้เป็นผู้นำเชียร์อย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งคำพูดเหล่านั้นทำให้เราได้คิด และรู้สึกดีขึ้น

ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น

เมื่อตอนเข้าเป็นพนักงานใหม่ที่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค รุ่นพี่ที่ทำงานได้สอนให้เรียนรู้งานอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายๆก่อน คือ ให้ยืนกดบัตรคิวให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ ต่อมาก็ให้มานั่งในเคาท์เตอร์บริการ โดยให้สังเกต เรียนรู้การทำงานของรุ่นพี่ว่าทำอย่างไร และต้องจดสิ่งที่เราเรียนรู้ลงไปในสมุดด้วย แล้วก็ลองให้รับลูกค้าจริงๆ ซึ่งตอนที่เรารับลูกค้าพี่เค้าก็คอยนั่งประกบเราอยู่ใกล้ๆ คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือในสิ่งที่เรายังไม่รู้ แรกๆก็ให้รับคิวชำระค่าบริการก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนไปเป็นคิวอื่นๆ ซึ่งจะมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งวิธีการที่จะพูดกับลูกค้า และยังมีโปรแกรมที่ต้องใช้อีกด้วย หลังจากนั้นประมาณ 1เดือน บริษัทก็ได้ส่งไปอบรมการใช้โปรแกรมที่บริษัทใหญ่ในกรุงเทพฯ การที่พี่ๆช่วยกันสอนเราก่อนนั้น เมื่อเราไปอบรมทำให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น และช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

น.ส.รินรชา     สมรรัมย์

555740070-1  sec.12

Coaching

(เขียนส่งนะคะ  ขออนุญาตแนบไฟล์ส่งคะ)

น.ส.ชมพูนุช ปิตตะกาศ

 

 

555740027-2 sec.12

Coaching

 

ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

 

เมื่อตอนเรียนปริญญาตรี ได้เข้าร่วมเป็นผู้นำเชียร์ของคณะ แต่ก่อนที่จะได้เป็นผู้นำเชียร์อย่างเต็มตัวนั้น ก็ต้องผ่านหลายๆกิจกรรม ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็มีความลำบากที่แตกต่างกันออกไป บางทีต้องซ้อมดึก ไม่ค่อยได้นอน ช่วงปิดเทอมก็ต้องซ้อม ไม่ได้กลับบ้าน จนทำให้เรารู้สึกท้อ แล้วก็ไปขอลาออก แต่เมื่อเราไปขอลาออก รุ่นพี่ผู้นำเชียร์ก็ได้พูดกับเราว่า ไม่เสียดายหรอ กว่าที่จะมาถึงจุดๆนี้ได้ ไม่ใช่ใครก็ได้นะที่จะมาเป็นได้ อีกไม่กี่กิจกรรมเราก็จะได้เป็นผู้นำเชียร์อย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งคำพูดเหล่านั้นทำให้เราได้คิด และรู้สึกดีขึ้น

 

ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น

เมื่อตอนเข้าเป็นพนักงานใหม่ที่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค รุ่นพี่ที่ทำงานได้สอนให้เรียนรู้งานอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายๆก่อน คือ ให้ยืนกดบัตรคิวให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ ต่อมาก็ให้มานั่งในเคาท์เตอร์บริการ โดยให้สังเกต เรียนรู้การทำงานของรุ่นพี่ว่าทำอย่างไร และต้องจดสิ่งที่เราเรียนรู้ลงไปในสมุดด้วย แล้วก็ลองให้รับลูกค้าจริงๆ ซึ่งตอนที่เรารับลูกค้าพี่เค้าก็คอยนั่งประกบเราอยู่ใกล้ๆ คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือในสิ่งที่เรายังไม่รู้ แรกๆก็ให้รับคิวชำระค่าบริการก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนไปเป็นคิวอื่นๆ ซึ่งจะมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งวิธีการที่จะพูดกับลูกค้า และยังมีโปรแกรมที่ต้องใช้อีกด้วย หลังจากนั้นประมาณ 1เดือน บริษัทก็ได้ส่งไปอบรมการใช้โปรแกรมที่บริษัทใหญ่ในกรุงเทพฯ การที่พี่ๆช่วยกันสอนเราก่อนนั้น เมื่อเราไปอบรมทำให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น และช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

                                                                                                                                น.ส.ฉํฐพร  ภูครองหิน   555740026-4  Y.14  Sec.12

"Coaching"

 

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

ตอนปีสองค่ะ กำลังป๊อปปี้เลิฟคุยกับคนๆหนึ่งความสัมพันธ์เริ่มต้นและเป็นไปในทิศทางที่ดี แล้ววันหนึ่งเขาก็บอกกับเราว่า เลิกคุยกันเถอะโดยไม่มีเหตุผล ตอนนั้นงงค่ะเพราะเข้าใจว่ากำลังช่วงในช่วงจีบกัน ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่แฮปปี้สุดๆ ก็เลยเสียใจค่ะ ยังกะคนอกหักทั้งๆที่ยังไม่เป็นแฟนกัน 555 ไม่กินข้าวไป 3-4วัน .

จุดเปลี่ยน ในช่วงเวลา 3-4 วันนั้นก็นั่งๆนอนๆเล่นอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ จนได้อ่านบทความหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนคนหนึ่งที่มีโรคประจำตัว จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่นักเรียนคนนั้นเขามีความฝันคือการได้เป็นหมอ แต่เมื่อเขาสอบติดแล้วเขากลับไม่มีโอกาสได้เรียนเพราะเขาเสียชีวิตก่อนที่จะได้ทำในสิ่งที่เขาฝันเลยทำให้นึกย้อนถึงตัวเองที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแต่กลับมานั่งทุกข์กับเรื่องอะไรก็ไม่รู้ นึกไปถึงครอบครัวที่รอเราอยู่ที่บ้าน นึกย้อนว่าเราเสียเวลามาสามสี่วันนี้เพื่ออะไร จากวันนั้นไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็จะไม่ปล่อยให้ใจหลงมัวเมาไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะชีวิตมันต้องดำเนินต่อไปค่ะ

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

เกิดขึ้นตอนเรียน ป.โท ค่ะ ตลอดชีวิตการเรียนที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กเป็นคนสบายๆในทุกๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องเรียนด้วย อาจจะเพราะคิดว่าตัวเองเรียนไม่เก่งเลยไม่ค่อยที่ใส่ใจกับมัน

 

จุดเปลี่ยน  จนตอนเรียน ป.โท เจอเพื่อนคนหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ยยย..ขยันว่ะ แล้วผลการเรียนเพื่อนคนนี้ก็ดีมากด้วย เรามองเห็นถึงวินัยในการทำการบ้าน การแบ่งเวลาอ่านหนังสือ การทำโจทย์ แล้วเราก็ลองทำดูบ้าง อาจจะไม่เต็มร้อยเท่าเพื่อน แต่ก็ทำให้เรามีวินัยในด้านการเรียนมากขึ้น ซึ่งผลการเรียนเราก็ดีขึ้น อยากขอบคุณเพื่อนคนนี้ที่ทำให้เราเรียนดีขึ้น ขอบคุณนะ  

นางสาวภัทรสินี จิตต์เจริญ รหัส 555740065-4 Sec.12 Y#14

นางสาวภัทรสินี จิตต์เจริญ

รหัส 555740065-4 Sec.12 Y#14

 

"Coaching"

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำแล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่เรียนอยู่ปี 4 แล้วต้องทำโปรเจค โดยจะมีคู่โปรคเจค 1คน  แต่อยู่กันคนละห้องเรียน เวลาเรียนไม่ตรงกัน อีกทั้งบางทีต้องเดินทางไปเรียนที่จังหวัดสุพรรณบุรีด้วย ทำให้เริ่มมีปัญหาในการวางตารางเวลาทำโปรเจคซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการทดลอง2เดือน ทำให้เกิดการเกี่ยงกันมาทำแลป แล้วก็ไม่พูดกันกับคู่โปรเจค ตอนนั้นรู้สึกกดดัน เครียด แล้วก็รู้สึกท้อ ทำให้โปรเจคหยุดชะงักไป อาจารย์ที่ปรึกษาเลยเรียกเข้าไปสอบถามว่าทำไมไม่รีบทำโปรเจค ก็เลยได้ระบายให้อาจารย์ฟัง จากนั้นอาจารย์ก็เรียกเพื่อนอีกคนเข้ามาแล้วให้ทำความเข้าใจกัน เอาตารางเรียนของแต่ละคนมาตกลงกันว่าใครจะรับผิดชอบอะไร วันไหนบ้าง แล้วก็ให้ดำเนินโปรเจคต่อ อาจารย์พูดไว้ว่า ในเมื่อพวกคุณเลือกที่จะเป็นคู่โปรเจคกันตั้งแต่แรก มีอะไรควรพูดกันให้เข้าใจ การเงียบใส่กันมันไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้น ยังไงพวกคุณทั้งสองคนก็เป็นลูปศิษย์ อาจารย์รับมาดูแลแล้ว ก็จะดูแลและส่งให้ถึงฝั่งให้ดีที่สุด หลังจากที่ได้คุยกันกับเพื่อนจนเข้าใจกันดีแล้ว ก็เริ่มทำโปรเจคต่อ แล้วก็สามารถทำให้ตัวเองภูมิใจคือเรียนจบภายใน3ปีครึ่ง

 

เรื่องที่2 เหตุการณ์ที่ทำให้เก่งขึ้น

 

อีกเรื่องคือตอนเรียนปริญญาตรีต้องมีการออกไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ซึ่งดิฉันเลือกไปฝึกงานที่โรงงานศรีฟ้าเบเกอรี่ ที่จังหวัดกาญจนบุรี วันแรกๆในการทำงานก็จะเป็นการอธิบายส่วนต่างๆของโรงงาน ลักษณะการทำงาน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ดิฉันได้รับผิดชอบด้านQCหน้างาน ซึ่งต้องลงไปปฏิบัติกันพนักงานจริงๆ โดยจะเปลี่ยนแผนกเมื่อครบกำหนดตามตารางสลับกับเพื่อนที่ไปฝึกงานร่วมกัน แรกๆก็มีสนุกกันการทำงานในแผนกต่างๆ พี่เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลก็ให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี แต่พอช่วงท้ายๆของการฝึกงานก็เกิดความสงสัยว่าทำไมเราไม่ได้เปลี่ยนแผนก หรือพอเปลี่ยนไปอยู่แผนกอื่นก็จะถูกเรียกตัวกลับมาช่วยงานแผนกเดิม  ก็คิดไปต่างๆนานาว่าตัวเองจะไม่ผ่านการฝึกงานหรือเปล่า เริ่มไม่มีความสุขในการทำงาน พี่เลี้ยงเลยเรียกขึ้นไปคุยด้วยก็เลยถามตามที่ตนเองสงสัย พี่เขาเลยบอกว่าเพราะเราทำหน้าที่ในแผนกนั้นได้ดี เรียนรู้เร็ว เกิดความผิดพลาดจากแผนกนั้นน้อยลง ทำให้พี่ๆเขาไว้ใจและวางใจให้ไปดูแลแผนกนั้นแทน  หลังจากได้ฟังรู้สึกดีใจมากที่สิ่งที่เราเก็บเกี่ยวจากการทำงานจริงๆได้นำกลับมาใช้ ก่อนจะจบการฝึกงาน ผู้จัดการโรงงานเรียกตัวเข้าไปคุยว่าเรียนจบแล้วสนใจมาทำงานที่นี่ต่อไหม ก็เกิดความลังเลยเพราะมันอยู่ไกลบ้าน อีกทั้งอยากไปเรียนรู้ในสายการผลิตอย่างอื่นบ้างจึงขอเวลาตัดสินใจ จนได้มาเรียนต่อปริญญาโท ผู้จัดการโรงงานก็ติดตามข่าวสารเราตลอดก็แซวว่าตั้งใจเรียนนะ มารับช่วงต่อไวๆ เอาทั้งการบริหารกับงานการผลิตไปควบคู่กันให้ได้นะ 

นายชาคริต หลายทวีวัฒน์ 555740610-5 Sec.12

นายชาคริต หลายทวีวัฒน์

555740610-5 Sec.12

Push&Pull in Group 3 persons.

 

ผมได้มีโอกาสไป Work & Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐNorthcarolina ไปทำงานในตำแหน่ง Stocker คล้ายกับการจัดของขึ้นShelf แล้วมีหัวหน้ามาคุมงาน ซึ่งเป็นคนที่เฮี้ยบมากจนเหมือนกันคนใจร้าย คอบควบคุมเราทุกอย่างให้เป็นไปในแบบที่เขาต้องการมันจึงเป็นแรงกดดันมหาศาลทำให้ผมตั้งใจยิ่งกว่าเดิมในการทำงาน  ทำให้ผมทำงานได้ดียิ่งขึ้นครับ

นายโชกุล วิริยาธนาโชติ

นายโชกุล  วิริยาธนาโชติ

555740030-3       Sec.12

“Coaching”

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                ต้องย้อนกลับไปตอนสมัยเป็นหนุ่มวัยล่ะอ่อน ตอนนั้นเพื่อนของผมโดนแฟนสาวสวมเขาให้ ซึ่งในเวลาต่อมาทำให้เพื่อนของผมคนนี้ชวนผมไปหาดื่มสุราย้อมใจ จนเมื่อดื่มไปได้สักพักเงินในกระเป๋าก็หมด เพื่อนผมจึงได้ชวนผมไปกดเงินที่ตู้ ATM ซึ่งตอนนั้นผมก็มีอาการเมา มาก ถึง มากที่สุดด้วย และขณะที่ผมยืนรอเพื่อนกดเงินที่ตู้ ATM ผมก็ได้เหลือบไปเห็นถังขยะใบใหญ่ใบหนึ่ง โดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครอยู่ข้างหลัง ผมเกิดอาการหมั่นไส้ถังขยะใบนั้น ผมจึงได้เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วก็เตะถังขยะใบนั้นล้ม (นี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ อิอิ) พอเพื่อนผมกดเงินเสร็จก็มองไปเห็นรถโล่ของตำรวจที่กำลังยกรถจักรยานของผมและเพื่อนขึ้น จากนั้นคุณตำรวจก็เดินเข้ามาแล้วบอกว่าให้เพื่อนผมและตัวผมไปโรงพัก ในตอนนั้นจากที่กำลังเมาได้ที่กลับส่างเมาขึ้นมาทันทีเลย เมื่อถึงที่โรงพัก ตำรวจก็ตั้งข้อหาทะเลาะวิวาท (กับถังขยะ) เมาแล้วขับ (จักรยาน) ซึ่งหากไม่มีเงินประกันหรือมีผู้ประกันตัวก็จำเป็นต้องขึ้นศาลในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าและคืนนี้ก็ต้องนอนซังเตหนึ่งคืน ตอนนั้นผมรู้สึกหดหู่อย่างมาก เงินก็ไม่มีแล้วเพราะเอาไปกินเหล้าหมด ส่วนคนที่จะมาประกันก็ไม่รู้ว่าใครจะมาเพราะตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว ผมและเพื่อนนั่งครุ่นคิดอยู่นานก็เลยคิดได้ว่า ผมพอมีคนรู้จักคนหนึ่งนอนดึกด้วย และมีเงินด้วย ก็คือ เฮียกิ้มที่ขายโจ๊กรอบดึก ซึ่งเป็นร้านประจำของผม ผมจึงได้โทรหาเฮียแก เฮียแกก็เลยขอสายคุยกับตำรวจ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเฮียแกพูดอะไร แต่เมื่อคุณตำรวจคุยโทรศัพท์กับเฮียกิ้มเสร็จคุณตำรวจก็ได้ปล่อยและพาผมกับเพื่อนมาส่งที่หอพัก เป็นอันว่าวันนั้นผมไม่ได้นอนคุกและไม่ได้เสียเงินค่าประกันตัวสักบาท เหตุการณ์ในครั้งนั้นหากไม่มีเฮียกิ้มผมก็ต้องนอนซังเตไปคืนหนึ่ง จึงอยากขอกราบขอบพระคุณเฮียกิ้มมา ณ ที่นี้ ไม่ว่าเฮียจะได้อ่านหรือไม่ได้อ่านผมก็ขอขอบคุณในบุญคุณที่เฮียช่วยผมรอดจากซังเตในเวลานั้นด้วยครับ

จุดเปลี่ยน

                จากเหตุการณ์นั้นที่เกิดขึ้นทำให้ผมได้นั่งคิดว่าบางครั้งการเป็นคนที่มีคนรู้จักและรู้จักคนเยอะๆอาจจะมีประโยชน์มากกว่าการที่จะเป็นคนเก่งแล้วอยู่อย่างโดดเดี่ยวด้วยซ้ำไป

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                เกิดขึ้นตอนที่ผมอยากเป็นนักกีฬาของโรงเรียน (เพื่อโชว์สาว) ซึ่งในตอนที่ผมสมัครครั้งแรกนั้นผมไม่ติดทีมของโรงเรียนผมเสียใจมากทั้งๆที่ คนที่ติดทีมตอนนั้นมีแต่พวกพี่ๆ ที่อาศัยอยู่แถวหมู่บ้านใกล้ๆกับผม ซึ่งผมก็เตะกับพวกพี่ๆแกทุกวัน หลังจากที่ผมไม่ติดพวกพี่ๆ ก็มาคุยกับผมให้กำลังใจผม บอกผมว่าไม่เป็นไรปีหน้าเอาใหม่ หลังจากนั้นผมก็ซ้อมหนักขึ้นๆ จนเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปีผมก็มาคัดทีมของโรงเรียนอีกครั้ง ผลปรากฎว่าผมติดทีมโรงเรียน และเป็นตัวจริงมาโดยตลอด

จุดเปลี่ยน

 

                จากกำลังใจของคนรอบๆข้าง และความขยันหมั่นซ้อมทำให้ไม่ว่าอุปสรรคเป็นอะไรเราก็สามารถที่จะผ่านมันไปได้ ดั่งเช่นคำที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น”

นาย ศักดิ์ประชา มณฑาวรุณรุ่ง 555740085-8 Y.14 Sec.12

นาย ศักดิ์ประชา   มณฑาวรุณรุ่ง  555740085-8  Y.14 Sec.12

เรื่องที่ 1

                เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในการทำงาน ทำให้มีความสับสน คิดมาก รู้สึกไม่ดีในการทำงาน จึงได้ไปคุยกับแม่ แม่เลยพูดคุยถึงปัญหา มีประโยคหนึ่งที่ทำให้กลับมาคิดแล้วมีความรู้สึกที่ดีขึ้นพร้อมที่จะทำงานอย่างมีความสุข คำพูดที่ว่า “ปัญหาทำให้เราเข้มแข็งขึ้น”

เรื่องที่ 2

 

                เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีพี่ที่ผมสนิทและต้องการให้ผมจริงจังกับการทำงาน การค้นหว้าหาความรู้ในการทำงานด้านการลงทุน มีคำพูดหนึ่งของพี่ที่ทำให้สะกิดใจผม คือ ทำอะไรให้จริงจังหน่อย เมื่อไหร่จะเอาจริงซักที

สิริฉัตร มุระดา รหัส 555740092-1 Sec. 12

 

นางสาวสิริฉัตร  มุระดา 

รหัส 555740092-1    sec.  12

 Positive organization development

Coaching 

 เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                ในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ปริญญาตรี ได้สอบเข้าในคณะที่ไม่ได้อยากเรียนเป็นสายวิทยาสาสตร์ เพราะเป็นคนที่ไม่เก่งคำนวณ แต่ด้วยความที่ก็ไม่รู้จะเรียนคณะอะไร ก็เลยเรียนไปดูก่อน หลังจากที่เรียนผ่านไปได้ 2ปี มี 1วิชาที่ดรอปมาตลอด คือวิชาเคมี ด้วยความที่เป็นวิชาที่ตัวเองไม่ชอบและเพื่อนคนอื่นๆก็เรียนไม่ผ่านเหมือนกันหลายคน แต่หลังจากซัมเมอร์นี้ไม่ผ่านจะทำให้เรียนไม่จบ ภายใน 4 ปีเพราะยังมีเคมีอีกหลายตัวที่ต้องเรียน ดังนั้นคุณป้าของดิฉันเองจึงขอพูดคุยด้วย ว่าถ้าไม่ชอบจริงๆจะย้ายคณะหรือมหาลัยไหม เรียนคณะที่ชอบหรือที่อยากจะเรียน อยากจะทำงานอะไรที่เราจะอยู่หรือใช้ชีวิตกับมันได้ หลังจากที่ได้พูดคุยกับคุณป้า ดิฉันจึงได้คิดทบทวนและตอบคุณป้าไปว่าที่ผ่านมายังพยายามไม่เต็มที่เลย ขอพิสูจน์ตัวเองในการเรียนช่วงซัมเมอร์นี้ ถ้าไม่ผ่านจะยอมลาออก แต่ผลสุดท้ายดิฉันได้เรียนคณะนี้ต่อและจบภายใน 4ปี

เรื่องที่ 2: เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                ในช่วงชีวิตปริญญาตรี ช่วงชั้นปีที่ 3 คณะได้มีการออกร้านในงานประจำปีของทางมหาวิทยาลัย โดยนิสิตชั้นปีที่ 3 เป็นหัวหน้าโครงการเพื่อจัดการเงินทุนเข้าสโมสรนิสิต เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการรับน้องตลอดทั้งปีการศึกษา โดยการออกร้านทางคณะเราได้ทำเป็นร้านอาหาร ขายอาหารทะเล โดยแบ่งหน้าที่รับผิดชอบออกเป็นฝ่ายต่างๆ โดยดิฉันมีหน้าที่รับผิดชอบในฝ่ายบัญชี ซึ่งการออกร้านในครั้งนี้เป็นการจำลองเหตุการณ์ร้านอาหารขนาดใหญ่มีโต๊ะจำนวน 120 โต๊ะ เราได้เรียนรู้การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การบริหารจัดการเรื่องของสด การหมุนเวียนโต๊ะในร้านให้เพียงพอต่อลูกค้าในระยะเวลาที่จำกัด  ทำให้เรารู้จักการทำงานเป็นทีม ความสามัคคี การรับฟังคามคิดเห็นของผู้อื่น ทำให้เราฝึกความอดทน

พีรพงศ์ โชติโกศัยกานนท์

นายพีรพงศ์ โชติโกศัยกานนท์ 

555740062-0 sec.12

Coaching

เรื่องที่ 1 ตอนที่ตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

เป็นตอนที่เราอกหักและรู้สึกผิดหวังมากๆ พอรู้เรื่องว่าแฟนมีคนอื่น ก็เสียใจ ไม่กินข้าว เอาแต่นั่งเศร้า แล้วก็ร้องไห้ งานการไม่ทำ เฉื่อยชา พี่ๆเพื่อนๆที่ทำงาน ก็ช่วยกันดูแล คอยปลอบ ตอนแรกก็ยังทำใจอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร แต่หลายๆคำพูดจากพี่ๆเพื่อนๆ ก็ทำให้เราพยายามกลับมาเป็นเหมือนเดิม เช่นว่า พี่เคยผ่านมาแล้ว มันไม่ตายหรอก เวลาจะช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้น ซักวันจะเจอคนที่ดีกว่านี้ กินอะไรบ้างเดี๋ยวก็เหี่ยวหมดหรอก และพอบอกเรื่องนี้กับแม่ แม่ก็พูดให้กำลังใจเราอย่างมาก แม่บอกว่าแม่ไม่เคยแคร์หรอก เราเก่งเราดี ถ้าเค้าไม่สนใจเราแล้ว ก็ปล่อยเค้าไป หาคนใหม่ ไม่เห็นจะต้องมานั่งเสียใจ้ลย การอกหักครั้งนั้น ทำให้ผมน้ำหนักลงไปอีกเกิอบๆ 5 กิโล พอผมทำใจได้ โดยการไปนอนห้องเพื่อน ไปออกกำลังกาย ว่ายน้ำ สังสรรค์เฮฮา มันทำให้ผมกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง และได้รับรู้และเข้าใจกับบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตว่า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าตัวเราเอง

เรื่องที่ 2 ตอนที่ใครซักคนทำให้เราเก่งขึ้น

เป็นตอนที่เข้าไปทำงานใหม่ๆ ด้วยการที่คนที่ทำงาน จบมาคนละการศึกษา และคนละงานที่รับผิดชอบ แต่ต้องมาสอนผมเหมือนกัน ทำให้การทำงานเข้าใจยากเล็กน้อย งานที่ผมต้องทำได้คือ งานที่ทำงานเป็นกะ แข่งกับเวลา ดังนั้นตอนแรกผมต้องรีบทำมากๆให้เสร็จทันเวลา แล้วต้องไปทำอย่างอื่นต่ออีก ทำให้ผมเครียดมาก เพราะเวลาเราทำนั้น บางที เราต้องนึกถึงความถูกต้องด้วย นึกถึงว่า ค่าที่ได้จากการตรวจสอบนั้น ถูกต้องหรือยัง เพราะส่งผลกับหลายๆอย่าง เช่น ความน่าเชื่อถือของห้องแลป ดังนั้น พี่อีกฝ่ายก็เข้ามาช่วยเหลือและอธิบายการทำงาน ทำให้เราเข้าใจ และรู้ว่าเราควรทำอย่างไร จึงจะถูกต้องและรวจเร็ว

.. จิรัตติกาล   มีทอง , 555740003-6 , Y#14 , Sec.12

 

               แต่ก่อนจะเป็นคนที่ใจร้อนมาก  ขี้โมโห โกรธง่าย อารมณ์แปรปรวน ทำอะไรไม่คิด มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ไม่ถูกใจหรือไม่ได้ดั่งใจนิดหน่อยก็จะเกิดความร้อนใจและอารมณ์ไม่ดี เวลาจะทำอะไรก็ไม่ค่อยคิดก่อนที่จะทำ แต่พอได้มารู้จักเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิท  เพื่อนคนนี้จะเป็นคนที่มีนิสัยแตกต่างกับเราโดยสิ้นเชิง เพื่อนจะเป็นคนที่ใจเย็นมาก เวลาที่จะทำอะไรจะคิดทบทวนให้ดีก่อนเสมอว่าจะมีผลกระทบอะไรตามมาบ้างก่อนที่จะลงมือทำ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีตามความเป็นจริง มีสติและมีเหตุผล มีวันหนึ่งเพื่อนก็ได้พูดกับเราว่าเหนื่อยไหมที่ใช้แต่อารมณ์ตัดสินทุกอย่าง โกรธในเรื่องง่ายๆ และใจร้อนแบบนี้ เพื่อนบอกกับเราว่าในลองทำใจให้เย็นๆ มีสติ ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ หากเรามีสติมีเหตุผลมากขึ้นจะทำให้ใจเราสงบไม่ทุกข์กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง พอเราได้ฟังที่เพื่อนพูดแล้วและลองนำมาปฏิบัติดู ทำให้เราคิดได้ว่าความใจร้อนและทำอะไรไม่คิดทำให้จิตใจเราไม่สงบและไม่มีสติ หากเราลองทำใจให้เย็น มีสติและใช้เหตุผลในการแก้ปัญหามากกว่าการใช้อารมณ์ จะทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้และไม่ต้องทุกข์ร้อนใจกับอารมณ์ที่ร้อน ตั้งแต่นั้นมาทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีมากขึ้น มีสติและมีเหตุผลในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช้แต่อารมณ์เหมือนเคย และเวลาจะทำอะไรจะคิดก่อนทำเสมอ

นางสาว รจกร มนูประเสริฐ  

555740067-0 Y#14 Sec.12

COACHING

1.เวลาที่รู้สึกตกต่ำแล้ว มีเหตุการณ์ทำให้ดีขึ้น

        - เมื่อตอนที่ทำงานครั้งแกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างฝ่ายออกแบบ แล้วต้องใช้วิชา Drawing ในการทำงานแผนกนี้มาก แต่วิชานี้เคยเรียนตั้งแต่สมัยปีที่ 1 เทอมแรกและเป็นแค่พื้นฐานเท่านั้น เมื่อเข้าภาควิชาวิศวกรรมโยธาก็จะได้เรียนแต่วิชาสายโครงสร้างอื่นๆ มีแต่คำนวณไม่ได้ใช้วิชา Drawing เลย จึงทำให้ลืมคำสั่งไป งานแรกที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคือ งานวางระบบสุขาภิบาลของบ้านทาวเฮ้า 2 ชั้น ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน กังวลมากเพราะไม่มีความรู้อะไรเลย Autocad ก็ลืมไปหมดแล้ว ไปปรึกษาพี่ๆสถาปัตย์เขาก็สอน แต่เขาก็บอกแบบภาษา Autocad ซึ่งถ้าไม่ได้ฝึกฝนใช้งานบ่อยๆก็จะไม่รู้เรื่องเลย แต่ว่าพี่หัวหน้างานซึ่งเป็นวิศวกร เขาได้ให้หนังสือ Autocad มาเล่มนึงและบอกว่า แต่ก่อนตอนมาแรกๆพี่ก็ไม่รู้อะไรเลยเหมือนน้องแหละ อาศัยต้องอ่าน ต้องค้นคว้า ต้องเรียนรู้ให้มากๆ ไม่เข้าใจอะไรต้องถาม และถามจนกว่าจะเข้าใจ และสามารถเอาไปทำเองได้ พี่ๆพร้อมที่จะสอนตลอดเวลา จากนั้นเราก็มาอ่านดูมาฝึกฝนและลองใช้คำสั่งง่ายๆในการทำงานก่อน จนเริ่มคล่องและสามารถปรับใช้คำสั่งยากๆเพิ่มขึ้นได้

2.เหตุการณ์ที่ทำให้เก่งขึ้น

      - ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ข้างต้น จากนั้นเราก็มาอ่านดูหลายๆรอบ มาลองทำจริงมาฝึกฝนและลองใช้คำสั่งง่ายๆในการทำงานก่อน จนเริ่มคล่องและสามารถปรับใช้คำสั่งยากๆเพิ่มขึ้นได้ ทำให้เราทำงานได้ไวขึ้น มีข้อผิดพลาดน้อยลง

ธัญญาภรณ์ ประยงค์เพชร

นางสาวธัญญาภรณ์ ประยงค์เพชร 555740043-4  Sec.12

 

World Café –Coaching

 เรื่องที่ 1 ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

                ในสมัยเรียนปริญญาตรี ซึ่งดิฉันศึกษาอยู่ปีที่ 3 ในช่วงซัมเมอร์ดิฉันได้มีโอกาสไปฝึกงานที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่ง โรงเรียนกวดวิชานั้นเป็นโรงเรียนกวดวิชาของน้าดิฉันเอง ที่ดิฉันได้เลือกไปฝึกงานที่นั่น เพราะคิดว่าตัวเองใช้เส้น จะได้ฝึกงานแบบสบายๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก พอเริ่มไปฝึกงานดิฉันก็ทำตัวเช่นนั้น คือ แต่งตัวสบายๆชิลๆ จะไปตอนไหนก็ไป ซึ่งดิฉันเป็นคนที่ขี้เกียจ เกรดก็ไม่ได้มากอะไรด้วย นอนตื่นสาย อยากไปก็ไป ไม่ไปก็ไม่ไป ดิฉันได้ฝึกงานสักพัก สงสัยน้าคงจะทนไม่ไหวกับการกระทำดิฉัน จึงได้ว่ากล่าวตักเตือนอย่างรุนแรง ประมาณว่า ตื่นก็สาย เกรดก็น้อย จะไปทำมาหากินอะไรกับเขาได้ ไร้สาระไปวันๆดิฉันได้ยินเช่นนี้ จึงรู้สึกเสียใจมาก ร้องไห้ฟูมฟาย เพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนว่าดิฉันแรงขนาดนั้น ดิฉันรับไม่ได้จริงๆ แต่คำพูดเช่นนี้เป็นการตอกย้ำดิฉันให้ทำตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันตื่นแต่เช้า แต่งตัวถูกกาลเทศะ ตั้งใจฝึกงานมากขึ้น อะไรที่สามารถทำได้ ดิฉันก็ทำ หลังจากฝึกงานเสร็จในแต่ละวัน ดิฉันก็กลับมาช่วยน้าทำงาน พยายามช่วยเท่าที่ตัวเองจะทำได้ และหลังจากฝึกงานเสร็จได้กลับมาบ้าน ก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำงาน ถึงจะเหนื่อยบ้าง แต่ดิฉันก็ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะได้ช่วยผู้ที่มีพระคุณกับดิฉัน

 

เรื่องที่ 2    “ ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น

 

                ในสมัยประถมศึกษา ดิฉันได้ไปเรียนในตัวเมือง โดยได้ไปอาศัยอยู่กับคุณตาคุณยายและน้า ซึ่งตอนเด็กๆดิฉันจะทำอะไรไม่เป็นเลย เพราะยังเด็กอยู่ด้วย แต่พอได้ไปอยู่กับคุณตาคุณยาย คุณตาคุณยายก็ให้ดิฉันทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นซักผ้า หุงข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันทำอะไรด้วยตัวเองเป็น รวมถึงการค้าขาย ซึ่งน้าดิฉันได้มีร้านขายเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ ดิฉันก็ได้ทำงานเหล่านี้ตั้งแต่สมัยประถมศึกษา เช่น การรับสินค้า การนับสินค้าในแต่ละวันให้ตรงกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สแกนบาโค้ด รับจำนำโทรศัพท์ ส่งของให้ลูกค้า การไปธนาคาร ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ ซึ่งทำให้ดิฉันเก่งงานมากขึ้น พอจบประถมศึกษาดิฉันก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ทุกครั้งที่ดิฉันได้เยี่ยม ดิฉันก็สามารถช่วยได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องเริ่มใหม่ ดิฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นทักษะที่ติดตัวดิฉันไปตลอด

นายชาคริต หลายทวีวัฒน์ รหัส 555740610-5 Sec. 12

 นายชาคริต  หลายทวีวัฒน์

รหัส 555740610-5 Sec. 12

 

Positive organization development

 Coaching 

ผมได้มีโอกาสไปโครงการwork&travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐที่ผมไปคือ North Carolina  ผมไปทำงานในตำแหน่ง Stocker โดยมีหน้าที่คล้ายกับการจัดของขึ้น Shelf  แล้วจะมีหัวหน้าคอยคุมดูแล ซึ่งหัวหน้าที่ดูแลผมนั้น มีความเข้มงวด ต้องทำงานให้เป็นระบบ ระเบียบเรียบร้อย คอยคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามที่หัวหน้าต้องการ มันจึงเป็นแรงกดดันมหาศาล ท่ำให้ผมมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานยิ่งกว่าเดิม และสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น

นางสาวพัชราภรณ์  โคตรประทุม

รหัส 555740059-9 Sec.12 Y#14

 

"Coaching"

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำแล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

เรื่อง นี้เกิดขึ้นตอนที่เรียนอยู่ปี 1 แล้วเราสอบเข้าคณะที่เเม่และครอบครัวหวังไม่ได้  ทำให้เราไม่ยากเรียน  แม่เลยให้เรียนมหาวิทยาลัยใกล้บบ้าน และตั้งใจอ่านหนังสือและสอบใหม่  ด้วยความที่คิดว่าเดี๋ยวก็จะลาออก ก็ไม่สนใจเรื่องเกรด เพราะคิดว่าจะสอบใหม่ และครั้งนี้มั่นใจว่าจะสอบให้ได้ เลยทำตัวเกเรไม่ตั้งใจเรียน ทำให้เกรดต่ำ ติดโปรสูง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะสอบติดและได้เรียนที่ใหม่  เเต่สุดท้ายสอบไม่ติด เลยกลับมารับกรรมที่ได้ทำไว้  ที่สำคัญเห็นเกรดยิ่งตกใจ กลัวแม่เสียใจ กลัวเรียนไม่จบ เลยตั้งใจใหม่ว่าจะเรียนให้จบ เพราะคนอื่นเค้าจบได้ เรายังมีโอกาสเราก็ต้องทำให้ได้ และสุดท้ายเราก็จบจริงๆใน3ปีครึ่งแต่ติดที่ว่าเรามั่ว สลับวิชาเลยทำให้ปี4มีเรียนเพิ่มไม่กี่ตัว

 

เรื่องที่2 เหตุการณ์ที่ทำให้เก่งขึ้น

       เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ทุกครั้งที่ถ่ายเราก็คิดว่ามันสวย และได้บันทึกภาพที่เราเจอและประทับใจ  จนวันหนึ่งได้รู้จักกับพี่ที่เรียน MBA พี่เค้าสอนการถ่าย มุมมอง องค์ประกอบภาพว่า ภาพไหนสมบูรณ์ หรือ ภาพไหนไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เรามีทักษะ ความรู้ใหม่ๆที่เราไม่รู้ ทำให้เรามีภาพและมุมสวยๆในการถ่ายภาพ จากเมื่อก่อนที่ไม่ได้คิดอะไร และการถ่ายภาพทำให้ได้ตังค์ครั้งแรกรู้สึกภูมิใจมาก ถึงแม้จะไม่มาก แต่สิ่งสำคัญเราได้ความรู้ เพื่อน และมุมมองใหม่ๆที่เราสามารถเรียนรู้กับพี่ๆมาปรับใช้ในการถ่ายภาพให้ดียิ่งขึ้น

วรารัตน์ วงศ์เตชะ 555740074-3 sec.12 Y14

วรารัตน์ วงศ์เตชะ 555740074-3 sec.12 Y14

วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ (910746)

"Coaching"

เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

   ตั้งแต่เรียนจบพยาบาลก็ทำงานสายวิชาชีพพยาบาลที่โรงพยาบาลมาตลอด วันนึงก็คิดได้ว่า ทำไมชีวิตเราถึงต้องได้พักผ่อนไม่เป็นเวลาแบบอาชีพอื่นๆ จึงตัดสินใจลาออกเพราะเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถทำวิชาชีพอื่นได้ดีกว่านี้ จึงตัดสินใจไปสมัครงานเป็นผู้แทนขายยา แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่ง่ายเลยสำหรับอาชีพนักขาย ต่างกันมากกับอาชีพพยาบาล ถึงแม้นว่าจะใช้ความรู้พื้นฐานทางการพยาบาลอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด และต้องไปเทรนอาชีพนักขายให้เป็นภายในสามเดือน จากที่เคยทำงานประจำเป็น routine จนเคยชิน รู้สึกท้อและกังวลมากกลัวทำไม่ได้ รู้สึกว่าตนเองตัดสินใจผิด เพราะต้องมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองใหม่หมด ต้องรอบรู้ในทุกๆเรื่อง เพื่อให้เป็นผู้ขายที่ดี รู้สึกท้อทุกครั้งที่เข้าเทรน เพราะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลย

 

จุดเปลี่ยน  หัวหน้าคนที่รับเราเข้ามาทำงาน บอกกับเราคำนึงว่า "พี่เชื่อว่าเราทำได้ ได้ดีกว่าใครหลายๆคนในบริษัทนี้ ไม่งัันตอนที่พี่สัมภาษณ์งาน พี่ไม่รับเราเข้ามาทำงานแน่ๆ" หัวหน้าเป็นที่สร้างกำลังใจและเป็นแรงผลักดันที่ดีให้เรามานับจากวันนั้น จนวันนี้เราสามารถเปลี่ยนตัวเองจากพยาบาล มาเป็นนักขายได้อย่างเต็มตัวและภาคภูมิใจมากค่ะกับอาชีพใหม่ที่ได้เลือกให้กับตนเอง

                                                                                                       น.ส.ศิริพันธุ์ กัณหากุล

                                                                                                  555740088-2  Y.14 sec.12

Coaching

เรื่องที่1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรียนจบ ป.ตรีใหม่ๆแล้วเพื่อนหลายๆคนก็เริ่มหางานทำซึ่งงานที่เราอยากจะทำนั้นต้องใช้เกรดที่สูงถึงจะสามารถสมัครสอบได้ซึ่งเราจบมาด้วยเกรดที่ไม่มากนั้น วันหนึ่งพ่อก็ถามขึ้นมาว่า เรียนจบแล้วหนูคิดหรือยังว่าจะทำอะไรต่อ จุดนั้นทำให้ฉันคิดว่าเกรดแค่นนี้จะไปทำงานไรได้นะ ฉันรู้สึกเครียดมาก นึกถึงคำถามที่พ่อถามอยู่ตลอกเวลา จนวันหนึ่งเลยคิดว่าถ้าเราเรียนต่อล่ะแล้วตั้งใจเรียนทำเกรดให้ได้สูงๆเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดในอดีตคงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีในตอนนี้เลยตัดสินใจปรึกษาพ่อกับแม่ว่าจะขอเรียนต่อ พอพ่อกับแม่อนุญาต เราก็ดีใจ แต่คำถามที่ตามมาคือจะสอบติดหรือป่าวล่ะ ฉันก็หาข้อมูลจากสถาบันศึกษาต่างๆที่เปิดรับระดับปริญญาโท แล้วก็ไปสมัครไว้ ขณะที่กำลังหาอยู่นั้น ก็มีน้องทักเฟสเข้ามาว่า เป็นไงพี่สบายแล้วสิเเรียนจบแล้ว แล้วจะทำงานไรอ่ะพี่ เราเลยบอกน้องว่าพี่คิดว่าพี่จะเรียนต่ออ่ะ น้องเลยบอกว่า ดีแล้วๆ เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นคนที่อยากเรียนแล้วไม่ได้เรียนก็เยอะนะพอฟังน้องพุดจบก็นั่งคิดว่านั้นสิ เรามีโอกาสแล้วเราก้ต้องรีบคว้าไว้ให้ได้ หลังจากนั้นฉันก็เริ่มอ่านหนังสืออย่างหนักและคิดว่าไม่ว่าจะยังไงก็ชั่งฉันต้องสอบเรียนต่อให้ได้จนได้เข้าศึกษาต่อที่MBAได้สำเร็จ

    จุดเปลี่ยน จากความผิดพลาดที่เราละเลยสิ่งที่พ่อแม่บอกมันทำให้เราได้บทเรียนที่เจ็บปวดจากการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจและคำพุดของน้องที่ทำให้เราต้องพยายามเพื่อสิ่งที่ดีไม่ได้ทำเพื่อใครเลยนอกจากคนที่เรารักเท่านั้น

เรื่องที่2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรียนอยู่ม.ปลาย ขณะนั่งรอรถที่เอาไปล้างนั้นฉันและเพื่อนๆก็เข้ามานั่งรอที่ร้านกาแฟที่เขาจัดไว้ให้สำหรับคนที่มานั่งรอรถที่ล้าง เพื่อนฉัน2คนก็ชวนกันลุกขึ้นไปเลยพูลซึ่งตอนนั้นฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรมันเป็นโต๊ะคล้ายๆโต๊ะสนุ๊กแต่มีขนาดเล็กกว่าสักพักฉันเลยลุกเดินไปดูเพื่อนๆเลยกัน เพื่อนเล่นดูน่าสนุกมากพอเพื่อนบอกว่าดูนะๆจะเอาให้ลงหลุมนี้มันก็ยิงลงจริงๆ ฉันเลยขอเพื่อนลองเล่นดู แัต่ยิงไม่โดนลูกเลย รู้สึกโมโหละโกรธตัวเองมาก ถามตัวเองว่าทำไมถึงทำไม่ได้ล่ะ เพื่อนเลยบอกว่าตอนแรกเพื่อนก็ทำไม่ได้เหมือนกันเนี้ยแหละ คนเรามันก็ต้องฝึกต้องหัดไม่มีใครเป็นแต่แรกหรอก หลังจากวันนั้นฉันก็เริ่มหัดเล่น เล่นทุกวันแข่งกับเพื่อนๆจนเริ่มที่จะมีบางเกมส์ที่เล่นชนะเพื่อนบ้างก็รู้สึกดีใจมากๆ จนวันหนึ่งฉันก็มาเล่นกับเพื่อนตามปกติแล้วก็มาเจอพี่ชายของเพื่อนพี่เขาเลยขอเล่นด้วย เราก็เลยเล่นกับพี่เขา ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองเล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำพี่เขาเล่นเก่งมาก ฉันเลยบอกพี่เขาไปว่าพี่ค่ะเล่นเก่งมากเลยอ่ะสอนหนูบ้างสิ พี่แกบอกว่าพี่ไม่ได้เก่งหรอกคนเราอ่ะมันต้องพัฒนาอยู่ตลอดนั้นแหละไม่มีใครเก่งหรือดีที่สุดวันหนึ่งถ้าหนูฝึกบ่อยๆหนูอาจจะชนะพี่ก็ได้หลังจากวันนั้นฉันก็ยังคงฝึกเล่นหัดไปเรื่อยๆ จนมาเจอพี่เขาอีกที่คราวนี้ฉันเล่นชนะพี่เขาด้วยพี่เขาเลยบอกเห็นไหมหนูเก่งขึ้นเยอะเลยตั้งใจฝึกไปเรื่อยๆนะ คนเราถ้ามีความพยายามอะไรๆก็สำเร็จทั้งนั้นแหละ

จุดเปลี่ยน คำพุดของพี่เขาทำให้ฉันได้คิดว่ามันก็ใช่จริงๆแหละว่าไม่มีใครเก่งที่สุดหรือดีที่สุดในเรื่องใดๆก็ตามอยู่ที่ความพยายามที่จะทำและการพัฒนาจะทำให้เราสามารถทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้และสามารถทำได้สำเร็จด้วย

 

 

                                                                   PHAN NGUYEN MINH HUY 555740600-8 Y.14 S.12

คนที่สามารถทำให้เรา เปลี่ยนทัศนะคติ  เปลี่ยนมุมมอง ปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเองให้ดีขึ้น

 

คือท่านพ่อผมเอง เป็นคนแบบมีเหตุมีผลค่อยรับฟังทุกเรื่องที่เกิดขึ้นของลูกแล้วไม่ค่อยว่าแต่จะช่วยหาวิธีแก้ให้เสมอ ใช้การเล่าเรื่องเป็นการสอนให้ลูกได้ปรับปรุงตัวเอง ซึ่งมีประโยชน์หนึ่งที่ทำให้ผมต้องจำไปตลอดก็คือ ลูกอยากทำอะไรก็ได้เพียงแต่ขออย่าให้คนอื่นไปบอกกับพ่อว่าลูกคูณเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ ที่ทำให้ผมเวลาไปทำอะไรก็ต้องคิดไว้ก่อนว่าสิ่งที่ทำมันถูกหรือผิดอยู่เสมอ

ชื่อนางสาวภัทรวดี  ฉัตรธนะพานิช

รหัส555740064-6  Sec.12 Y#14

วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ (910746)

"Coaching"

 เรื่องที่ 1 “ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

                ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ตำแหน่งงานเจ้าหน้าที่สรรหาและคัดเลือก  ซึ่งเป็นตำแหน่งงานที่ต้องมีการติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่และนักศึกษาจำนวนมาก  และต้องชักชวนหรือจูงใจให้นักศึกษาสนใจในการมาสมัครงานกับทางบริษัท ซึ่งในการทำงานแต่ละครั้งก็ต้องทำงานติดต่อประสานงานคนเดียวลงรับสมัครคนเดียว เพราะว่าเป็นจ้าหน้าที่สรรหาคนเดียวที่ประจำที่ขอนแก่น ดังนั้นทีมจะอยู่ที่บริษัทที่ต่างจังหวัด  โดยปกติแล้วเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกไม่กล้าพูดกับคนจำนวนมากๆ กลัว ตอบไม่ได้ กลับให้ข้อมูลผิด  กลัวไปหมด จึงคิดว่าในการทำงานแบบนี้เป็นเรื่องยากสำหรับตัวเอง เป็นกังวลมาก  ไม่กล้าที่จะทำงาน  แต่พอได้คุยและปรึกษากับแม่ แม่ก็บอกว่า  ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ลองทำดู ไม่ลองเราก็ไม่รู้ว่าเราจะทำได้หรือไม่ได้ ไม่แน่บางทีเราทำงานแล้วเราอาจจะชอบและสนุกกับงานที่ทำก็ได้  เมื่อมีโอกาสก็น่าจะลองดู  หลังจากนั้นก็ได้ตอบตกลงกับทางบริษัท เพื่อเริ่มงาน  ซึ่งหลังจากที่ได้ลองทำงานตำแหน่งนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองก็สามารถทำตำแหน่งงานนี้ได้  และตอนนี้ก็ทำงานตำแหน่งนี้มาสองปีแล้ว

 

จุดเปลี่ยน คำพูดแม่ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ลองทำดู ไม่ลองเราก็ไม่รู้ว่าเราจะทำได้หรือไม่ได้  ไม่แน่บางทีเราทำงานแล้วเราอาจจะชอบและสนุกกับงานที่ทำก็ได้  เมื่อมีโอกาสก็น่าจะลอง” 

 

เรื่องที่ 2    “เหตุการณ์ที่ทำให้เก่งขึ้น

                ก็สืบเนื่องจากการทำงานที่บริษัท เคยประสานงานผิดพลาด แต่พี่หัวหน้างานไม่ได้ตำหนิอะไรแต่ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาเรา พี่หัวหน้างานบอกว่า ไม่เป็นไรผิดพลาดนิดหน่อยเดี๋ยวค่อยๆเรียนรู้ไปแล้วกันนะ   แต่ตัวเราคิดว่า ขนาดเรื่องเล็กๆ เรายังทำพลาด เราจะรับผิดชอบงานใหญ่กว่านี้ได้อย่างไง หลังจากนั้นเวลาทำงานอะไร  จะคิดมากตลอดและพยายามทำงานให้ออกมาให้ดีที่สุด จะสังเกตและเรียนรู้ในการทำงานตลอด   หลังจากนั้นมา ในการทำงานบางครั้งพี่ที่ทำงานด้วยกันก็ ชมว่า  พี่ชอบการทำงานของเรานะเราทำงานละเอียดดี   บางครั้งหัวหน้างานก็มาปรึกษาเราเรื่องงานกับเรา   และได้รับความไว้วางในการทำงานหลายๆอย่าง จากพี่ๆและหัวหน้างาน        

 

 

จุดเปลี่ยน   ไม่เป็นไรผิดพลาดนิดหน่อยเดี๋ยวค่อยๆเรียนรู้ไปแต่เราคิดว่า ขนาดเรื่องเล็กๆ เรายังทำพลาด เราจะรับผิดชอบงานใหญ่กว่านี้ได้อย่างไง  

นายสุเทพ อ้นแก้ว รหัส555740094-7 sec.12

นายสุเทพ  อ้นแก้ว

รหัส555740094-7  sec.12

World Café –Coaching

ผมได้มีโอกาสมาช่วยงาน พ่อ กับแม่ทำธุรกิจที่บ้าน ซึ่งเป็นธุรกิจทำไร่อ้อย ตอนนั้นผมเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ มาทำอยู่บ้าน พ่อผมก็ให้เข้าไร่ไปอยู่กับคนงาน ทำงานทุกอย่างที่คนงานทำ ตั้งแต่การปลูกอ้อย  แบกอ้อย หว่านปุ๋ย  ฉีดยา ทำทุกอย่าง จนรู้สึกว่าทำไมเราต้องทำด้วย ในเมื่อเรามีคนงานอยู่แล้ว  พ่อผมจึงให้เหตุผลมาว่า คนเราจะเป็นหัวหน้าที่ดีได้นั้น  เราต้องทำงานทุกอย่างที่ลูกน้องทำให้เป็นเสียก่อน  จึงจะสามารถคุมคนงานได้ จากนั้นเป็นต้นมาจึงรู้ว่า เวลาจะต้องทำอะไรให้มีประสิทธิภาพ เราต้องทำงานนั้นและรู้จักงานนั้นให้ดีเสียก่อน จึงจะสั่งคนอื่นได้

นางสาววรุณทิพย์ ศรีพ่ม 

รหัส 555740076-9 sec.12

วิชา 910753 การพัฒนาองค์กรเชิงบวก

เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                                ตอนที่รู้สึกตกต่ำมากๆ ตอนนั้นจำได้ว่าเพิ่งเข้าเรียนประถมศึกษาต้นชั้นปีที่ 1 ซึ่งตอนนั้นเพิ่งขึ้นมาจากอนุบาล ทำให้ข้าพเจ้ายังติดนิสัยเด็กๆมาอยู่ ทำให้ไม่ค่อยสนใจเรียน จ้องแต่จะเล่นให้ได้ และต้องมารู้สึกเพื่อนใหม่ๆ และไม่ได้นอนกลางวัน จำได้ว่าตอนเทอมแรก ข้าพเจ้าสอบได้ที่รองโหล่ของห้อง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของผู้ชาย เด็กผู้หญิงจะขยันเรียนกัน ทำให้ข้าพเจ้าโดนล้อจนร้องไห้ เพราะเข้าใจว่าเราโง่มากๆ อายคุณพ่อคุณแม่มาก

                                จุดเปลี่ยน : คุณแม่บอกว่าไม่เป็นไร และค่อยพาทำการบ้าน คอยถามว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง ทำให้เราสนใจเรื่องนี้มากขึ้น สอนให้เราแก้ไข หลังจากวันนั้น ข้าพเจ้าก็พยายามตั้งใจเรียนมากขึ้น จนสามารถสอบติดหนึ่งในสิบคนจากทั้งห้อง และพยายามเรียนดี เพราะอยากให้คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจ

                เรื่องที่ 2เล่าปัญหา (ผู้เล่าปัญหา-โค้ช -ผู้สังเกตการณ์)

 

                                เป็นผู้เล่าปัญหา ได้เล่าเรื่องตอนที่ทำงานเป็นเลขานุการ ซึ่งตอนแรกเป็นงานที่ไม่ได้คิดว่าจะได้ทำ เพราะเราสมัครเป็นผู้ช่วยนักวิจัย แต่พี่เค้าบอกว่าเราน่าจะทำได้ดี  เลยให้เราทำ ปัญหาเกิดขึ้นเพราะเราไม่เคยเรียนชวเลขมากก่อน เจ้านายก็ให้ไปทำรายงานการประชุม ซึ่งโดยปกติจะมีคนทำอยู่แล้ว ทำให้เราต้องพยายามมากขึ้น เพราะการสอนงานส่วนใหญ่จะสอนเพียงครั้งเดียว แล้วให้เราปฏิบัติเลย การทำงานแบบนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องหัดทำอะไรด้วยตัวเอง บางครั้งที่ทำผิดไป เจ้านายก็จะให้กำลังใจ แล้วบอกว่า เป็นบทเรียน ให้ รู้ แต่โชคดีที่เจ้านายเป็นผู้หญิงเก่งและให้โอกาสเราเสมอ ทำให้ครั้งต่อไปเราก็จะไม่อยากจะทำผิดพลาด เพราะเราเรียนรู้สิ่งนั้นแล้ว

น.ส.ปัทมาพร ทูลไธสง Y#14 sec.12 (555740052-3)

น.ส.ปัทมาพร  ทูลไธสง

555740052-3 Y#14 sec.12

COACHING

 

เรื่องที่ 1 “ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

 

ช่วงที่เรียนอยู่ปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 นักศึกษาทุกคนต้องรับผิดชอบปัญหาพิเศษคนละ ชิ้น ซึ่งช่วงที่ทำงานนั้นเกิดความรู้สึกเคลียดมาก เนื่องจาก การทดลองที่วางแผนไว้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่นำมาทดลอง ผลการทดลอง และกำหนดส่งรายงานก็ใกล้จะถึงแล้ว ทำให้ต้องพยายามทำการทดลองอยู่นาน ต้องกลับห้องพักดึกเกือบทุกวันเพราะต้องการให้ได้ผลการทดลองเป็นไปตามทฤษฎีที่ควรจะเป็น ซึ่งการลองทำซ้ำๆ คนภายนอกอาจจะมองว่าดี เห็นถึงความพยายามยิ่งทำบ่อยก็จะยิ่งเก่งในด้านนั้นๆ แต่สำหรับคนที่ทำนั้น การที่ต้องทำอะไรซ้ำๆแล้วไม่ได้ตามที่วางแผนไว้กลับรู้สึกท้อแท้ และไม่มีกำลังใจที่ทำต่อไป เกิดภาวะเคลียดจนไม่กล้าที่จะไปพบอาจารย์ที่ปรึกษา

 

จุดเปลี่ยน จากการที่ต้องอยู่ในห้องทดลองเป็นประจำ จนวันหนึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาได้เดินมาพบ แล้วเข้ามาถามว่าทำการทดลองไปถึงไหนแล้ว เลยบอกอาจารย์ไปว่า “ยังไม่ถึงไหนเลยค่ะ เพราะผลการทดลองไม่เป็นไปตามทฤษฎี” อาจารย์เลยแนะนำว่า “การทดลองแม้ว่าผลจะออกมาไม่ตรงตามที่คิดไว้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการทดลองของเรานั้นผิด เสมอไป หากลองสังเกตดีๆจะพบว่าปัญหาอยู่ที่ปลายจมูกเท่านั้นเอง หากเราทำการลดความเข้มข้นของสารลงก็ทำให้ผลเป็นไปตามทฤษฎีได้ และไม่เปลืองวัตถุดิบด้วย” ซึ่งเมื่อลองทำตามที่อาจารย์แนะนำก็ทำให้ได้ผลตามทฤษฎีจริงๆ

  

เรื่องที่ 2    “ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น

 

                หลังจากจบปริญญาตรี ต้องกลับมาช่วยงานที่บ้าน ซึ่งช่วงที่อยู่ที่บ้านมีเวลาว่าค่อนข้างมาก จึงทำให้มีเพื่อนมาขอความช่วยเหลือให้ทำเวปไซด์ให้หน่อย ซึ่งในชีวิตนี้ไม่เคยรู้จักเลยว่าการเขียนเวปไซด์เป็นอย่างไร จึงพยายามหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต โดยเริ่มจากการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป แล้วทำการปรับเปลี่ยนดัดแปลงให้ตรงตามความต้องการ และนอกจากนี้ยังพยายามขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่จบทางด้านคอมพิวเตอร์มา จึงทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาในชีวิตอย่างมากมาย และพยายามพัฒนาฝีมือการทำงานชิ้นนี้ต่อไป

 

 

จุดเปลี่ยน จากที่เจอเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ได้พบว่า “หากการที่เราพยายามทำในสิ่งนั้นๆ อย่างตั้งใจ เราก็จะสามารถทำได้ แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความถนัดของเราก็ตาม” สอดคล้องกับข้อความที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น” ทุกอย่างไม่เกินความสามารถและความพยายามของเรา

นายอิสสระศักดิ์ ศุภกรกุล

 

555740101-6 sec.12

 

Coaching

 

เรื่องที่ 1 ตอนที่ตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

หลักจากที่เรียนจบ ก็ได้หางานทำ คุณแม่แนะนำลองไปสมัครที่บริษัทนั้นดู ซึ่งด้วยความที่คุณแม่รู้จักกับเจ้าของบริษัท วันที่เราไปสัมภาษณ์งานซึ่งก็เห็นคนมาสัมภาษณ์เยอะ และแต่ละคนดูมีประสบการณ์มาก  ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ได้เข้ามาทำงานที่บริษัทนั้น แต่บางคนในบริษัทชอบมองผมแปลกๆ ผมเข้าไปช่วงแรก ผมก็ทำทุกอย่างตามที่พี่ๆเขามอบหมาย ทางเจ้าของก็ใช้ทำงานนู้นนี่นั้น ซึ่งผมก็ทำได้ และทำงานสำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายทุกงาน จนสนิทกันกันพี่ในบริษัทมากขึ้น จนมีวันนึงพี่หัวหน้าแผนกเข้าเห็นว่าผมตั้งใจทำงานและสนิทกันมากขึ้น จนได้เล่าบางอย่าให้ผมฟังว่า.. ว่าคุณแม่ได้ฝากผมเข้าทำงานกับเจ้าของบริษัท ซึ่งเจ้าของและพนักงานส่วนใหญ่มองผมว่า เป็นลูกคุณหนูทำงานจะไหวไหม? จะทำอะไรเป็น? เดี๋ยวก็ออก.. นานาจิตตัง แต่ที่รับผมเพราะความเกรงใจคุณแม่ผม ซึ่งตอนนั้นผมรู้สึกหดหู่ใจมากและแอบเสียใจที่คนส่วนใหญ่ชอบมองคนที่ภายนอกในหัวแอบคิดว่าไม่อยากอยู่แล้ว แต่พี่หัวหน้าแผนกบอกกับผมต่อว่า แต่หลังจากที่ผมเข้าทำงานมาสักพัก คนส่วนใหญ่ก็มองผมเปลี่ยนไป ตั้งใจทำงาน ใช้อะไรก็ทำ จนเจ้าของบริษัทเอ่ยปากชมว่าทำงานเก่ง พี่เข้าก็บอกว่า "ถ้าตั้งใจทำอะไรให้เต็มที่แล้ว ผลของมันย่อมจะออกมาดีเสมอ" เท่ากับว่าวันนี้เทอลบคำสบประมาทของคนอื่นได้แล้วนะ ตั้งใจทำงานต่อไป.. ทำให้ผมรู้สึกดีใจ และตั้งใจกับงานทุกชิ้นที่ได้รับมอบหมาย

เรื่องที่ 2 ตอนที่ใครซักคนทำให้เราเก่งขึ้น

ในการทำงานซึ่งผมทำงานไม่ค่อยตรงกับสายที่จบมาและไม่ค่อยรู้เรื่องอสังหาริมทรัพย์เท่าไร ก็ได้พี่หัวหน้าแผนก ที่คอยสอนงานในด้านต่างๆให้กับผม พาออกไปหาลูกค้า พาออกไปเรียนรู้ขั้นตอนต่างๆในการ ทำเรื่องกู้ ทำเรื่องโอน บ้านให้กับลูกค้า สอนการทำงานทุกขั้นตอน จนผมสามารถทำได้เองทุกอย่าง จนเจ้าของให้ผมเป็นรองผู้จัดการ แลไว้ใจให้ทำงานแทน พี่หัวหน้าแผนกได้ในบางส่วน เช่นออกไปโอนบ้านให้ลูกค้าเอง โดยถือเงินกับตราบริษัทไปคนเดียว(หลายล้านบาท) เป็นต้น 

กนิษฐา เจนเวชประเสริฐ

น.ส.กนิษฐา เจนเวชประเสริฐ

555740110-5 MBA ex19

แชร์ประสบการณ์ดีๆ "Coaching"

 

เรื่องที่ 1 เป็นเรื่องที่รู้สึกว่าตกต่ำที่สุด

ช่วงประมาณเมษายนที่ผ่านมา เป็นช่วงหลังจากที่ลาออกจากที่ทำงานเดิมเนื่องจากว่าต้องมาทำธุรกิจกับครอบครัว โดยทางครอบครัวมีโครงการจะสร้างร้านยาให้เพื่อให้เรามาประจำ จริงๆโครงการนี้ได้วางแผนมานานมากๆแล้ว และครั้งแรกที่คุยกับพ่อ พ่อก็บอกว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมิถุนายน เราก็เลยคาดว่า อยากลาออกจากงานมาก่อนเพื่อที่จะได้มีเวลามาพักกายพักใจ แล้วค่อยลุยทำงานต่อ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเราลาออก ก็ออกมาอยู่บ้านหลายเดือน และร้านก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างสักที ช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยได้คิดอะไรมาก แต่สักพักก็เริ่มเครียดแล้วว่า ทำไมเรายังไม่ได้เริ่มทำงานสักทีนะ แล้วร้านที่ว่าจะเสร็จก็ไม่เสร็จสักที  เราก็ไม่เข้าใจพ่อ คิดว่าทำไมพ่อถึงไม่สนใจที่จะสร้างร้านเลย คือพ่อจะเป็นผู้ที่ตัดสินทุกอย่างว่าจะใช้จ่ายอะไร ทำร้านออกมาด้วยงบเท่าไหร่ หรือจะซื้ออะไร ก็ต้องผ่านการพิจารณาจากพ่อทั้งหมด  บางทีพ่อก็ ธุระเยอะ แต่พ่อก็ไม่ไว้ใจให้เราหรือแม่ตัดสินใจ จนทำให้บางทีก็เหนื่อยใจมากที่ว่าจริงๆแล้วมันน่าจะทำร้านได้เร็วกว่านี้  บางช่วงเวลา พ่อกับแม่ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด (ไปเพราะได้เป้าบริษัทยาบ้าง หรือไปร่วมกับชมรมต่างๆบ้าง)  เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อไม่รีบทำร้านให้เสร็จสักที จนบางครั้งก็แอบร้องไห้คนเดียวเพราะความไม่เข้าใจ  เราก็ได้ปรึกษากับแฟน ซึ่งแฟนก็จะเข้าใจในเรื่องแบบนี้ดี เค้าก็บอกว่า  ความสุขของพ่อกับแม่ก็ปล่อยไปเถอะ บางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบก็ได้ ถือสะว่าเป็นช่วงพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วกัน ใช้เวลาช่วงนี้ให้มีความสุข อยากทำอะไรก็ทำ อย่างเช่น การไปออกกำลังกาย หรือหาอะไรใหม่ๆทำ อย่าไปคิดแต่แบบนั้น เดียวถึงเวลา ก็ได้ทำเองแหละ  ซึ่งพอมาถึงปัจจุบันมองย้อนกลับไป ก็จริงอย่างที่แฟนว่า เราไม่จำเป็นต้องไปเร่งรีบอะไรเลย จริงๆเราก็ไม่ได้เดือดร้อน อะไรมากมาย การที่เราได้พักเต็มที่ ปล่อยความคิดอารมณ์ มันทำให้เราสามารถคิดสร้างสรรค์งานที่เรากำลังจะทำขึ้นในอนาคตได้เยอะมาก (ร้านยา) เพื่อพัฒนาร้านให้เติบโตยิ่งขึ้น  ทำให้เราได้กลับมานั่งทบทวน พิจารณา สิ่งรอบๆข้างได้ดีมากขึ้นทีเดียว 

 

 

 

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

 

ตอนนั้นทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ฝ่ายผลิตยา ซึ่งจะต้องเตรียมยาเคมีบำบัดให้ผู้ป่วยด้วย ในการเตรียมยาเคมีบำบัดนั้น ไม่ใช่เป็นแค่เภสัชกรเท่านั้นแล้วจะเตรียมได้ จะต้องมีการฝึกฝน มีการฝึกทักษะในการเตรียมด้วย เนื่องจากว่า ยาเคมีบำบัดนั้นเป็นยาที่อันตรายเช่นกัน หากเราเตรียมยาไม่ดีหรือว่าไม่ถูกต้อง ก็จะเป็นอันตรายทั้งเราและคนไข้ แทนที่จะได้บุญกลับได้บาปมาแทน ด้วยภาระงานและหน้าที่ ทำให้เราต้องมีการฝึกฝนทักษะในการเตรียมเป็นอย่างมาก พี่ที่หน่วยงาน ก็จะให้เราฝึกเตรียมจากชุดทดลอง โดยฝึกการดูดยามาให้ตรงตามปริมาณ การละลายยาด้วยน้ำร้อน เป็นต้น คือให้ฝึกทั้งวัน ประมาณว่า พี่ๆเค้าทำงานกัน แต่เค้าก็ให้เรานั่งฝึกทั้งวันเกือบๆ 3 อาทิตย์ แล้วพี่เค้าก็ให้เราทดสอบให้ดู มีพี่ๆมาประเมินว่าผ่านหรือไม่ผ่าน จากเหตุการณ์นี้เอง ก็ทำให้เรารู้สึกกดดัน และพยายามทำให้ได้ จดจำรายละเอียดต่างๆที่พี่เค้าสอน เอากลับมาฝึกที่บ้านจนเกิดความชำนาญ จนทำให้วันที่ประเมินนั้น เราสามารถสอบผ่าน และสามารถได้เตรียมยาเคมีบำบัดจริงให้แก่ผู้ป่วย

.ส ศรัญญา อมรเดชสุริยา

555740332-7  Y#14  sec.12

COACHING

1.เวลาที่รู้สึกตกต่ำแล้ว มีเหตุการณ์ทำให้ดีขึ้น

                เวลาทะเลาะกับแม่หรือทะเลาะกับยาย ไม่เข้าใจกัน ก็จะร้องไห้เสียใจว่าทำไมแม่ต้องคิดแบบนั้น ยายต้องคิดแบบนี้ ทำไมไม่เข้าใจเราบ้าง เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เราก็จะไปร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว ไม่ยอมออกจากห้องนอน แต่ทุกครั้งเวลาไม่สบายใจก็จะเข้าไปคุยกับป๊า เล่าให้ป๊าฟัง ป๊าก็เป็นคนที่คอยเข้าใจ รับฟังเราเสมอ ปลอบเราให้เราใจเย็นๆ ถ้าแม่เป็นคนอารมณ์ร้อน เราก็ต้องทำตัวเป็นน้ำ เย็นเข้าไว้ ทำให้เวลาเรามีปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไร ก็จะเล่าให้ป๊าฟังเสมอ ป๊าจะสอนให้เรามองโลกในแง่บวก เพราะต่อให้เราเจออะไรที่แย่ๆมาแค่ไหน แต่มันจะมีเรื่องดีๆในเรื่องแย่ๆนั้นเสมอ เช่นเราอาจเจอสังคมที่โหดร้าย เราท้อใจ เราร้องไห้เสียใจ แต่ถ้าเราผ่านมาได้มันจะทำให้เราแกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้น และป๊าจะสอนให้มองคนที่ลำบากกว่าเรา เขาเจอปัญหาอุปสรรคมากมายเขายังอยู่ได้ ทำไมเราเจอเรื่องแค่นี้เราจะทนไม่ได้เชียวหรือ ในขณะที่ลูกกำลังเบื่อชีวิตตัวเอง ..  มีอีกเป็นล้านคนอยากมีชีวิตแบบลูก  ทำให้เรารู้สึกสบายใจ มีกำลังใจ ที่อย่างน้อยไม่ว่าเราจะทะเลาะกับใคร ก็มีป๊าที่คอยอยู่ข้างๆ เข้าใจเราเสมอ ทำให้เราอยากทำตัวเป็นลูกที่น่ารักของป๊า ไม่ทำให้ป๊าปวดหัว เราจึงตั้งใจเรียนให้ท่านภูมิใจ อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อให้ป๊าภูมิใจในตัวเรา และทำให้เรามองโลกในแง่บวกและเข้าใจโลกมากขึ้นด้วย

2    “ ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น 

 

                เป็นเรื่องต่อจากที่ป๊าคอยให้กำลังใจตอยสอนเราอยู่เสมอ เมื่อเราท้อเรื่องเรียน รู้สึกไม่ชอบวิชานั้นวิชานี้ทำให้เราเกิดอคติกับวิชานั้น ไม่อยากอ่าน คิดว่าอ่านก็ไม่รู้เรื่อง เบื่อ ขี้เกียด เลยเล่าให้ป๊าฟัง ป๊าจึงบอกกับเราว่า ทำไมไม่ลองเปลี่ยนวิธีคิดดูล่ะ ลองคิดว่า วิชานั้นเราไม่ได้ไม่ชอบนะ อย่าสร้างอคติกับวิชานั้น และลองตั้งใจอ่านดู ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น หลังจากนั้นลองทำตามที่ป๊าบอก ทำให้เราเรียนได้ดีขึ้น วิชาที่รู้สึกไม่ชอบก็ได้ A ค่ะ และนำวิธีคิดนี้มาใช้กับเรื่องอื่นๆด้วย

วณิชยา แสนสุโพธิ์ รหัส 555740072-7 Y#14 Sec.11

นางสาววณิชยา แสนสุโพธิ์

รหัส 555740072-7 Y#14 Sec.11

Business  Creative

"Coaching"

       ตลอดชีวิตที่ผ่านมาดิฉันใช้ชีวิตเรื่อยๆไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตที่ชัดเจน ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะทำอะไร เพราะตลอดชีวิตจนทุกวันนี้มีพ่อคอยให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆและค่าเรียน .. แรกๆดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงยอมเหนื่อยส่งลูกทั้งสองคนเรียนปริญญาุโท - ปริญญาเอก ทั้งที่เงินเดือนข้าราชการก็ไม่มากเท่าไหร่ ลำพังจะกินก็ยังไม่พอใช้ เห็นบางครอบครัวถึงแม้ฐานะจะดีแต่เขาก็ให้ลูกหาเงินเรียนต่อเอง ส่งถึงแค่ปริญญาตรีเท่านั้น .. เคยได้ยินบางครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะครอบครัวหนึ่ง เขาให้เหตุผลว่า "เงินที่ฉันหามาแสนยากลำบาก ฉันก็อยากใช้เองบ้าง ทำไมต้องหาเลี้ยงตลอดชีวิต" ทำให้ดิฉันคิดว่าดิฉันโชคดีที่มีพ่อคอยสนับสนุน

       วันหนึ่งพ่อพูดขึ้นว่า "ตั้งใจเรียนนะลูก ในชีวิตพ่อไม่ได้ร่ำรวยเหมือนใคร สิ่งเดียวที่พ่อจะให้ได้คือการศึกษา ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน อยากจะรวยก็ทำเอา พ่อก็แก่แล้วจะดิ้นรนให้รวยนั้นก็เหนื่อย เรียนสูงบางทีอาจจะไม่ได้งานที่ดี เงินที่ดี อย่างที่เราคาดหวัง แต่สิ่งที่แตกต่างคือความรู้ที่เราได้รับ ทำให้เรารู้เท่าทันโลก รู้เท่าทันคน ไม่โดนใครหลอกง่ายๆ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรมา เมื่อเรามีความรู้แล้ว ย่อมเป็นเสมือนเกราะป้องกันตัว เมื่อเรามีโอกาสได้เรียนเราก็ควรคว้าโอกาสนั้นไว้ หลายต่อหลายคนไม่มีโอกาสที่ดีแบบนี้ พ่อแม่ไม่สนับสนุนบ้าง เรียนไม่ไหวบ้าง เราดีที่มีสมองและมีโอกาสควรทำมันให้ดีที่สุด"

       จากคำพูดของพ่อในวันนั้น ทำให้ดิฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ค้นหาความต้องการของตนเอง ค้นหาสิ่งที่ชอบ ค้นหาตัวตนของตนเอง มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน และวางแผนชีวิตในปัจจุบันและวันข้างหน้าว่าจะทำอะไรจึงจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ .. "สุดท้าย ความหวังสูงสุดของลูก คือ อยากให้พ่อได้พักเหนื่อย"

       และในวันนี้ต้องขอขอบคุณ ดร.ภิญโญ รัตนาพันธุ์ ที่ได้ใช้ศาสตร์ AI เข้ามาสอนในหลักสูตรบริหาร อาจารย์ทำให้ดิฉันเปลี่ยนแปลงความคิดไปในทางที่ดี ทำตัวเองให้มีประโยชน์มากขึ้น ทำให้รู้จักตัวตนของตัวเองและคนรอบข้าง ทำให้เข้าใจและสามารถปรับตัวเข้ากับคนทุกประเภทได้เป็นอย่างดี ทำให้รู้จักลำดับความคิด รู้จักคิดนอกกรอบ .. จากคนที่ขี้กลัวไม่กล้าแสดงความคิดเห็นกลายเป็นคนกล้าคิด กล้าทำมากขึ้น และทำให้เรามีความคิดที่หลากหลาย

       "ขอบคุณอาจารย์มากๆค่ะ"

พลอย ไชโยราษฎร์ 555740057-3 Y#14 Sec.12

พลอย ไชโยราษฎร์ 555740057-3 Y#14 Sec.12

1.เวลาที่รู้สึกตกต่ำแล้ว มีเหตุการณ์ทำให้ดีขึ้น

                ช่วงสอบเข้าสอบแอดมิดชั่น  เป็นช่วงที่หดหู่ในชีวิตที่สุด เพราะเราต้องอ่านหนังสือหนัก ไม่มีเวลาเที่ยวเล่น  ได้รับแรงกดดันจากเพื่อนๆเพราะเพื่อนๆขยันอ่านหนังสือมาก มหาวิทยาลัยต่างๆก็ประกาศรับโควตา ซึ่งเพื่อนๆก็ติดมหาลัยกันเยอะ ซึ่งคะแนนเราก็สูงเหมือนกัน ทำไมเราไม่ติด เริ่มรู้สึกน้อยใจกับโชคชะตา แต่ก็ยังมีกำลังจากคุณแม่ที่ให้กำลังใจมากตลอด แม้ว่าเราจะไม่ติดโควตา คุณแม่ก็บอกเสมอว่าไม่เป็นไร เรียนมหาลัยของเอกชนก็ได้ ไม่ต้องคิดมาก เรียนที่ไหนก็อยู่ที่ตัวเราเองว่าเราตัวเองจะขยัน ตั้งใจเรียนแค่ไหน อย่ายึดติดกับสถาบัน จงยึดติดกับตัวเราว่าเราจะขยันตั้งใจเรียนได้มั้ย ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกสบายใจขึ้น ไม่เครียด ยิ่งคุณแม่พูดแบบนี้ยิ่งทำให้เราไม่กดดันตัวเอง มองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายๆไม่ซีเรียส

2.เหตุการณ์ที่ทำให้เก่งขึ้น

 

                 เนื่องด้วยเป็นคนไม่ชอบคณิตศาสตร์ แต่คุณแม่เป็นครูสอนคณิตศาสตร์ คุณแม่จะสอนคณิตลูกทุกคนเอง สอนจนเราเริ่มเก่งขึ้น เราจึงเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต พอเริ่มเรียนเราก็ยังพอทำความเข้าใจเองได้ แต่หลังๆเริ่มยากขึ้น คุณแม่ก็มีเทคนิคต่างๆทำให้จำได้ง่ายขึ้น ทำได้เร็วขึ้น  เราสามารถไปสอนเพื่อนได้ คุณแม่ไม่ใช่แค่สอนคณิตอย่างเดียว แต่คุณแม่ยังสอนวิธีการใช้ชีวิต เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้นเวลาจะทำอะไรในอนาคต

นางสาวธัญลักษณ์ วงษ์โสภา

555740007-8 Y.14 Sec.12

Coachinng

เหตุการณ์ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตคือช่วงที่กำลังเรียนอยู่ชั้นม.4 ที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง ในวันเสาร์สบายๆ เวลาประมาณ 7 โมงเช้า มีประกาศเสียงตามสายมาถึงเราและพี่ชาย(กำลังเรียนอยู่ ม.5 โรงเรียนเดียวกัน)ว่ามีญาติมาพบ ตอนแรกก็ไม่ได้สงสัยอะไร พอไปเจอก็พบว่าน้าชายมาหาจะพาไปโรงพยาบาลบอกว่าพ่อไม่สบาย ก็นั่งรถคุยกันไปสนุกสนาน พอไปถึงโรงพยาบาลเจอญาติๆ มากันเยอะมากเลยเอะใจว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ๆเลย เรารู้สึกก้าวขาไม่ออก ไม่แม้กระทั่งเดินขึ้นไปบนตึก เลยหันหลังกลับเดินไปเรื่อยๆ จนมีพี่สาว(ญาติ)มาถึงไว้แล้วกอดไว้แน่นถามว่า “หนูสิไปไส อย่าไปลูกอย่าไป” เรียกสติเรากลับมา เลยเดินขึ้นไปบนตึก ใครๆก็มาจับมือเรา แล้วก็ชี้ให้เข้าไปพบหมอ เดินเข้าไปก็เห็นแม่และพี่ชายนั่งอยู่ หมอบอกว่าจะถอดเครื่องหายใจ เพราะไม่มีการตอบสนองต้องการให้ญาติรับรู้และยินยอม เราก็ต้องยอมรับคำวินิจฉัยของหมอ ในวันนั้นเองทำให้รู้เลยว่าคนที่รักพ่อเรานั้นมีมากเหลือเกิน แต่ความรู้สึกขอบคุณอาจจะมีน้อยกว่าความเสียใจทำให้เรามองข้ามสิ่งนี้ไป พ่อเป็นคนที่มีน้ำใจกับทุกคนเสมอ ชอบช่วยเหลือคนอื่น อาจเป็นเพราะพ่อเป็นพี่ชายคนโตทำให้ต้องเสียสละให้น้องๆตลอด ญาติสนิทก็ช่วยมากันจัดการเรื่องงานศพ และเล่นตนตรีให้พ่อฟังเป็นครั้งสุดท้าย ญาติๆ เพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็มาช่วยงานศพและเป็นกำลังใจให้ ทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจและขอบคุณมากๆ ผ่านไป 2 วันแม่แทบจะไม่ทานอะไรเลยร้องไห้เสียใจอย่างเดียวเราก็ความรู้สึกเศร้าเสียใจร้องไห้ตลอดเวลา ในหัวคิดไม่ออกเลยว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปดี แล้วน้าก็เข้ามากอดแล้วบอกว่า “จะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ เห็นมั๊ยแม่เสียใจมาก เราต้องเข้มแข็งและทำให้แม่รู้สึกว่าเราเข้มแข็งดูแลแม่ได้  เสียใจได้แต่อย่านาน เสียใจไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ยังไงคนตายก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอยู่ดี” ทำให้คิดได้ว่าต้องปรับตัวเองแล้ว ต้องแสดงให้แม่เห็นว่าเราเข้มแข็ง จึงลุกขึ้นมาช่วยงานทุกอย่าง(ในงานศพ) หลังจากนั้นก็พยายามทำอะไรด้วยตัวเองให้แม่รู้สึกว่าเราแข็งแกร่งและดูแลตัวเองได้

เรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่าการที่เราทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน กรรมดีอาจจะช่วยเหลือเราก็ได้ และการเสียใจนั้นเสียใจได้แต่อย่าเสียใจนาน เพราะมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น

 

นางสาวรัฐิลักษณ์ มาสุข

นางสาวรัฐฺิลักษณ์  มาสุข

555740069-6 Sec.12  Y.14

 Positive organization development

 Coaching 

 เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                เหตุการณ์ที่ทำให้เศร้าเสียใจมาก  และรู้สึกตกต่ำคือช่วงปริญญาตรีเนื่องจากเกรดที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้  เนื่องจากในช่วงปีสองและปีสามติดเล่นและเที่ยวกับเพื่อนๆ  ไม่ค่อยได้ใส่ใจในการเรียนมากนัก  พอผลการเรียนออกมาก็รู้สึกเสียใจ  จนกระทั่งช่วงปีสุดท้ายเริ่มมองหาแนวทางในเรียนต่อปริญญาโทและทุนการศึกษาต่างๆ  ซึ่งการจะสมัครเรียนได้นั้นส่วนมากแล้วต้องมีเกรดที่สูงพอสมควร  รวมถึงมีพี่สาวชี้แนะว่าหน้าที่ของเรามีแค่เรียน  ทำไม่ยังทำมันได้ไม่ดี  คนบางคนมีหน้าที่เยอะแยะเค้ายังทำออกมาได้ดีทุกอย่างเลย   ซึ่งก็เป็นแรงผลักดันให้เราใส่ใจในการเรียนมากยิ่งขึ้นและรู้จักหน้าที่ของตนเองยิ่งขึ้น

                

เรื่องที่ 2: เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                ในช่วงที่เรียนปริญญาตรีมีโอกาสได้ทำงานที่ศูนย์ภาษาแห่งหนึ่ง  ตอนนั้นเรียนเอกวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจแต่ก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มากนัก  จากการที่ได้เข้าไปทำงานในจุดนั้นทำให้มีโอกาสได้ฝึกฝนภาษามากยิ่งขึ้น เนื่องจากต้องคอยเป็นสื่อกลางระหว่างนักเรียนและครูชาวต่างชาติ  ทำให้ความเขินอายในการพูดภาษาอังกฤษลดน้อยลง  และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตนเองเริ่มฝึกภาษาอังกฤษจริงจังมากยิ่งขึ้นโดยมิได้เสียค่าใช้จ่ายในการไปเรียนที่ใด

 

555740018-3 Y.14 Sec.12

 

COACHING

1.เวลาที่รู้สึกตกต่ำแล้ว มีเหตุการณ์ทำให้ดีขึ้น

            เมื่อสมัยเรียนตอนปี 2 เป็นคนที่ชอบทำกิจกรรม ได้เริ่มเข้าทำงานที่สโมฯนักศึกษาจริงๆจังก็ตอนปี 3 เป็นทั้งสต๊าฟและฝ่ายสารสนเทศของสโม ส่วนหลังเลิกประชุมต้องไปทำงานเลิกตี 2 อีก จนการเรียนใน 2 เทอมการศึกษานั้นตกต่ำมาก ถ้าเทียบเกรดเฉลี่ยนในตอนนั้นคือเรียนไม่จบแน่นอนจนเริ่มรู้สึกท้อ ไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น กะทั้งเพื่อนสนิทในกลุ่มบอกให้เลิกทำสโมฯ ทำแต่งานก็พอ เกรดจะได้เพิ่มขึ้นจะได้จบพร้อมกัน เพื่อนๆทุกคนเป็นกำลังใจให้และเป็นห่วงมากๆ ส่วนเพื่อนๆก็ดีมาก ไปขออาจารย์เปิดวิชาพิเศษเพิ่มเพื่อให้ดึงเกรดขึ้น จากนั้นผมจึงได้ตั้งใจเรียนแบบจริงๆจังๆ จนกระทั้งเกรดเฉลี่ยนผ่านและได้เรียนจบพร้อมเพื่อนๆ

2.เหตุการณ์ที่ทำให้เก่งขึ้น

              ย้อนไปเมื่อสมัยมัธยมชอบเล่นดนตรี คุณแม่เลยอนุญาติให้ไปเรียนดนตรี เรียนอยู่ได้ 3 ปี อาจารย์ที่สอนบอกว่า อยากลองแข่งดูมั้ย ผมก็ได้นั่งคิดอยู่นานเนื่องจากว่าเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง กลัวความผิดพลาด อาจารย์ที่สอนจึงแนะนำ ทริกในการเล่นอย่างเข้มข้น และให้ไปฝึกซ้อมทุกวัน จนกระทั้งวันคัดตัวที่จะเป็นตัวแทนของโรงเรียน ผลปรากฏว่าได้เข้าผ่านเพื่อเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งระดับภาค เมื่อผมได้เป็นตัวแทนรู้สึกดีใจมาก ถึงไม่ได้ผ่านไประดับประเทศแต่อย่างน้อยเราก็พยายามอย่าเต็มที่ อย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่เคยไม่ลองทำ

                                                                                                           มนัชยา  อนันตศานต์

                                                                                                     555740222-4 ex.19 sec.4

 

1.                   ตอนที่เรารู้สึกตกต่ำแล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

ตอนที่เข้ามาทำงานใหม่ๆ เป็นลูกจ้างชั่วคราว ในมหาวิทยาลัย ตอนนั้นมีการสอบบรรจุเป็นข้าราชการ ทุกคนที่ทำงานอยากสอบได้เป็นข้าราชการทั้งนั้น เลยมีการพูดกดดันกัน รวมถึงข้าพเจ้าก็โดนพูด กดดัน ว่า เป็นลูกจ้างมาใหม่ ไม่สามารถสอบได้หรอก ความรู้ยังไม่ถึง เมื่อเราได้ยินคำแบบนี้ถึงกับท้อใจ ไม่อยากไปสอบ แต่เมื่อแม่ได้รับรู้ถึงปัญหา จึงพูดให้กำลังใจ ว่า คนเราจะสอบได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดใคร แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา เราเป็นคนกำหนดชีวิตเราเอง ถ้าเรายอมแพ้ตอนนี้ แสดงว่า คนพวกนั้นพุดถูก “พิสูจน์ให้แม่เห็นได้ไหม.. ว่าคนพวกนั้น พูดผิด” เมื่อได้ยินคำนั้นทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบให้ได้ และข้าพเจ้าก็สอบบรรจุเป็นข้าราชการได้สำเร็จ

 

2.                   ตอนที่ใครสักคนทำให้เก่งในเรื่องการทำงาน

 

การทำงานของข้าพเจ้าเป็นการทำงานที่ต้องติดต่อสื่อสารกับนักศึกษา อยู่บ่อยๆ นักศึกษาไม่ค่อยสนใจหาข้อมูลเอง มีแต่มาถามข้าพเจ้า บางทีไม่ถามก็ทำมาไม่ถูก เราให้ไปแก้ไข ก็บอกว่าเราเรื่องมาก ถึงขั้นทำหนังสือร้องเรียน หรือให้ผู้ปกครองมาว่าที่ทำงานก็มี  ทำให้ข้าพเจ้าอึดอัดและท้อใจมากจนอยากลาออก แต่หัวหน้างานของข้าพเจ้าคอยช่วยเหลือข้าพเจ้า ไม่เคยซ้ำเติมเรื่องที่เกิดขึ้นเลย คอยให้กำลังใจข้าพเจ้า ท่านบอกว่า ถ้านักศึกษามีความรู้และความคิด คงไม่มาเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่ต้องมาให้เราคอยบอกกล่าว เราต้องทำหน้าที่ของเราคือ สอนและบอกกล่าวให้เขาทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุดและถูกต้อง ที่สำคัญ เราต้องใจเย็นและทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขกับการทำงานและงานที่ทำอยู่ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น

                                                                                                                       วิศรุต   ขาวศรี

                                                                                                           555740079-3   Sec 12

  Coaching

1.เหตุการณ์ที่เรารู้สึกตกต่ำแล้วรู้สึกดีขึ้น

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี้เอง  เป็นเหตุการณ์ที่ผมประสบอุบัติเหตุขับรถชนแมวที่วิ่งตัดหน้ารถแล้วไปชนกับรถยนต์ที่สวนมาทำให้ทั้งรถของผมและคู่กรณีเสียหายอย่างหนัก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมขับรถชนแล้วได้รับความเสียหายหนักขนาดนี้  จากการชนกันทำให้รถของคู่กรณีตกไปข้างทางเสียหายหนัก แต่ผู้โดยสารที่นั่งมาทั้ง 7 คนไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ  โดยพวกเขาจะมุ่งหน้าไป กทม เพื่อไปทำงาน ทำให้พวกเขาขาดรายได้ในระหว่างที่รถต้องเข้าซ่อม  เพราะพวกเขาต้องใช้รถในการประกอบอาชีพ  ทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ  ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ชนแมวเจ้ากรรมที่โผล่มาจากข้างทางที่มืดๆ  ทำให้ควบคุมรถไม่อยู่  เราได้ให้ประกันเคลียร์ในส่วนเรื่องของรถ แต่เราก็ได้จ่ายเงินชดเชยให้กับคู่กรณี ไปจำนวนที่มากพอกับค่าเสียเวลาและรายได้ที่ต้องเสียไป  แต่ในใจของผมก็ยังไม่ได้รู้สึกดีขึ้น จนกระทั่งได้คุยกับพ่อของผมบอกว่าทุกคนเข้าใจว่านี่มันเป็นอุบัติเหตุไม่มีใึครอยากให้เกิดขึ้น  ไม่ได้ดื่มเหล้าแล้วขับด้วย  นี่จะเป็นบทเรียนราคาแพงเหมือนกันแต่ก็ต้องผ่านมันไป เก็บตัวไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมาออกไปใช้ชีวิตปกติ  เก็บเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้เป็นประสบการ  ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเพราะความเข้าใจของทุกๆคน   คนที่คอยให้กำลังใจเรา   ทำให้เราผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกตกต่ำนี้มาได้  

2.เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

ผมเป็นคนที่ไม่ชอบการออกไปหน้าห้องเรียนเลย  ตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นคนขี้อายมักจะมีอาการสั่นกลัวเสมอ  จนเพื่อนๆสมัยมัธยมล้อประจำ  จนกระทั่งเรียนมหาลัย  ปี1 ที่ม.สุรนารี มีอยู่วิชานึงที่อาจารย์จะชอบเรียกผมให้ออกไป Present อยู่เป็นประจำเพราะรู้ว่า  ผมกลัวที่จะออกไป อาจารย์ก็คอยบอกเสมอว่าต้องกล้าเพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า คาบแล้วคาบเล่าจนผมเกิดความรู้สึกชินกับการออกไปหน้าห้อง  การPresent ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ  และเมื่อผมย้ายมาเรียนที่ มมส.  ไม่ว่าจะงานกลุ่มหรืองานเดี่ยวผมก็Present ได้เป็นปกติ และได้รับคำชมจากอาจารย์ในบางวิชาว่านำเสนอได้น่าสนใจ กล้่าพูดกว่าคนอื่นๆ ทำให้ผมนึกถึงและรู้สึกขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยผลักดันให้ผมออกไปPresent อยู่ประจำสมัยเรียนที่ มทส. จริงๆ  

นางสาวสาธิตา   วิตตะ   555740090-5  Y#14  sec.12

Positive organization development

coaching

เรื่องที่1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น
ช่วงเรียนปริญญาตรีมีปัญหาเรื่องการเรียนที่ไม่เป็นไปตามที่ลุงคาดหวัง ก็จะโดนดุ โดนเตือนให้ขยันขึ้น ตั้งใจมากขึ้นและนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ในความคิดเราตอนนั้นรู้สึกแย่มาก ทำไมต้องเปรียบเทียบ แต่ป้าก็มาอธิบายความคิดของลุงให้ฟังว่า การเปรียบเทียบเรากับคนที่เก่งกว่าหรือทำได้มากกว่าเรานั้น เพื่อให้เป็นแรงผลักดันและกระตุ้นให้เราทำให้ดีกว่าเดิม แล้วเราก็พยายามนำคำสอนของลุงและป้ามาย้ำเตือนตัวเองเสมอ
เรื่องที่2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น
ด้วยตอนนี้ยังเรียนอยู่และยังหางานทำเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ก็เลยอาศัยช่วนแม่ทำงาน ขายของเตรียมของทุกอย่างที่พอจะผ่อนแรงแม่ได้ ช่วงที่ผ่านมาผลไม้ประจำฤดูคือเงาะ มังคุด และทุเรียน แม่ก็จะนำเงาะมาแกะแล้วทำเงาะลอยแก้ว ทำเองทุกขั้นตอน เราเห็นแม่ทำก็อยากช่วยบ้างรู้สึกว่าแม่ทำงานหนักตลอดเวลา ไม่อยากเป็นภาระถึงแม่จะบอกว่าแม่ทำได้ทุกอย่างเพื่อลูก ไม่อยากเห็นแม่ทำงานหนัก เลยให้แม่สอนแกะ ค่อนข้างยาก แต่เพราะอยากให้แม่ได้พักบ้างเราเลย พยายามทำจนสำเร็จ ตอนนี้ทำเป็นแทบทุกอย่าง รู้สึกภาคภูมิใจเล็กๆ

นาย กวิน ไตรศิริพานิช

นาย กวิน  ไตรศิริพานิช555740609-0 
sec.12 Y#14

"Coaching"

เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

               ผมเรียนจบปริญญาตรีมา ก็ลงเรียนต่อโทเลย ซึ่งผมไม่ได้หางานทำหรือหาสอบเก็บไว้ พ่อผมได้บอกให้ลองไปหาสอบที่ต่างๆ ไว้บ้าง จะได้มีประสบการณ์ในการทำงาน ควบการเรียนไปด้วย ได้เปรียบเทียบกับพ่อว่า สมัยพ่อ ก็ยังทำได้ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ผมจึงโดนกดดันให้อ่านหนังสือสอบให้ติดสักหน่วยงานหนึ่งของรัฐ ผมจึงตั้งใจอ่านหนังสือ ไปลองสอบสัมภาษณ์หลายๆแห่งดู มาลงที่ธนาคารออมสินที่ประกาศผลสอบ แล้วผมผ่านเป็นที่เรียบร้อย ผมได้แสดงให้พ่อเห็นว่า ผมก็ทำได้ เป็นก้าวแรกที่ผมภูมิใจครับ

 

เรื่องที่ 2: เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

ตอนสมัยผมเรียนมัธยม ก็เป็นเด็กคนนึงที่สนใจเรื่องกีฬาเทนนิสมากๆ ผมไม่เคยฝึก ไม่เคยอบรมอะไรที่ไหนมาก่อน เล่นไปเองตามประสาเด็กๆ ในตอนเย็น หลังจากที่โรงเรียนเลิกแล้ว ผมก็จะรีบกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดเผื่อที่จะได้มาเล่นเทนนิส ช่วงเย็นนั้นจะเป็นช่วงที่หลายๆคนมาใช้สนาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือสมาชิกของชมรมหรือแม้แระทั่งเด็กๆรุ่นเดียวกัน บางคนก็เก่งมากๆ ก็ได้เรียนรู้จากเขาบ้าง ทำให้มีการพัฒนาการเล่นขึ้นบ้าง จนวันนึงผมได้เล่นเทนนิสในรั้วมหาลัย ก็เล่นไปตามประสาคนชอบออกกำลังกาย แต่มีรุ่นพี่เห็นฝีมือในการตีเทนนิสจึงได้ชักชวนเข้าร่วมฝึกซ้อม  ทำให้ผมพัฒนาขึ้นไปอีก จนติดทีมมหาลัย

นางสาวอิษฎา อังสุพันธุ์โกศล

555740100-8 y.14 sec.11

 

Coaching

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

เมื่อสมัยตอนเรียนปี1 เป็นปีที่ไม่ตั้งใจเรียนที่สุด จากเดิมที่เคยอยู่บ้านมาตลอด ไม่เคยใช้ชีวิตเอง กลับต้องมาอยู่หอเองในต่างจังหวัดทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปมา อยากทำอะไรก็ทำ เที่ยว เล่นตลอดไม่ค่อยตื่นมาเรียน ไม่ค่อยสนใจการเรียน จนตอนสอบ เกรดออก เรียนแย่มาก ได้เกรดน้อย 1.5ซึ่งน้อยที่สุด เลยกลับมาคิดว่าเราจะทำตัวแบบเดิมไม่ได้แล้ว ประกอบกับได้รู้จักกับเพื่อนกลุ่มใหม่ ที่เป็นเพื่อนที่ดี ทุกเช้าจะมารับไปเรียน เพื่อนได้บอกว่า "เรายังดีกว่าคนอื่นตั้งเยอะนะคิดดูดีๆ มีโอกาสเรียนต่อ มีที่บ้านคอยสนับสนุนทุกทาง ให้กำลังใจอีก ทำไมจะตั้งใจเรียนให้เกรดดีๆไม่ได้หล่ะแค่นี้เอง" ทำให้เราตั้งใจเรียนมากขึ้น ส่งงานทุกงานตามเวลา จนเทอมต่อๆมาได้เกรดดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงตอนนี้ก็ได้แต่กลับมาคิดว่าเราน่าจะตั้งใจเรียนตั้งแต่แรก เพราะเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรที่ผ่านมาแล้วได้..

เรื่องที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสไปว่ายน้ำกับพี่ ซึ่งเราว่ายน้ำไม่เป็น กลัวน้ำมาก เวลาเล่นก็จะเกาะขอบ และใช้ห่วงยาง พี่คอยสอนให้เราหัดว่ายน้ำ เริ่มจากฝึกหายใจในน้ำ ฝึกตีขา-ตีแขน และคอยช่วยดุแลเราตลอดเวลาเล่น ทำให้เรากล้าลงไปที่ลึกๆมากขึ้น โดยไม่ใช้ห่วงยาง  เราไปสระว่ายน้ำบ่อยขึ้นแทบจะทุกวันจนเราว่ายน้ำได้ พอช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งจากเดิมที่จมลงน้ำไปเลย ก็ลอยได้ เราจึงรู้ว่าการที่เราไม่กล้านั้นลงไปที่ลึกๆนั้น เกิดจากการที่เรากลัวจมเอง แต่เมื่อเราว่ายได้ เราไปลึกก็ไม่จม เมื่อบอกแม่ แม่ก็ดีใจที่เราว่ายน้ำได้สักที แม่บอกว่า ที่เราไม่กล้านั้น เพราะเรากลัวเอง ทั้งที่จริงมันไม่ได้ยากเกินกว่าที่คน ๆนึงจะทำเลย

 

 

 

นายธนวัฒน์  ทาแก้ว  ID: 555740608-2 MBA Y#14 Sec.12

 

Homework

Go up : ในช่วงเวลาที่ผมศึกษา อยู่ ป.ตรี ชั้นปีที่ 2 มันเป็นช่วงที่ผมคิดว่าชีวิตตกต่ำทางด้านสภาวะจิตใจมาก เพราะเกิดจากการที่ผมอกหักจากแฟนคนแรก ในสมัยตอนที่ยังคบกันอยู่ ผมจะเป็นคนที่ชอบร้องเพลงมาก ประกอบกับในช่วงที่ผมศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 นั้น ผมมีงานเสริม คือเป็นนักร้องที่ร้านอาหารบริเวณหลัง ม.ขอนแก่น

                หลังจากที่เลิกรากันไป ผมก็ไม่สามารถร้องเพลงได้อีกเลย ต่อมาไม่นานนัก เพื่อนที่เป็นนักดนตรีด้วยกัน เขาก็ได้เข้ามาเยี่ยมเยือนฉันมิตร และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เขาได้พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า การที่เราตะโกน ถ้าตะโกนออกไป สั้นๆ ห้วนๆ มันจะเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย แต่ถ้านายลองตะโกนให้มันมีจังหวะ ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ ผู้ที่ได้ฟังคำตะโกนนั้น จะมีความสุข พอผมได้ฟังประโยคนี้ก็ทำให้ผมคิดขึ้นได้เลยว่าจะเศร้าไปทำไม มันทำให้ผมกลับมาร้องและหัดเล่น ดนตรีให้ดีขึ้นจนถึงทุกวันนี้

Trio :      ในการ Coaching ผมเป็นผู้สังเกตการณ์

คุณเล้ง เป็นผู้ที่ขาดความมั่นใจในการที่จะลงทุน กลัวที่จะทำ จึงได้ พี่หนึ่ง เป็นผู้ Coach ให้ โดยมีใจความสำคัญว่า

ให้ลองสร้างความมั่นใจโดยการ ลองเล่นหุ้นดู เพราะคุณเล้งสนใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วให้ลองหาประสบการณ์เกี่ยวกับด้านนี้ ทั้งในเรื่องการบริหารความเสี่ยงต่างๆ เมื่อเกิดปัญหา คุณหนึ่งก็ได้แนะนำว่า เวลาที่ล้ม ยังไม่ต้องรีบลุกขึ้นก็ได้ ให้ลองมองดูที่พื้นก่อน มองหาดูว่าอะไรมีค่าบ้าง หยิบฉวยมัน แล้วค่อยลุก และไตร่ตรองก่อนที่จะเดินต่อไปและคุณหนึ่งได้แนะนำเสริมไปอีกว่า การลองทำคือการเสริมสร้างความมั่นใจ โดยเฉพาะการทำอะไรที่เราชอบ เพราะมันจะทำให้เราสนใจมันมากขึ้น และพยายามที่จะเรียนรู้ ค้นขว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับมัน

นายสิทธิพงษ์ พันธุ์กาฬสินธุ์

นายสิทธิพงษ์ พันธุ์กาฬสินธุ์

555740091-3  sec.12

                                                                                           Coaching

เรื่องที่1 เวลาที่รูสึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                เหตุการณ์เป็นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกแย่และตกอยู่ในช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตก็ว่าได้เลยสำหรับช่วงชีวิตที่ผ่านมา คือช่วงนั้นจะมีมรสุมชีวิตเข้ามามากมาย เริ่มแรกคือ แฟนที่ผมคบกันมาตั้งนานเขาได้บอกเลิกผมไปทำให้ผมช่วงนั้นเป้นอะไรที่เสียใจมากเพราะคนนี้เป้นคนที่รู้สึกว่ารักและมอบหัวใจให้เขาทั้งหมดหัวใจเลยก็ว่าได้ หลังจากที่แฟนผมบอกเลิกในขณะเดียวกันวันเดียวกันเลยรถของผมก็ดันมาหายทำให้ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปกันใหญ่ เรื่องเลวร้ายยังไม่หมดเพียงเท่านี้หลังจากนั้นมาประมาณ1เดือนกระเป๋าเงินผมก็โดนขโมยอีก ทำให้รู้สึกว่าชีวิตเราในช่วงนั้นทำไมมันแย่อย่างนี้ว่าจนรู้สึกว่าไม่อยากอยู่อีกต่อไป

จุดเปลี่ยน ในช่วงนั้นผมจะมีแม่เป็นกำลังหลักสำคัญเลยในการให้กำลังใจ แม่จะคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ พาไปทำบุญพาผมไปผ่อนคลายไม่ให้คิดมาก และก็จะมีเพื่อนๆที่คอยอยู่ข้างๆให้กำลังใจผมทำให้ช่วงนั้นของผมค่อยๆดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนผมผ่านข่วงนั้นมาได้แล้วผมมองย้อนกลับไปแล้วก็นึกขำตัวเองที่เป็นแบบนั้น แต่เรื่องราวแบบนี้ก็ดีสำหรับผม เพราะมันทำให้ผมเข้งแรงขึ้นมาก ผมเจอเรื่องอะไรที่หนักเข้ามาก็ทำให้ผมไม่หวั่นไหวไม่กลัวต่ออุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะผมคิดว่าผมผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผมมาแล้ว

 

เรื่องที่2 เหตุการณที่ทำให้เราเก่งขึ้น

            โดยนิสัยของผมเป็นคนขี้อาย พูดไม่ค่อยเก่ง ไม่กล้าที่จะพูดต่อหน้าผู้คนมากๆ เวลาที่อาจารย์ให้ออกไปพูดอะไรหน้าชั้นเรียนผมจะกลัวและตัวสั่นมากจนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง เสียงก็สั่นจนพูดไม่รู้เรื่อง จนผมได้มารู้จักกับรุ่นพี่ต่างคณะคนหนึ่ง(ผมเรียนนิติศาสตร์มา)พี่เขาเป็นคนพูดเก่งมาก มีศิลปะในการพูด เวลาพูดผู้คนจะตั้งใจฟังและตรบมือให้พี่เขาทุกครั้งที่ลุกขึ้นพูด ช่วงนั้นเป็นช่วงร่างรัฐธรรมนูญมีเวทีจัดแสดงความคิดเห้นที่ไหนพี่เขาก้จะไปฟัง และไปเสนอความคิดเห็น เสนอในข้อกฎหมายที่ควรเพิ่มและแก้ไข เมื่อพี่เขาพูดจบทุกคนในห้องประชุมต่างตรบมือกันอย่างเสียงดังพร้อมกับชื่นชมแกในสิ่งที่แกพูด

 

จุดเปลี่ยน ด้วยความที่รุ่นพี่คนนั้นเขาเป้นนายกองค์การนักศึกษา และช่วงนั้นเป้นช่วงร่างรัฐธรรมนูญ 2549 ได้มีการจัดเวทีเสนอความคิดเห็นหลายเวทีและก็มีเวทีของกลุ่มนักศึกษา รุ่นพี่คนนั้นจึงให้ผมเป็นตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นในการไปเสนอความคิดเห็นในการร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ด้วย นั่นเป้นครั้งแรกเลยที่ผมต้องออกไปพูดเสนอความคิดเห็นในตัวแทนของมหาลัยขอนแก่น เป้นอะไรที่ตื่นเต้นมาก ผมจึงเตรียมพร้อมทั้งกายและใจอย่างดีเยี่ยม จนเหตุการณ์นั้นผ่านมาด้วยดี และรุ่นพี่คนนี้ยังแนะนำสอนเทคนิคในการพูด เอาหนังสือเทคนิคการพูดให้ผมไปอ่าน เปิดคลิปวีดิโอนักพูดต่างๆให้ดู และให้จดจำลักษณะท่าทางบุคลิกการพูดของเขาเหล่านั้น และแกยังชอบหาข้อปัญหากฎหมายต่างๆที่เกิดขึ้นจริงในปัญจุบันมาถามผมให้ผมได้คิดด้วย จนทำให้ผมไม่ตกใจและไม่กลัวที่จะพูดต่อหน้าผู้คนอีกต่อไป สร้างความกล้าในการพูด มีความมั่นใจในหารพูดขึ้นมากเลย

นางสาว นฤมล มิตรเจริญพันธุ์ 555740045-0 y#14 sec 12

นางสาว นฤมล มิตรเจริญพันธุ์  555740045-0 y#14 sec 12

 

COACHING วิชา CREATIVITY

 

      บ้านของ ดิฉัน ทำกิจการ อู่ซ่อมรถ สมัย ที่ เรียน อยู่ โรงเรียน และ มหาวิทยาลัย จะไม่ค่อยได้ ยุ่งงานของที่บ้าน เพราะ เรียน อย่างเดียว แต่ พอ เรียน ป.โท แล้ว สัปดาห์หนึ่งเรียนแค่3วัน วันที่เหลือ จึงได้ มา ทำงาน ที่ บ้าน ด้วยความที่ ดิฉัน เป็น คน พูดตรง ไม่พอใจ ก็ จะว่า ก็ จะ ด่า  แต่ ด้วย ความ ที่ เรา เพิ่ง มา ทำงาน ทำ ให้ เรา ไม่ รู้ ว่า การ ทำงาน นั้น  สื่งที่ยากที่สุดคือการ ควบคุมคนงาน เหตุการณ์ ที่เรา รู้สึกแย่มากๆ คือ เรา ไม่ชอบคนงานคนหนึ่ง เรา มีอคติกับ คนนี้ แล้ว คนงาน ชอบ พูดอะไร ที่ ไม่คือ พูด กระทบกระทั่ง เรา หา ว่า เรา ไม่ค่อย ทำงาน เอา เงินเดือน ทำไม ดิฉัน โมโห มาก  จึง ส่ง ข้อความ ไป ด่า คนงานคนนี้ แต่ ส่ง ใน เครื่อง ลูกสาว ให้ ลูกสาว เอา ไปให้ แม่ ดู ว่า ดิฉัน โกรธ มาก ดิฉัน ด่า ไปเยอะ แต่ การ ที่ ดิฉัน ได้ ทำ ไปแล้วนั้น ทำให้ คนงาน และ ลูกสาว ร้องไห้ ทั้ง คืน โดย ที่เรา ไม่ทราบ พ่อ ของ ดิฉัน มา บอก และ ได้ ให้ ข้อคิดว่า ถ้า เรา ยัง ทำงานนี้ เอง ไม่ได้ เรายังทำงานนี้ ไม่เป็น เรายังต้องพึ่งคนงาน เรายังไม่ว่างมาทำงานตลอด เราควรจะ แคร์คนงาน ทุก บริษัท ทุกวันนี้ ง้อ คนงานมาก เราไม่กลัว เค้าไปทำงานที่อื่นหรอ แล้ว ก็ ให้ ดิฉันและคนงาน มาปรับความเข้าใจ กัน ก็ ได้ ขอโทษกัน และ แก้ไขปัญหา ต่างๆร่วมกัน ทำให้ เข้าใจกันมากขึ้น และ ทำงาน ด้วยกันได้ สบายใจขึ้น ทำงาน ได้ สะดวกใจมากขึ้น  งาน ก็ จะออก มา ประสบความสำเร็จ เพราะ คนที่ทำงาน พนักงาน ทุกคน มีความสุขในการทำงาน

น.ส.นฤมล ลับลิพล 555740046-8 Sec.12

Coaching

เรื่องที่ 1 ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

                ตอนเรียนอยู่ระดับปริญญาตรีเมื่อผ่านไป 1 ปี ด้วยความที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนผลการเรียนเฉลี่ยออกมาได้ไม่ถึง 1.50 ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะถูกรีไทร์ จึงตัดสินใจลงแอดมิชชั่นอีกครั้งเพื่อที่จะเรียนใหม่สาขาอื่นที่ง่ายกว่าเดิม และเมื่อสอบผ่านแล้วได้ไปสัมภาษณ์กับอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยสอนตอนปี 1 เทอม 1  ชื่ออาจารย์ สมชัย อาจารย์ถามเหตุผลว่าทำไมถึงจะซิ่วจึงบอกไปว่า ตอนนี้เกรดได้น้อยมากกลัวว่าจะถูกรีไทร์ รู้สึกท้อและคิดว่าคงทำเกรดให้จบตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ไม่ได้เพราะติด F ถึง 3 ตัว เลยอยากจะเริ่มต้นใหม่และจะตั้งใจให้มากกว่าเดิม อาจารย์จึงบอกว่า ถ้าคิดว่าจะขยันและตั้งใจมากกว่าเดิมไม่จำเป็นต้องไปเริ่มเรียนใหม่ เสียดายเวลาที่ผ่านมาตั้ง 1 ปี มันมีโอกาสที่จะดึงเกรดให้สูงขึ้นจบตามเกณฑ์ที่กำหนดได้และจบพร้อมเพื่อน  ครูไม่ให้เธอซิ่ว หลังจากที่ได้คุยกับอาจารย์จึงตัดสินใจเรียนต่อในสาขาวิชาเดิมและตั้งใจเรียนตามที่ตั้งใจไว้จนสามารถดึงเกรดให้สูงขึ้นและเรียนจบพร้อมเพื่อนได้

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

 

                ตอนเรียนปริญญาตรีได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่เรียนเก่งและขยันมาก เวลาที่เรียนแล้วไม่เข้าใจอะไรก็จะถามเพื่อนคนนี้และเพื่อนคนนี้ก็จะสอนและอธิบายจนให้เราเข้าใจ เมื่อเวลาผ่านไป4ปี ตลอดเวลาที่ได้รู้จักเพื่อนคนนี้และได้เรียนด้วยกันมาทำให้รู้สึกว่าเค้ามีส่วนช่วยให้เราพัฒนาตนเองและทำให้เราเก่งขึ้น

นางสาวสุพัตรา  กาละมา  รหัส 555740014-1 Sec.12 POD

อคติ โค๊ชมีอคติกับผู้เล่าเรื่อง โดยโค๊ชไม่เห็นด้วยกับการเรียนต่ออย่างเดียวโดยที่ไม่ได้ทำงาน โค๊ชมองว่าการทำงานอย่างเดียวทำให้ไม่มีประสบการณ์

เจตนา มีความตั้งใจและมุ่งมั่นในการศึกษาต่อต่างประเทศ

ความรู้สึก ผู้เล่าเรื่องมีความตั้งใจและชอบทำงานวิจัย เป็นคนขยันศึกษาหาความรู้ อยากรู้อยากเห็นและมีความละเอียดในการทำงานวิจัย เป็นคนช่างสังเกต

 

ข้อมูลพี่กลอฟ ตั้งใจว่าเรียนจบปริญญาโทแล้วจะศึกษาต่อปริญญาเอกด้านบริหารธุรกิจที่ต่างประเทศ อยากได้ความรู้และประสบการณ์ที่ต่างประเทศ และจะขอทุนทางมหาวิทยาลัยไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนและประเทศเดนมาร์ค เรียนจบจะกลับมาเป็นอาจารย์สอนที่ประเทศไทย

Reality ทำวิทยานิพนธ์และต้องตีพิมพ์ที่มีFactor เยอะๆ เรียนภาษาในการสอบเรียนต่อ

เป้าหมาย อยากเรียนต่อ

ทางเลือก ทำงานที่ต่างประเทศ หรือกลับมาเป็นอาจารย์สอนที่ประเทศไทย

 Scal1-10 อยู่ที่ประมาณ 8 

10 10 10  10วันจะตั้งใจทำวิทยานิพนธ์ 10เดือน ศึกษาต่อต่างประเทศ 10ปี จบปริญญาเอก 

จากการเป็นผู้สังเกตทำให้มีพบว่าผู้เล่าเรื่องมีความตั้งใจแน่วแน่ และมีเป้าหมายที่ชัดเจน

                                                                                                                        น..ส.ผกาสินีลิ้มตระกูล

                                                                                                                 รหัส 555740053-1sec.12 Y#14

 

             Coaching

:: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น ::

 

น่าจะเป็นช่วงที่เรียนอยู่ ม.4 จะขึ้น ม.5ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตกต่ำมากเนื่องจากว่าตอนนั้นติดเกมส์และไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ คือเวลาเรียนยังเอาเกมส์มาเล่น ทำให้เกิดความขี้กียจ เวลาจะสอบก็มาอ่านหนังสือช่วงใกล้ๆวันสอบจนทำให้ผลการเรียนตกต่ำจากเกรด 3 กว่า มาเหลือประมาณ 2.5 ทำให้ตัวเองรู้สึกกังวลมากเนื่องจากกลัวที่บ้านจะรู้เรื่องเกรด พอถึงวันที่อาจารย์เชิญผู้ปกครองมารับเกรดและพูดคุยกับผู้ปกครองวันนั้นพอกลับถึงบ้านก็ได้โดนพ่อแม่เรียกไปคุย ตอนแรกเครียดมากเพราะกลัวพ่อกับแม่จะด่า แต่ปรากฏว่าพวกท่านไม่ด่า แต่พูดให้เราได้คิดว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรพูดไปเรื่อยๆจนเรามานั่งคิดและปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่โดยการเปลี่ยนตัวเอง คือ เลิกเล่นเกมส์ และหันมาตั้งใจเรียนมากขึ้น จนเกรดขึ้นในที่สุด

 

น.ส.อภิญญา นาคเหลา  555740097-1 sec.12

 Coaching

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                    คิอตอนปี 2 เจอวิชาเรียนที่ยาก พวกแคลคูลัส วิชาสาขาการเงินต่างๆและด้วยเกรดไม่่ถึง 2 และยังติดเอฟ อีก 2 ตัว ซึ่งวิชาที่ติดเอฟจะไม่สามารถไปเรียนวิชาต่อเนื่องกับเพื่อนได้ ต้องไปเรียนแก้ก่อน ทำให้เกิดท้อ ร้องไห้ จะลาออกไปเรียนคณะใหม่ เพราะเรียนแล้วไม่เข้าใจ กลัวโดนไล่ออกเพราะเกรดไม่ถึงด้วย จึงได้ไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเรื่องจะขอลาออก อาจารย์เลยบอกให้ใจเย็นๆและอาจารย์ขอดูตารางเรียน และแนะนำว่าอย่าคิดมาก มีเพื่อนที่ประสบปัญหาอย่างนี้เหมือนกัน แต่เขาผ่านมันไปได้แค่เปิดใจและค่อยๆคิดปัญหามันแก้ได้ เราอ่อนจุดไหนก็ให้ขยันอ่านหนังสือ ไม่เข้าใจก็ถามอาจารย์ ให้เพื่อนช่วยติวเรียนเสร็จก็ให้กับไปทบทวน จึงได้นำสิ่งที่อาจารย์แนะนำมาใช้ และสิ่งที่รู้สึกมีกำลังใจคือ พ่อกับแม่ ท่านบอกว่าทำทุกอย่างให้เต็มที่สิ่งที่ผ่านมาแล้วให้ผ่านไปและพ่อได้ให้สัญญาว่าถ้าเกรดถึง 2.00 ขึ้นไปจะดูดบุหรี่ให้น้อยลงกว่าเดิม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้มีแรงผลักดัน ไม่ท้อในการเรียนทำให้จากเกรด 1 กว่าๆขึ้นมา2.28 ได้ วิชาที่ติดเอฟก็สามารถผ่านไปได้

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                  คือ การช่วยที่บ้านทำบัญชีให้ลูกค้าและคิดเงินให้กับลูกน้องว่าถูกต้องไหมในแต่ละช่อง ถึงแม้ว่าจะเรียนจบสาขาการเงินมา แต่ด้วยการทำงานต้องมีความรอบคอบ ไม่ใช่แต่กดแต่เรื่องคิดเลข บางครั้งเราต้องบวกลบ ด้วยตัวเราเอง คือตอนแรกๆก็ใช้เครื่องคิดเลข หลังๆมาเมื่อรวมบ่อยๆก็จะใช้การคิดเลขเร็วในแต่ละช่อง และรวมได้ถูกต้องเอง โดยไม่ใช้เครื่องคิดเลข เพราะมันจะคล่องกว่าและได้ใช้สมองของตัวเองด้วย ซึ่งมันเป็นการฝึกให้เรามาใช้คิดเวลาเรียนวิชาคำนวนด้วย

 

นาย วิศรุต พัฒน์ดำรงจิตร sec4 ex19 555740225-9

เรื่อง ที่เปลี่ยนแปลงให้เราดีขึ้น

 

ตอนเด็กๆผมเป็นคนตื่นสายตอนเรียนผมก็ตื่นสายไม่ค่อยไปเรียนได้ทัน วันหยุดก็จะนอนทั้งกลางวัน ตอนเย็นก็ค่อยออกไปหาเพื่อน เป็นแบบนี้มาหลายปี

จนวันหนึ่งป๊าผมมาพูดด้วยว่า "ทำไมนอนตื่นสายเสียเวลาทำมาหากิน วันนึงมีเวลา24ชม.เรานอนกี่ชม.เงินกะงานมีคนทำไม่หยุดทุกเวลาแต่เรามานอนนี่นะ นกตัวที่ตื่นเช้ากว่าย่อมได้หนอนตัวใหญ่เสมอ"หลังจากที่ได้ฟังผมก็คิดตามทันที แต่ผมค่อนข้างเป็นคนที่ทำอะไรจะมากกว่าคนอื่นเสมอ ผมเลยคิดว่าถ้านกมันไม่นอนเลยล่ะครับ ก็ได้หนอนตัวที่ดีที่สุดเลยไหม ทุกวันนี้ผมนอนวันล่ะ4-6ชม. ทำงาน ิและ ออกไปหาอะไรทำตลอดเวลา เวลาว่างก็อ่านหนังสือ หลายคนรอบตัวผมก็บอกว่าหักโหมเกินไป แต่ผมมีความสุขนะครับที่ได้ใช้เวลาใน1วันมากกว่าคนอื่นมอาจจะเหนื่อยและน็อคบ้างแต่ก็ผมทำแบบนี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้วเพราะคำที่ป๊าพูดกะผมวันนั้น 

 

 

 

น.ส.มัสลิน  ปูนอน 555740053-1 sec.12

 Coaching

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                 ตอนเรียนปริญญาตรีไม่ตั้งใจเรียน ติดเพื่อน ติดเที่ยว ไม่ไปเรียน ทำให้ติด R เรียนช้า ทำให้ต้องได้ย้ายคณะเพราะเกรดไม่่ถึง ช้าไปหมดทุกอย่าง เสียเวลา เสียเงิน  ทำให้เรียนช้า ทะเลาะกับพ่อแม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ รู้สึกไม่ดีมาก

จุดเปลี่ยน: 

                    แม่ให้โอกาสในการย้ายคณะเรียนใหม่ เริ่มใหม่ และให้คำปลอบโยนและกำลังใจเสมอ รวมถึงพี่ชายก็ให้กำลังใจ มาตลอดไม่เคยว่า ไม่เคยเปรียบเทียบทั้งที่พี่ชายเรียนเก่งมาก จึงทำให้ตั้งใจเรียนใหม่และจบภายใน 2 ปี

เรื่องที่ 2 เล่าปัญหา (ผู้เล่าปัญหา -โค้ช-ผู้สังเกตการณ์)

                   เป็นผู้เล่าปัญหา ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ตอนแรกขายทางอินเตอร์เน็ตอย่างเดียวตอนแรกที่เริ่มทำไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อนเพราะขายทางอินเตอร์เน็ตมันขายยากกว่ามีหน้าร้านไม่รู้จะขายอย่างไร จะโฆษณาหรือทำให้ลูกค้ารู้จักร้านเราได้อย่างไร

จุดเปลี่ยน : 

                    มีพี่ที่ขายมาก่อนเป็นพี่ที่เรียนด้วยกันได้แนะนำว่าต้องเริ่มจากการโพสโฆษณาฟรีก่อนถ้าเราไม่ค่อยมีทุน ขยันโพสลงรูปเขียนคำโฆษณาดีๆ ก็จะเริ่มมีคนเห็นและถ้าลูกค้าติดต่อกับมาก็ให้คำปรึกษาที่ดี ใจเย็น พูดเพราะ จะได้ใจลูกค้าและอย่าขายเอากำไรเยอะมากเราเน้นได้ใจลูกค้าจะได้อยู่เป็นลูกค้าเรานานๆ

 

 

น.ส.มัสลิน  ปูนอน 555740053-1 sec.12

 Coaching

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                 ตอนเรียนปริญญาตรีไม่ตั้งใจเรียน ติดเพื่อน ติดเที่ยว ไม่ไปเรียน ทำให้ติด R เรียนช้า ทำให้ต้องได้ย้ายคณะเพราะเกรดไม่่ถึง ช้าไปหมดทุกอย่าง เสียเวลา เสียเงิน  ทำให้เรียนช้า ทะเลาะกับพ่อแม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ รู้สึกไม่ดีมาก

จุดเปลี่ยน: 

                    แม่ให้โอกาสในการย้ายคณะเรียนใหม่ เริ่มใหม่ และให้คำปลอบโยนและกำลังใจเสมอ รวมถึงพี่ชายก็ให้กำลังใจ มาตลอดไม่เคยว่า ไม่เคยเปรียบเทียบทั้งที่พี่ชายเรียนเก่งมาก จึงทำให้ตั้งใจเรียนใหม่และจบภายใน 2 ปี

เรื่องที่ 2 เล่าปัญหา (ผู้เล่าปัญหา -โค้ช-ผู้สังเกตการณ์)

                   เป็นผู้เล่าปัญหา ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ตอนแรกขายทางอินเตอร์เน็ตอย่างเดียวตอนแรกที่เริ่มทำไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อนเพราะขายทางอินเตอร์เน็ตมันขายยากกว่ามีหน้าร้านไม่รู้จะขายอย่างไร จะโฆษณาหรือทำให้ลูกค้ารู้จักร้านเราได้อย่างไร

จุดเปลี่ยน : 

                    มีพี่ที่ขายมาก่อนเป็นพี่ที่เรียนด้วยกันได้แนะนำว่าต้องเริ่มจากการโพสโฆษณาฟรีก่อนถ้าเราไม่ค่อยมีทุน ขยันโพสลงรูปเขียนคำโฆษณาดีๆ ก็จะเริ่มมีคนเห็นและถ้าลูกค้าติดต่อกับมาก็ให้คำปรึกษาที่ดี ใจเย็น พูดเพราะ จะได้ใจลูกค้าและอย่าขายเอากำไรเยอะมากเราเน้นได้ใจลูกค้าจะได้อยู่เป็นลูกค้าเรานานๆ

 

นสมณ กฤษณะสุวรรณ yong14 sec11 555740537-9

เมื่อก่อนตอนที่หนูยังเรียนมัธยม หนูค่อนข้างเป็นคนที่สุขภาพไม่แข็งแรง และไม่ชอบออกกำลังกาย ที่บ้านของหนูทั้งพ่อและแม่ ก็ทำงานและไม่ได้มีเวลาว่างมาออกกำลังกาย แต่พ่อหนูจะกำชับเสมอว่ามาโรงเรียนทำกิจกรรมอะไรก็ต้องออกกำลังกายบ้างเพราะเราสุขภาพไม่ดีอ่อนแอเป็นโรคภูมิแพ้และหอบ แต่หนูก็ไม่เคยทำอะไรตามที่พ่อแม่บอกเลย จนมาวันนึง ซึ่งวันนึ่งขณะที่หนูเพิ่งลงรถโรงเรียน เข้าบ้าน มันอาจจะไม่ใช่ประโยคที่พ่อแม่พูด แล้วทำให้เราคิดและเปลี่ยนแปลงเหมือนคนอื่นๆ พ่อแค่พูดกะหนูว่า "มาตีแบทกันเถอะ" เป็นกิจกรรมที่เราจะได้ใช้เวลาและได้สุขภาพกะครอบครัว ทุกวันนี้หนูเปลี่ยนนิสัยดูแลสุขภาพตัวเองทั้งเข้าฟิสเนตอาทิตละ5วัน และดูแลอาหารการกิน หนูรักพ่อคะ

น.ส.พิมพ์ชนก  บัวพรม 555740060-4  Y#14 Sec.11

 Coaching

::เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น::
เมื่อครั้งที่ฉันเรียนป.ตรี ช่วงปี1เทอม2 ได้เรียนวิชา stat for econ  ในความรู้สึกของฉันวิชานี้มันยาก  พอคิดว่ามันยากก็เลยไม่ค่อยสนใจ  เรียนบ้างเล่นบ้าง  บางวันก็โดดเรียน  เพราะคิดว่านั่งเรียนไปมันก็ไม่เข้าหัว  ค่อยไปทำความเข้าใจทีเดียวก่อนสอบยังไงก็มีเพื่อนติวให้อยู่แล้ว   และเมื่อถึงช่วงสอบmidtermมาถึง  1 วันก่อนสอบวิชานี้ฉันอ่านหนังสืออย่างหนัก อ่านแบบเบลอๆและแน่นอนว่าไม่สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้ภายในข้ามคืน  ด้วยความวิตกกังวลก็ทำให้นอนไม่หลับ  ก็เลยไม่มีเวลาพักผ่อน  อ่านมันไปจนเช้าซะเลย  วิชานี้สอบในช่วงบ่าย  ซึ่งช่วงเช้านั้นฉันก็มีสอบ  พอสอบวิชาแรกตอนเช้าผ่านไป  มาถึงช่วงบ่ายที่สอบstat for econ ด้วยที่ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเลย  ทำข้อสอบก็เดาๆไปเพราะความรู้ที่จะเอาไปสอบก็ไม่แน่น  ง่วงก็ง่วง  ถึงขั้นหลับในห้องสอบเลยเพราะไม่ไหวจริงๆ  พอออกจากห้องสอบก็รู้สึกแย่  และเสียใจที่ไม่ตั้งใจเรียนในห้อง  และเมื่อช่วงสอบผ่านไป  ก็ถึงเวลาที่อาจารย์จะบอกคะแนนสอบ  ซึ่งก็เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องได้น้อยสุดๆแน่ๆ  และมันก็น้อยจริงๆ  พอเลิกเรียนวิชานี้เพื่อนคนนึงก็ถามว่าได้คะแนนเท่าไร  เราก็บอกไปว่าได้เท่านี้ๆ  เพื่อนคนนั้นพูดกลับมาว่า  โหถ้าเราได้น้อยขนาดนี้  เราไม่ยอมติดเอฟตั้งแต่ปี1หรอก  เป็นเรา  เราจะซิ่วเลย  พอได้ฟังแล้วก็เงิบเลย  รู้สึกแย่ไปกว่าเดิม   เลยมาเล่าให้เพื่อนในกลุ่มฟัง  เพื่อนๆก็ให้กำลังใจ  บอกให้สู้ลองตั้งใจใหม่จากนี้ไปจนถึงfinalก็ยังไม่สาย  จากนั้นมาฉันก็ตั้งใจเรียนวิชานี้  ด้วยแรงฮึดจากคำดูถูกของคนนั้น  ฉันต้องไม่ติดเอฟ  สอบfinalผ่านไป  พอถึงวันที่เกรดออก  เพื่อนคนที่เคยดูถูกฉันโทรมาหาฉัน  เขาคนนั้นติดเอฟซะเอง  ตอนแรกเขาคิดว่าฉันติดเอฟเพราะคะแนนน้อยกว่าเขาตอนmidterm และที่โทรมาก็เพื่อจะชวนลงเรียนใหม่ด้วยกันในเทอมถัดไป  ตอนที่เขาโทรมาฉันเองก็ยังไม่ได้เปิดดูเกรด  ก็ใจเสียแล้วแหละ  เพราะคิดว่าจะต้องติดแน่ๆ  แต่พอเปิดดูเท่านั้น ถึงกับกรี๊ด   เพราะว่าไม่ติดเอฟ  ฉันดีใจมากๆ  เพื่อนในกลุ่มก็ดีใจกับฉันกันทุกคนที่ฉันสามารถผ่านวิชานี้มาได้  และสามารถลบคำดูถูกของคนนั้นได้  จากเรื่องนี้จึงทำให้ฉันรู้ว่า  ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม  เราจะต้องมุ่งมั่นตั้งใจ  และเอาใจใส่ให้มากๆ  ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถ  ถ้าเรามีความตั้งใจจริง

นางสาว พนิดา ฉิมวัย 555740054-9

MBA Sec.11 Y14#

Coaching



จุดเปลี่ยนที่ทำให้พฤติกรรมดีขึ้น

          ปกติเป็นคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษเลย เพราะเป็นคนที่เรียนแล้วไม่เข้าใจ จำไม่ได้สักที เรียนพิเศษหลายที่แล้วก็ไม่เข้าใจ แต่พอได้รู้จักกับพี่คนนึง ทำให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ เพราะเขาได้อธิบายให้เข้าใจว่าเราสามารถทำสิ่งที่อยู่รอบตัวเราให้เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษได้ ไม่จำเป็นต้องหาที่เรียนพิเศษเพียงอย่างเดียว  ฟังเพลง ดูหนัง หรือเขียนไดอารี่ประจำวันให้เป็นภาษาอังกฤษ ผิดบ้าง ถูกบ้างไม่เป็น ใช้ให้ชิน ให้เจอทุกๆวัน แล้วเราจะชอบเอง ทำให้มีความคิดเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนพฤติกรรมมาสนใจมากขึ้น ดู ฟัง ภาษาอังกฤษมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันภาษาอังกฤษดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เก่ง เพราะยังต้องฝึกอีกมากเลยทีเดียว แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี 

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทักษะดีขึ้น

          โดยปกติเป็นคนที่ชอบทำงานศิลปะหรืองานกราฟิกอยู่บ่อยครั้ง จึงได้มีโอกาสได้ไปทำงานpart time เป็นเกี่ยวกับการใช้โปรแกรม Photoshop ซึ่งในที่ทำงานก็จะมีมืออาชีพที่ทำงานโปรแกรมนี้  ที่คอยสร้างสรรค์งานต่างๆ เช่น งานหนังสือ โปสเตอร์โฆษณา การ์ดงานต่างๆเป็นต้น  ทำให้เราได้มีโอกาสได้สักถามในเรื่องที่เราไม่รู้เกี่ยวกับโปรแกรมนี้  ทำให้มีความรู้เพิ่มเติมมากขึ้น  เกิดทักษะในการใช้โปรแกรมมากขึ้น 

นางสาวจิตตานันทิ์ หลักทรัพย์ 555740023-0 Y#14 Sec.11

Business Creative

เรื่อง : เวลาที่ทำให้รู้สึกตกต่ำแล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

กล่าวถึงประวัติการเรียนของข้าพเจ้าก็นับว่าเป็นเด็กเรียนดีมาโดยตลอด จนกระทั่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในปีที่2 การเรียนก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด จากเคยเป็นคนที่ตั้งใจเรียนก็กลับกลายเป็นคนที่ไม่สนใจการเรียน ((ตื่นทันก็ไปเรียน ตื่นไม่ทันก็ไม่ไปเรียน ค่อยไปรออ่านหนังสือก่อนสอบก็ได้หรอก ซึ่งเมื่อผลสอบออกมาคะแนนของข้าพเจ้านับว่าอยู่ในขั้นแย่มากเลยทีเดียวก็ว่าได้ ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นทุกข์มาก และเมื่อพ่อและแม่รู้ผลการเรียนของข้าพเจ้า พ่อได้พูดกับข้าพเจ้าว่าลูกสามารถทำผิดพลาดได้ คนเราอาจทำในสิ่งที่ผิด ใครๆก็เคยผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น พ่อกับแม่ก็เคยทำผิดพลาด ซึ่งเมื่อรู้แล้วเราจะต้องแก้ไขให้มันดีขึ้น ลูกสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ และพ่อกับแม่รู้ดีว่าลูกรู้สึกเสียใจ และพ่อกับแม่พร้อมเสมอที่จะให้อภัยลูก จากคำพูดของพ่อทำให้ข้าพเจ้าเกิดจุดเปลี่ยนในชีวิต ซึ่งเทอมต่อมาข้าพเจ้าตั้งใจเรียน เข้าเรียนครบทุกครั้ง ส่งการบ้านตามเวลาที่กำหนดและเมื่อผลการเรียนออกเป็นที่พอใจของข้าพเจ้าและครอบครัว ( ถึงผลการเรียนจะไม่ได้อยู่ในขั้นดีเลิศ แต่ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้อยู่ที่การกระทำของตนเอง

เรื่องที่ 2: Coaching  ( คนเล่า-โค้ช –ผู้สังเกตการณ์ )

โค้ชตั้งคำถามสำหรับถามผู้เล่าว่าต้องการทำธุรกิจอะไร คิดว่าจะเริ่มทำเมื่อไหร่ และ10-10-10

คนเล่าได้ตอบว่าต้องการทำธุรกิจเสื้อผ้านักเรียน มีการวางแผนจะทำธุรกิจหลังจากเรียนจบ MBA

อีก 10 วัน ข้างหน้าก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมคือเรียนรู้จากสิ่งที่พ่อสอน

อีก 10 เดือน จะเริ่มคุยกับที่บ้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะ มีการประชาสัมพันธ์

อีก 10 ปี จะสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับครอบครัว 

ในการ  Coaching  ข้าพเจ้าเป็นผู้สังเกตการณ์

อคติ : คนเล่าคิดว่าต้องการเรียนจบก่อนถึงจะทำได้ แต่ที่จริงควรจะเริ่มทำไปด้วยเรียนไปด้วยก็ได้ เพื่อหาประสบการณ์

         ส่วนโค้ชเป็นผู้รับฟังแล้วใช้คำถามมากกว่า ซึ่งอาจมีคำแนะนำให้บ้าง โดยบอกว่าควรเริ่มสร้าง Connection โดยการไปที่โรงเรียนหรือถามความต้องการจากลูกค้า โดยเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน

เจตนา :ต้องการขยายธุรกิจที่บ้าน และสร้างโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง

ข้อมูล : คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 10 ล้านบาท โดยมีการหาหุ้นส่วนซึ่งเป็นเครือญาติกันเท่านั้น มีการจะทะเบียนให้เป็นกิจจะลักษณะและสร้าง Connection เพื่อเพิ่มจำนวนเครือข่ายให้กว้างขวาง ศึกษาการจัดระบบโครงสร้างองค์กรเพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจ

 

 Action : คนเล่าวางแผนจะทำในอนาคต กำลังคิดแต่ยังไม่ได้เริ่มทำ เพราะต้องเรียนให้จบก่อน 

นางสาวจิตตานันทิ์ หลักทรัพย์ 555740023-0 Y#14 Sec.11

Business Creative

เรื่อง : เวลาที่ทำให้รู้สึกตกต่ำแล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

กล่าวถึงประวัติการเรียนของข้าพเจ้าก็นับว่าเป็นเด็กเรียนดีมาโดยตลอด จนกระทั่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในปีที่2 การเรียนก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด จากเคยเป็นคนที่ตั้งใจเรียนก็กลับกลายเป็นคนที่ไม่สนใจการเรียน (ตื่นทันก็ไปเรียน ตื่นไม่ทันก็ไม่ไปเรียน) ค่อยไปรออ่านหนังสือก่อนสอบก็ได้หรอก ซึ่งเมื่อผลสอบออกมาคะแนนของข้าพเจ้านับว่าอยู่ในขั้นแย่มากเลยที่เดียวก็ว่าได้ ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นทุกข์มาก และเมื่อพ่อและแม่รู้ผลการเรียนของข้าพเจ้า พ่อได้พูดว่าลูกสามารถทำผิดพลาดได้ คนเราอาจทำในสิ่งที่ผิด ใครๆก็เคยผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น พ่อกับแม่ก็เคยทำผิดพลาด ซึ่งเมื่อรู้แล้วเราจะต้องแก้ไขให้มันดีขึ้น ลูกสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ และพ่อกับแม่รู้ดีว่าลูกรู้สึกเสียใจ และพ่อกับแม่พร้อมเสมอที่จะให้อภัยลูก จากคำพูดของพ่อทำให้ข้าพเจ้าเกิดจุดเปลี่ยนในชีวิต ซึ่งเทอมต่อมาข้าพเจ้าตั้งใจเรียน เข้าเรียนครบทุกครั้ง ส่งการบ้านตามเวลาที่กำหนดและเมื่อผลการเรียนออกเป็นที่พอใจของข้าพเจ้าและครอบครัว (ถึงผลการเรียนจะไม่อยู่ในขั้นดีเลิศ ) แต่ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้อยู่ที่การกระทำของตน และหมั่นฝึกฝนอยู่เป็นประจำ เพื่อก่อให้เกิดทักษะที่ดี

เรื่องที่ 2: Coaching  ( คนเล่า-โค้ช –ผู้สังเกตการณ์ )

โค้ชตั้งคำถามสำหรับถามผู้เล่าว่าต้องการทำธุรกิจอะไร คิดว่าจะเริ่มทำเมื่อไหร่ และ10-10-10

คนเล่าได้ตอบว่าต้องการทำธุรกิจเสื้อผ้านักเรียน มีการวางแผนจะทำธุรกิจหลังจากเรียนจบ MBA

อีก 10 วัน ข้างหน้าก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมคือเรียนรู้จากสิ่งที่พ่อสอน

อีก 10 เดือน จะเริ่มคุยกับที่บ้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะ มีการประชาสัมพันธ์

อีก 10 ปี จะสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับครอบครัว 

ในการ  Coaching  ข้าพเจ้าเป็นผู้สังเกตการณ์

อคติ : คนเล่าคิดว่าต้องการเรียนจบก่อนถึงจะทำได้ แต่ที่จริงควรจะเริ่มทำไปด้วยเรียนไปด้วยก็ได้ เพื่อหาประสบการณ์

         ส่วนโค้ชเป็นผู้รับฟังแล้วใช้คำถามมากกว่า ซึ่งอาจมีคำแนะนำให้บ้าง โดยบอกว่าควรเริ่มสร้าง Connection โดยการไปที่โรงเรียนหรือถามความต้องการจากลูกค้า โดยเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน

เจตนา :ต้องการขยายธุรกิจที่บ้าน และสร้างโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง

ข้อมูล : คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 10 ล้านบาท โดยมีการหาหุ้นส่วนซึ่งเป็นเครือญาติกันเท่านั้น มีการจะทะเบียนให้เป็นกิจจะลักษณะและสร้าง Connection เพื่อเพิ่มจำนวนเครือข่ายให้กว้างขวาง มีการจัดระบบโครงสร้างองค์กรเพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจ

 

 Action : คนเล่าวางแผนจะทำในอนาคต กำลังคิดแต่ยังไม่ได้เริ่มทำ เพราะต้องเรียนให้จบก่อน 

น.ส พัฒนา ขันประมาณ

 

                                                                                                         น.ส พัฒนา  ขันประมาณ

หัส 555740212-7  Sec 3 EX 19

 

 “Coaching”

 

ข้าพเจ้าเกิดในชนบทแห่งหนึ่งของจังหวัดกาฬสินธุ์    ในวัยเด็กข้าพเจ้ามีความใฝ่ฝันอยากเป็น

 

คุณหมออยากเป็นหมออนามัย   ซึ่งบ้านของข้าพเจ้าได้อยู่ติดกับสถานีอนามัยตำบล   ตอนนั้นเป็นเด็กข้าพเจ้าได้เห็นชาวบ้านต่างพากันมาหาหมอและเรียกว่า  “คุณหมอค่ะ”  ในแต่ละวันที่ข้าพเจ้าได้เห็นชาวบ้านจึงทำให้ข้าพเจ้าได้คิดที่จะอยากรักษาชาวบ้านอยากให้ชาวบ้านเรียกตัวเองว่า  “คุณหมอค่ะ”  เหมือนคนอื่นเค้า(เป็นความคิดของเด็กๆในขณะนั้น)  จึงทำให้ข้าพเจ้าได้เกิดความมุ่งมั่นและมีมานะเพียรพยายามที่จะตั้งใจเรียนให้จบและต้องสอบให้ได้    หลังจากที่ข้าพเจ้าเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย    ข้าพเจ้าจึงได้ไปสอบทุนเรียนต่อสาธารณสุข   คณะกรรมการจึงได้ประกาศผลการสอบปรากฏว่า  ข้าพเจ้าสอบผ่านและได้ทุนเรียนต่อสาธารณสุข   ซึ่งในปีนั้นก็เป็นปีที่ข้าพเจ้าได้ไปสอบเป็นครั้งแรกในชีวิต   และต่อมาคณะกรรมการได้แจ้งว่าการสอบในครั้งนี้ได้มีการทุจริตเกิดขึ้น  ทำให้ข้าพเจ้าหัวใจสลายเมื่อได้ยินคำพูดนั้น   คณะกรรมการจึงได้ยกเลิกการสอบและผลประกาศการสอบถือเป็นโมฆะ   จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดความท้อแท้ในชีวิตและตอนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกแย่ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตต่อไป  เพราะการที่รู้ว่าตนเองได้ทุนในการเรียนต่อนั้นก็ทำให้ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในชีวิต    แต่แล้วเรื่องราวทุกอย่างก็มีอุปสรรคพลิกผันไม่ให้ข้าพเจ้าได้เป็นคุณหมอเหมือนที่ได้ใฝ่ฝัน   ในปีต่อมาได้มีการเปิดสอบเป็นรอบที่สอง  ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไม่ไปสอบเพราะข้าพเจ้ามีความรู้สึกไม่แน่ใจกับมาตรฐานการสอบ และคุณพ่อได้บอกกับข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงปลอบโยนว่า  “ลูกไม่จำเป็นต้องเรียนหมอหรอกลูก  ลูกเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ”  ลูกประกอบอาชีพอื่นที่สุจริตก็ได้   ถ้าลูกอยากเป็นข้าราชการลูกไปเรียนต่อที่พาณิชย์ลูกก็สอบเป็นข้าราชการได้เหมือนกัน   พอข้าพเจ้าได้ยินคุณพ่อพูดแบบนั้น   จึงทำให้ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแนวความคิดใหม่ในการเรียนต่อ    ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่พาณิชย์ในระดับ  ปวช. สาขาการบัญชี   จนกระทั้งจบในระดับปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ   และในปีนั้นได้มีการเปิดสอบพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ข้าพเจ้าจึงได้ไปสอบในตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี    ผลการสอบปรากฏว่าข้าพเจ้าได้สอบผ่านและได้เป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น   จากคำพูดของคุณพ่อครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าได้ประสบผลสำเร็จในชีวิต   ถึงแม้ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคุณหมอเหมือนที่ได้ใฝ่ฝันไว้   แต่ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็มีความภาคภูมิใจในชีวิตของข้าพเจ้า

 

 

 

 

                                                      นางสาวพัชรบัณฑิต เหมะธุลินทร์                                                                          รหัสนักศึกษา 535740702-1 young 12 sec 11

Coaching

เรื่องที่ 1:เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น                                                                                                                                                  หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ได้ยินเกี่ยวกับ โครงการ Red Bull Spirit ของบริษัทกระทิงแดงจากเพื่อนคนหนึ่งค่ะ ตอนแรกก็ไม่รู้จักเลยค่ะ เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเป็นโครงการของบริษัทกระทิงแดงที่มีคนสมัครทั่วประเทศ แต่น้อยคนที่จะได้ไป เพราะเป็นการแรนดอมคนที่สมัครไป โดยส่วนตัวในชีวิตอยากจะลองทำงานอาสาสมัคร เลยลองสมัครไปที่แรก คือไปเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กพิเศษ ที่ จ.กาฬสินธ์ ไม่หวังในตอนแรกว่าจะได้ไป พอผลประกาศว่าได้ไป ดีใจและตื่นเต้น จึงทำการเตรียมพร้อมทุกอย่าง โดยไปคนเดียว และหาเพื่อนอาสาสมัครร่วมโครงการข้างหน้า พอไปได้ ได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ ได้พบปะเพื่อนใหม่จากหลากหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น                                                                                                                                                        อย่างแรกคือ การเห็นเด็กพิเศษ ที่เราเห็นเขาแล้วเรารู้สึกว่า เขาเก่ง และพยายามที่จะอยู่ในสังคมร่วมกับพวกเราทุกคน โดยที่เห็นคุณค่าของตัวเขา ทำให้คิดว่าเรามีร่างกายครบ 32 ประการ ไม่ควรที่จะท้อ ต่อเรื่องอะไรง่ายๆเพราะเรามีโอกาสที่จะได้ทำสิ่งต่างๆมากมายมากกว่าเขา อย่างน้อยครั้งนี้เราก็มีโอกาสได้ช่วยเหลือ ดูแลน้องๆเด็กพิเศษ และน้องๆก็เป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำงานอาสามากขึ้น ได้เรียนรู้อะไรต่างๆมากขึ้น                                                                                                                                               อย่างที่สอง คือ ได้พบปะอาสา ต่างถิ่นที่ไม่เคยรู้จักกัน ได้เห็นมิตรภาพ คำว่าอาสาสมัคร ช่วยเหลือกัน มีความเอื้อเฟื้อ แบ่งปันกัน หลังจากอาสาครั้งนี้ จึงทำให้เราสนใจการทำอาสามากขึ้น สมัครโครงการหลายๆโครงการของกระทิงแดง เพราะโครงการนี้ดี และทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ มากมาย

เรื่องที่ 2:เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น                                                                                                                                                                                      งานที่ทำงานเดิมเป็น พนักงานต้อนรับที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่หัวหินค่ะ  จากการผิดพลาดงาน ที่เป็นพนักงานใหม่ การเรียนรู้แรกเริ่มงานเยอะ บางครั้งเราอาจจะจำไม่ได้ พี่เขาแนะนำให้จดบันทึกอยุ่เสมอ แต่หน้างานบางทีลูกค้าอยู่ ข้างหน้า เราอาจจะไม่มีเวลาได้ดูสิ่งที่เราจด เกิดข้อผิดพลาด การติเตียน บ่อยครั้ง หลังจากนั้นได้เรียนรู้คือ การทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆ จนเกิดความเคยชิน ทำให้ได้เห็นข้อผิดพลาด และจะแก้ไขเวลามีปัญหา ณ ขณะนั้นเลย เพื่อที่จะได้เรียนรู้และพัฒนาในครั้งต่อไป ไม่เก็บข้อผิดพลาดเพื่อที่จะไปแก้ไขในครั้งหน้าอาจจะทำให้ลืมไปก็ได้ หลังจากเลิกงานจะมาเขียนสิ่งที่ทำผิดพลาดจากงานในวันนั้นจดบันทึกไว้  เวลาที่จะทำผิดก็เอากลับมาดูใหม่ ในช่วงเวลาที่ไม่ได้บริการลูกค้าค่ะ การทำซ้ำๆ บ่อยๆ จึงทำให้เรากลายเป็นคนทำงานเอกสารละเอียด ในงานตรงนั้นค่ะ    

นางสาวบัณฑิตา ด้วงปาน 555740050-7

เป็นช่วงที่ขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งสามารถสอบเข้าได้โรงเรียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ของภาคใต้ ต้องเกริ่นก่อนว่าตอนเรียนชั้นประถมศึกษาเรียนโรงเรียนประจำอำเภอธรรมดาทั่วๆไป ซึ่งเป็นคนที่มีผลการเรียนดีมาตลอด ถือได้ว่าเป็นคนเรียนเก่งและเป็นที่รู้จักของครูเลยทีเดียว โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาโปรด แต่วิชาที่คิดว่าตัวเองด้อยที่สุดน่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งความเป็นจริงแล้วตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองด้อยเลยเพราะเพื่อนๆเรียนอ่อนกว่าด้วยซ้ำ แต่มารู้ตัวว่าตัวเองอ่อนภาษาอังกฤษมากพอได้เข้ามัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้มาเรียนยังโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ได้เจอเพื่อนใหม่ๆซึ่งแต่ละคนเก่งมากๆ แต่ก่อนคิดว่าตัวเองเก่ง แต่เอาเข้าจริงแล้วเทียบกับเพื่อนไม่ได้เลย อีกทั้งคณิตศาสตร์ที่ตนเองก็มั่นใจว่าเก่งวิชานี้ พอเรียนกลับรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าเพื่อนๆ พื้นฐานต่ำกว่าเพื่อนๆ แทบเรียนไม่ได้เลย ท้อและเครียดมาก คิดว่าเราคงเรียนไม่ได้หรอก อยากกลับบ้าน ไม่อยากเรียนแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่ด้วยความที่เจอเพื่อนที่ดี เพื่อนสอนทุกๆอย่าง อะไรที่ไม่เข้าใจ สอนการบ้าน พาอ่านหนังสือ โดยที่มีคำนึงที่เพื่อนพูด ไม่รู้ว่าเพื่อนไปจำมาจากไหนเหมือนกัน แต่จำได้จนถึงตอนนี้ นั่นคือ เพื่อนพูดว่า ความสำเร็จจะเกิดขึ้น อย่างแรกต้องเชื่อก่อนว่าตนเองทำได้  จากนั้นทำให้เริ่มเปลี่ยนความคิดใหม่ เชื่อว่าตนเองต้องทำได้ ต้องทำได้ ต้องทำได้ แล้วก็พยายามที่จะเรียน พอเราเชื่อมั่นแล้ว อะไรๆเริ่มดีขึ้น วิชาภาษาอังกฤษที่แทบไม่ได้เลย กลับเริ่มที่จะเข้าใจ สามารถแปลได้ เข้าใจไวยากรณ์ วิชาอื่นๆก็เริ่มเปลี่ยนแปลง คะแนนสอบก็ดีขึ้น เกรดก็ดีขึ้น จนตอนนี้ทำให้มีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าเราต้องเชื่อก่อนว่าเราทำได้ เราไม่ควรไปกลัวและหลีกเลี่ยงไม่เผชิญกับมัน ต้องลองที่จะสู้กับมันแล้วเราจะประสบความสำเร็จ

นางสาวฐิฏารีย์ ไชยสีดา Ex 19 Sec 3 // 555740154-5

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ทำให้เข้าใจถึงคำว่าความภูมิใจ และเราทำอะไรได้มากกว่าที่ตัวเราเองเคยคิดซะอีก

     เมื่อข้าพเจ้าเรียนจบด้านการจัดการการท่องเที่ยวมา ได้เข้าทำงานในบริษัททัวร์และออแกไนซ์ แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เมื่อเริ่มงานนั้นข้าพเจ้าได้รับการแนะนำจากพี่ๆในบริษัทอย่างเป็นกันเอง เนื่องจากบริษัทนี้มีพนักงานทั้งหมด 32 คน ทำงานกันแบบพี่น้อง เปิดกิจจการมาแล้ว 13 ปี มีการันตีจากการมีลูกค้าเก่าแก่เป็นบริษัทใหญ่ๆ เช่น CP Seiko Dumex เมืองไทยประกันชีวิต เป็นต้น 
     ข้าพเจ้าได้ทำงานในตำแหน่งของ Operation รับผิดชอบงานด้านวีซ่าและเตรียมงานต่างๆ ครั้งหนึ่ง มีลูกค้าเข้ามาพร้อมกันมาก พนักงานในบริษัทต้องเตรียมงานด้วยและออกทัวร์เป็นไกด์กันด้วย ในเดือนนั้นข้าพเจ้าเพิ่งทำงานได้ 3-4 เดือน ยังเป็นน้องใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ ก็จะได้พี่ๆคอยช่วยเหลือแนะนำเสมอ แต่เดือนนั้นลูกค้าเยอะ บริษัท CP ไปยุโรป 400 คน ทำวีซ่าทั้งหมด ข้าพเจ้าก็ได้ช่วยพี่ๆอีก 2 คนที่อยู่แผนกเดียวกันทำ เพื่อจะได้เสร็จทันเดินทาง แต่ว่าวีซ่าจะออกมาตอนไหนก็อยู่ที่สถานฑูตอีก แล้วออกมาก็ไม่รู้ว่าจะผ่านทุกคนมั้ย เพราะถึงแม้จะยื่นขอวีซ่าแบบหมู่คณะ สถานฑูตก็ยังเรียกดูเอกสารส่วนตัวของแต่ล่ะคนด้วย 
ระหว่างที่เร่งวีซ่ายุโรปอยู่ ก็มีกรุ๊ปเข้ามาอีกเป็น Seiko ไปฮอกไกโด 200 คน และเพราะวีซ่าญี่ปุ่นแบบหมู่คณะมีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก ต้องมีรายละเอียดเยอะทั้งของกลุ่มที่จะเดินทางและบริษัทที่ได้รับอนุญาติให้ขอวีซ่าแบบหมู่คณะได้ อีกทั้งแบบฟอร์มที่บังคับว่าต้องทำมาแบบนี้ที่เป็นข้อมูลของผู้เดินทาง เช่น คู่สมรสต้องชื่ออยู่ติดกัน แยกรายชื่อเป็นคู่ๆตามที่จะพักที่โรงแรมชัดเจน เอกสารรับรองจากที่พักทางญี่ปุ่น เป็นต้น ทำให้เรา 3 คนพักที่จะทำเอกสารขอวีซ่าญี่ปุ่นไว้ก่อน รีบทำกรุ๊ปที่จะเดินทางก่อน ต่อจากนั้นหลังจากทั้งลุ้นทั้งเครียดก่อนวันเดินทางทำงานกันถึง 4 ทุ่ม ตี 3 ไปรอรับลูกค้าที่สนามบิน แต่การเดินทางของกรุ๊ปนี้พี่ๆทั้ง 2 ของข้าพเจ้าต้องไปด้วย ทำให้ข้าพเจ้าขับรถกลับมาจากสนามบินคนเดียว เป็นพนักงานคนเดียวที่เหลืออยู่ในบริษัท นอกจากแม่บ้าน เพราะทุกคนแยกย้ายไปกับกรุ๊ปต่างๆหมดแล้ว ข้าพเจ้าเคยเเปลกใจว่าทำไมถึงเป็นข้าพเจ้าที่ต้องอยู่ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ วันนั้นเมื่อออกจากสนามบินข้าพเจ้ามาถึงออฟฟิส 8 โมง นั่งทำวีซ่าญี่ปุ่น ในใจคิดว่า " ทำไมบริษัท พี่ๆ ถึงกล้าให้ชื่อเสียงของบริษัทอยู่ในมือของพนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ยังไม่เคยทำวีซ่าญี่ปุ่น อีกทั้งวีซ่าญี่ปุ่นในครั้งนั้นสถานฑูตเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ยังไม่มีใครเคยทำ เลยแนะนำไม่ได้ ชีวิตคน 200 คนว่าจะได้เดินทางหรือไม่ กับบริษัทๆหนึ่งอยู่ในมือข้าพเจ้า " สิ่งที่ข้าพเจ้าทำตอนนั้นคือการอ่านทำความเข้าใจเอกสารที่สถานฑูตส่งมาว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แข่งกับเวลาที่บังคับว่าจะต้องยื่อนเอกสารภายในวันนี้ก่อนบ่ายสอง นั่งหน้าคอมฯ น้ำตาไหล ความคิดตอนนั้นคือ อยากลาออก เหนื่อย ไม่ได้นอน เครียด กดดัน แต่ก็รู้ว่าคน 200 คนจะได้ไปญี่ปุ่นหรือไม่อยู่ในมือเรา ระหว่างที่เครียดมากๆอยู่นั้น พี่ๆก็โทรมาจากต่างประเทศด้วยความเป็นห่วง คำพูดที่เปลี่ยนความคิดของเด็กคนหนึ่งให้รู้จักทำเพื่อคนอื่น คือ คำว่า " พี่รู้ว่าเหนื่อย เครียด แต่พี่เชื่อว่ายุ้ยทำได้ แล้วเมื่อมันผ่านไปเราจะเข้าใจถึงคำว่า. ความภูมิใจ " หลังจากนั้นข้าพเจ้าทำได้ ทำตามกำหนดในวันนั้นไม่ทันแต่ก็ได้พยายามขอร้องสถานฑูต จนสามารถทำให้คน 200 คนเดินทางได้ ทำให้บริษัทไม่ต้องเสียชื่อเสียง และทำให้ข้าพเจ้าเองได้มีความทรงจำที่จะจดจำได้อย่างภาคภูมิใจ ว่าถ้าเราพยายามจะทำอะไร มันก็ต้องเป็นไปได้
 
ขอบคุณค่ะ...

 

นางสาว อัชฌา อุดมโชค 555740099-7 Y#14 Sec.11

"Coaching"

เรื่องราวที่ท้อแท้แต่ส้รางแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเกิดจาก "คุณตา" 

คุณตา เป็นคุณหมอตำรวจ สมัยนั้นท่านเล่าให้ฟังว่าก็ลำบากต้องออกตรวจตามชายแดนตลอดไม่ได้ทำงานในโรงงพยาบาลสบายแบบหมอในเมือง เวลามีการปะทะกันก็ต้องคอยไปประจำที่หน่วยของตำรวจทหารคอยให้ความช่วยเหลือ 

มีวันหนึ่ง ... ตอนนั้นฉันเรียนชั้นม.6 กำลังเป็นช่วงสอบเรียนต่อ และฉันได้สมัครสอบตรงของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แต่ผลสอบออกมาปรากฎว่าสอบไม่ติด ตอนนั้นผิดหวังและเสียใจมากๆ อยากไปเรียนที่นั่น หวังและตั้งใจมากๆว่าจะต้องเข้าให้ได้ พอผลสอบออกมาก็มานั่งเสียใจ ข้าวไม่กินไม่พูดกับใครจนกระทั่งคุณตาได้มาพูดให้กำลังใจและเล่าเรื่องราวคุณตาในสมัยวัยเรียนให้ฟังว่า สมัยคุณตาไปเรียนจะต้องไปอาศัยอยู่บ้านของเจ้านายเก่าพ่อกับแม่ เพราะต้องมาเรียนที่กรุงเทพและเราไม่มีบ้านที่นั่น คุณตาต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อนมาจุดไฟหุงข้าว ให้เจ้าของบ้านกินทุกวัน ในขณะที่จุดไฟนั้นก็ต้องเอาหนังสือออกมาอ่านไปด้วย เพราะเรามาจากบ้านนอกต้องขยันกว่าคนอื่นๆ เราไม่เก่ง แต่เราต้องไม่เลิกที่จะพยายาม จนคุณตาเรียนสำเร็จได้เป็นคุณหมอตำรวจ ตาบอกว่า ดราเป็นหลานตาสบายกว่า ไม่ต้องตื่นมาหุงข้าวแล้วรออ่านหนังสือกับแสงไฟจากเตา หลานจะต้องสู้และผ่านไปให้ได้ ไม่ได้ที่นี้ก็ต้องหวังใหม่ และทำให้เต็มที่  ... 

เมื่อได้ยินเรื่องราวของคุณตารู้สึกว่าเราโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาค่อนข้างที่จะพร้อม แต่ทำไมเราถึงคอยแต่คิดในเรื่องที่ผิดพลาดเพื่อที่จะบั่นทอนจิตใจตัวเองให้มันเหนื่อยลงไปทุกวัน จากนั้นฉันจึงเริ่มตั้งใจอ่านหนังสือใหม่เพื่อจะสอบเข้าเรียนต่อให้ได้ จนกระทั่งฉันสอบติด เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ / บริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น จนกระทั่งทุกวันนี้ ฉันไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด ไม่ใช่คนที่อัจฉริยะที่สุด แต่ฉันจะเป็นคนที่ไม่ย้อท้อต่อชีวิต ฉันยังเจอเรื่องที่ทำให้ผิดหวังและเสียใจจากการตั้งใจอยู่เสมอ แต่ความท้อแท้ฉันมันน้อยลงกว่าแต่ก่อน เมื่อนึกถึงสิ่งที่คุณตาได้สอนได้เล่า  เมื่อฉันรู้สึกผิดหวังและเสียใจฉันจะมองคนที่แย่กว่า มีชีวิตที่มีปัญหาที่หนังกว่า ว่าเขาเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา ทำไมเราโชคดีกว่าเขาถึงไม่ทำให้มันเต็มที่ ฉันฉันมีกำลังใจมากขึ้น จากเรื่องเล่าสั้นๆของคุณตา พ่อคนที่2ของฉัน

นางสาวอภิญญา  ธรรมกิจ

555740096-3 sec.11

Business Creative -"Coaching"

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำแล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

เรื่อง นี้เกิดขึ้นตอนที่เรียนอยู่ปี 1 ตอนนั้นเป็นตอนที่จดจำได้เสมอ เนื่องจากเข้าไปเรียนแรกๆคิดว่ามันสบายเรียนๆเล่นไม่สนใจใครไม่ไปกับเพื่อนไม่ทำงานทำการบ้านที่ได้รับมอบหมาย ติดเกมส์แบบจริงๆจังๆ วันสอบปลายภาคก็ไม่ตื่นไปสอบทำให้ติด F 2 วิชาเกรดออกมาเกือบโดนไทน์ แล้วตอนนั้นเพื่อนก็ได้เข้ามาหาที่หอบอกว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ คิดว่าทำตัวแบบนี้แล้วเท่ห์หรอ คิดถึงพ่อแม่บ้างไหมว่าพวกท่านจะรู้สึกยังไงพอได้เห็นเกรด เพื่อนก็มีไม่ใช่ไม่มี ตอนนั้นได้แต่นั่งคิดว่านั่นสิทำไมเราถึงทำตัวอย่างนั้น เมื่อเปิดเทอมใหม่ก็ตั้งใจเรียน ไปกับเพื่อนทำงาน ทำการบ้าน  เล่นก็เล่นเป็นเวลาเฉพาะที่ว่าง ปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่เวลาสอบก็ตั้งใจอานหนังสือ ต้องขอบใจเพื่อนมากจริงๆที่ทำให้คิดปรับปรุงตัวเองในครั้งนี้ดีขึ้นถึงขีดสุดเลย

 

เรื่องที่2 เหตุการณ์ที่ทำให้เก่งขึ้น

      ตอนเรียน ป.5 เป็นคนไม่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้งเลย เพราะมันร้อน เหนื่อย จนวันหนึ่งไปดูแข่งกีฬาวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน เห็นแล้วเกิดอยากเล่นขึ้นมาเลยไปขอสมัครกับคุณครูที่ดูแลอยู่ โดยให้เรามาวอร์มร่างกายทุกวันช่วงหลังเลิกเรียนแล้วก็หัดเดาะลูกวอลเล่ย์บอล500 ครั้ง อยู่อย่างนี้เรื่อยๆ แล้วจึงเปลี่ยนให้มาอันเดอรกับเพื่อนเปลี่ยนกันไปมา จนกระทั่งได้ลงสนามจริง โดยได้ล่นเป็นทั้งตัวตบ ตัวเซตบ้าง จนกระทั่งคุณครูให้เล่นเป็นตัวจริงไปลงแข่งของสนามจังหวัด เหตุการณ์ในครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณครูมากที่ทำให้คนที่ไม่เป็นอะไรเลยจนก่งขึ้นได้เป็นตัวจริงไปลงแข่งของสนามจังหวัด

 

 

นางสาวปิยนันท์  ดวงก้งแสน  545740074-2

Business Creative

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                 ตอนเรียนมัธยมปลาย เป็นคนไม่ตั้งใจเรียน ติดเพื่อนและติดแฟนมาก ไม่ไปเรียน ทำให้ได้คะแนนสอบน้อย แล้วพอถึงเวลาสอบเอ็นทรานเข้ามหาวิทยาลัยก็สอบไม่ติดตามที่พ่อกับแม่หวังไว้ ทำให้ท่านเสียใจและผิดหวังและตัวเราเองก็ผิดหวังเช่นกัน

 จุดเปลี่ยน: 

                    แม่ให้โอกาสเราไปเรียนคณะที่เขาเปิดรับภาคโครงการพิเศษ จึงได้เข้าเรียนที่คณะมนุษยฯ ภาคโครงการพิเศษ ทำให้เราตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะไม่อยากทำให้แม่ผิดหวังในตัวเราอีก ถึงแม้บางครั้งจะมีท้อบ้างในการเรียน แม่ก็จะให้กำลังใจทุกครั้งรวมถึงพี่ชายก็ให้กำลังใจ มาตลอดไม่เคยว่า ไม่เคยเปรียบเทียบทั้งที่พี่ชายเรียนเก่งมาก จึงทำให้ตั้งใจเรียนใหม่และจบภายใน 4 ปี

เรื่องที่ 2 เล่าปัญหา Coaching  (ผู้เล่าปัญหา -โค้ช-ผู้สังเกตการณ์)

โค้ชตั้งคำถามสำหรับถามผู้เล่าว่าต้องการทำธุรกิจอะไร คิดว่าจะเริ่มทำเมื่อไหร่ และ10-10-10

คนเล่าได้ตอบว่าต้องการทำธุรกิจร้านเครื่องนุ่งห่มจากใยสังเคราะห์

อีก 10 วัน ข้างหน้าต้องการหาทำเลของที่ตั้งร้านใหม่

อีก 10 เดือน จะเริ่มทำธุรกิจที่ร้านใหม่ และหาลูกค้าให้มากขึ้น

อีก 10 ปี อยากจะขยายสาขาให้ได้ประมาณ 3 สาขา

ในการ  Coaching  ดิฉันเป็นผู้สังเกตการณ์

อคติ : คนเล่า : มีความรู้ในการทำธุรกิจไม่มากเพียงพอ และต้องตั้งมาตรการในการค้าขายระหว่างตัวผู้ซื้อกับผู้ขายให้มากกว่านี้ ไม่ควรให้สินค้าไปก่อนแล้วค่อยมาชำระเงินทีหลัง

         ส่วนโค้ชเป็นผู้รับฟังแล้วใช้คำถามมากกว่า ซึ่งอาจมีคำแนะนำให้บ้าง โดยบอกว่าควรเริ่มสร้างเครือข่ายในการทำธุรกิจ โดยมุ่งกลุ่มเป้าหมายไปที่หน่วยงานราชการบ้าง หรือร้านค้าปลีกที่สนใจ

เจตนา :ต้องการขยายธุรกิจที่บ้าน และสร้างโรงงานผลิตเครื่องนุ่งห่มเอง

 

 

นางสาวณัฎฐา. จิระจิตต์มีชัย 555740033-7 sec.12

        ณัฎฐา จิระจิตต์มีชัย 555740033-7 sec 12

เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ทะเลาะกับแฟนเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด เพราะหยิบจับอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจทุกทีไป เรียนก็ไม่เรียน ข้าวก็ไม่กิน ทำงานก็ไม่ทำงาน จนถึงวันที่เรากลับไปบ้าน ป๋าและม๊าก็ได้ถามเราว่าเป็นอะไรถึงโทรมได้ขนาดนี้ เราก็ตอบท่านไปว่าหนูอกหักค่ะ เมื่อป๋ากับม๊าได้ฟังเรื่องที่เราพูด ท่านก็ได้สอนเราว่า เพียงคนๆเดียว ทำไมเราถึงเป็นได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่คนอื่นที่รักเราก็มีอยู่มากมาย ทำไมต้องมาแคร์แค่คนๆ เดียวที่รักเราน้อยลง 

นางสาวถิรตา วรหาญ 555740040-0 

sec11 Y#14 Business Creative

Coaching

1.จุดเปลี่ยนที่ทำให้พฤติกรรมดีขึ้น

ตอนปิดเทอมเคยไปช่วยเพื่อนทำงานเสิร์ฟโต๊ะจีน ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้รู้ว่าเป็นเด็กเสิร์ฟเหนื่อยมาก ที่บ้านก็ถามว่าเป็นยังไงไปเป็นเด็กเสิร์ฟเหนื่อยรึเปล่า เราก็ตอบว่าเหนื่อยสุดๆ กว่าจะได้เงินแต่ละบาท เดินหลายรอบมากๆ ทั้งเสิร์ฟทั้งเก็บโต๊ะ  ทำให้เรารู้จักใช้เงินมากขึ้น และทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น เพราะเราจะเจอคนที่ชอบมาสั่งโน่นสั่งนี่เยอะมาก แต่ก็ทำให้เรารู้จักชีวิตอีกแบบที่เราไม่เคยรู้จัก 

2.จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทักษะดีขึ้น

ตอนเรียนปริญญาตรีโอกาสได้ไปฝึกงานแล้วไปออกบูทไปแนะนำซอฟต์แวร์ที่ห้าง ทำให้ต้องพูดเพื่อเชิญชวนให้คนสนใจมารับซอฟต์แวร์ไปทดลองใช้ เราจึงต้องมีความรู้ด้วย ทำให้ต้องไปศึกษาว่าซอฟต์แวร์ที่แจกนี้มีความน่าสนใจอย่างไร ดีอย่างไร จึงจะแนะนำได้ถูกต้อง จึงทำให้มีความรู้มากขึ้น และยังได้รู้จักพูดจาแนะนำซอฟต์แวร์เพื่ออธิบายให้คนอื่นเข้าใจ ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน ก็ทำให้ได้กล้าพูดมากขึ้น

 

นางสุทธดา  ทรงจอหอ

555740109-0

"Coaching"

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น           

เป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้ำประกันของสมาชิกของสหกรณ์ออมทรัพย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้แลกเปลี่ยนค้ำประกันระหว่างเพื่อนร่วมงานในคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เพื่อนร่วมงานมีปัญหาเกี่ยวกับทุน กพ ไม่สามารถปิดลงได้ และเขาขอลาออกจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่ไม่สามารถลาออกจากสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ เพราะต้องเคลียร์การเงินให้เรียบร้อยก่อน ประมาณ 300,000 บาท แต่เขารับปากว่าจะจัดการให้เรียบร้อยจะไม่ให้เดือดร้อน แต่ในที่สุดเขาก็ไม่รับผิดชอบในการกระทำของเขา ซึ่งทำให้ต้องรับภาระในการชำระเงินของคนค้ำประกัน ซึ่งทำให้เสียใจมาก กลุ้มใจเป็นที่สุด ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เคยช่วยเหลือกับมาทำร้ายกันด้วยการยกหนี้ให้ซึ่งเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย เพื่อนหลายคนก็บอกให้ติดตามเอาคืนมาให้ได้ ยังไม่กล้าบอกแฟน เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามว่าอย่างไร แต่มีพี่เก๋ เป็นคนที่บอกเราว่า มันเกิดจากกรรม ที่ทำให้ต้องเป็นไป อาจเพราะเราเคยทำกับเขามากก่อนก็ได้ ญาติพี่น้องก็บอกให้ติดตามให้ถึงที่สุดก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ หลายคืนในการนอนไม่หลับตัดสินใจบอกแฟนเกี่ยวกับการได้รับหนี้มา แต่ก็ทำให้เรารู้สึกกว่า สิ่งที่เรากลุ้มใจมากมายเพียงพูดคุยกันด้วยเหตุผล ทุกอย่างก็ทำให้สบายใจได้ แม้ขณะนี้ยังใช้หนี้ไม่หมดก็ตาม

จุดเปลี่ยน

เป็นคำพูดตามสายโทรศัพท์จากแดนไกลว่า สุขภาพสำคัญสำหรับในเวลานี้และไม่ต้องกังวลมากมาย เงิน 300,000 บาท ไม่ตายก็หาได้ เป็นคำพูดที่ทำให้กำลังใจมากมาย จนน้ำตาไหล คิดว่าต่อไปเราจะต้องไตร่ตรองในเรื่องเกี่ยวกับการเงินให้มาก จะไม่ต้องผิดพลาดอย่างเรื่องนี้อีกแม้ว่าจะเป็นเพื่อนกันมานานขนาดไหน เรื่องการค้ำประกันเป็นเรื่องที่ใหญ่ต้องพิจารณาให้มาก 

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

ในสมัยก่อนเป็นคนไม่ค่อยพูด เพราะขี้อายมากเลย จนหลายคนที่ทำงานด้วยตอนเริ่มต้นทำงานบอกว่าพูดไม่เป็น ไม่เคยพูดในที่ชุมชน ไม่กล้าแสดงออก มีบางคนบอกว่าไม่สามารถทำงานในที่ชุมชนได้ ทำเพื่อนสังคมไม่ได้ เป็นคำพูดที่ท้าทายความรู้สึกมากเลย และได้เริ่มต้นเข้าร่วมงานกะพี่ชัยนิยม เป็นชมรมเพื่อพัฒนาในทุกด้านให้ดีขึ้น แม้จะเป็นด้านการทำงาน การทำวิจัย การช่วยเหลือสมาชิกชมรมเพื่อพัฒนาด้านการทำงาน การเปลี่ยนตำแหน่ง ปัจจุบันนี้สามารถพูดคุยได้เพราะการพูดนั้นจากความรู้ที่เรามีและพูดด้วยความจริงใจ

จุดเปลี่ยน

เป็นคำพูดจากพี่ชัยนิยม การพูดจะได้ดีนั้น เราต้องรู้เรื่องที่จะพูดนั้นให้ท่องแท้ เราก็สามารถพูดได้ และพูดได้ดีด้วย ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ตอนนี้เขาใจอย่างท่องแท้แล้วค่ะว่า เรื่องใดที่เราจะต้องพูดเราต้องศึกษาให้ท่องแท้ และพูดด้วยความจริงใจ ปัจจุบันได้ช่วยเหลือสังคม เพื่อนร่วมชมรมในด้านการพัฒนาการทำงาน เป็นสิ่งที่เราสามารถลบคำที่บอกว่าเราไม่สามารถพูดได้ และช่วยเหลือสังคมได้นั้น ปัจจุบันภูมิใจมากในการทำเพื่อสังคม และเพื่อนร่วมสมาชิกค่ะ

 

นิติธรรม รอดรังษี 555740182-0 sec.3

นกที่ตื่นก่อน ย่อมได้หนอนตัวใหญ่กว่า

          เมื่อประมาณปี 2549 ตอนนั้นผมก็มาเปิดบ้านปกติ ... ธุรกิจของครอบครัวผมเป็นร้านขายเครื่องเสียง ช่วงหน้าเทศกาลจะเป็นช่วงที่ขายดีมากๆ บางวันลูกค้าก็มาเคาะประตูที่ร้านเพื่อให้เราขายเครื่องเสียงตั้งแต่ตอนตี5ก็มี ซึ่งพอเป็นหน้าเทศกาลพวกเราต่างรู้ดีว่าลูกค้าจะมาแต่เช้า เพราะช่วงวันหยุดเช่นปีใหม่ สงกรานต์ คนที่ไปทำงานโรงงานไกลบ้าน ก็จะพากันซื้อเครื่องเสียง ของใช้ใหม่ๆเข้าบ้านเพื่อฉลองค่ำคืนที่สนุกสนาน นั้นเองจึงเป็นเหตุให้ผมรีบตื่นมาเปิดบ้านแต่เช้า ใจจริงผมอยากจะนอนตื่นสายๆ อยากตื่นสัก 7.00 น. เหมือนบ้านข้างๆแต่ก็ไม่ได้เพราะผมผลัดเวรกับน้อง ทุกวันที่ถึงเวรผมผมจะขี้เกียจมาเปิดร้านมาก จนวันนึงที่ทำให้ผมเห็นจุดเปลี่ยนของชีวิต

          มีวันนึงลุงที่อยู่บ้านข้างๆซึ่งเป็นร้านขายเครื่องเสียงเหมือนกัน ตื่นมาเปิดร้านในเวลาเดียวกับบ้านผมเลย ซึ่งเป็นวันที่แปลกเพราะปกติบ้านนี้จะเปิดร้านสัก 7.00 น. ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไร แค่รู้สึกแปลกนิดหน่อยเท่านั้นเองว่าทำไมวันนี้บ้านนี้เปิดร้านไวจัง สักพักพ่อลูกก็เริ่มเถียงกัน(ลุง กับพี่ลูกชายลุงนั้นแหละ) คือลูกชายไม่อยากตื่น แต่พ่อดันเร่งให้รีบมาเปิดร้าน ลุงก็บ่น บ่น บ่น ผมก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดที่พ่อลูกคู่นี้คุยกันนัก แต่อยู่ดีดีก็ได้ยินคำคำนึงจากลุงว่า "ลูกเอ๊ย จะห่วงนอนทำไม หัดตื่นเช้าๆเหมือนชาวบ้านเค้าหน่อย รู้ไหมว่า 'นกที่ตื่นก่อน ย่อมได้หนอนตัวใหญ่กว่า' รู้ไหม"

          แค่คำคำเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เออ มันจริงนะ เพราะร้านของเราเปิดก่อน ลูกค้าเลยเข้าร้านเรามากกว่า บางครั้งถ้าเราเปิดร้านช้า ลูกค้าก็จะมาเค้าะประตูร้านเราเอง เพราะเค้าก็รู้อยู่แล้วว่าร้านเราเปิดเช้ากว่าร้านอื่น พอวันหลังถึงแม้นว่าผมจะขี้เกียจตื่น แต่พอนึกคำของลุง ผมก็ไม่เคยตื่นขึ้นมาแล้วหลับต่อสัก5นาที 10นาทีเลย อย่างมากผมก็แค่บิดขี้เกียจแล้วบ่นกับตัวเองนิดหน่อยว่าเมื่อคืนนอนดึก แต่พอเปิดร้านแล้วเห็นลูกค้าเดินเข้าร้านผมก็มีความสุขแทน มีความสุขที่ลูกค้าจะเอาเงินมาให้โดยที่เราไม่ต้องออกจัดการส่งเสริมการขายอะไรเลย ร้านของเราทำแค่อย่างเดียวคือ ตื่นเช้ากว่าชาวบ้าน

          ปัจจุบันผมก็เอาคำคำนี้มาใช้กับผมอยู่เป็นประจำ ซึ่งตอนทำงาน ไม่ว่าจะเป็นที่ THE STAR หรือ ที่ธนาคารกรุงเทพ ผมก็ไปทำงานก่อนคนอื่นเป็นประจำเสมอ ที่ผมไปก่อนไม่ใช่ว่าผมอยากเอาหน้าหรืออยากให้ตัวเองดูดีกว่าพนักงานคนอื่น แต่แค่รู้สึกว่า ถ้าเราไปก่อนอย่างน้อยถ้ามีงานอะไรเร่งด่วน หรือลืมทำอะไรค้างคาไว้จะได้รีบทำ....

          ขอบคุณครับ

นาย สมถวิล พลแสน รหัส 555740273-7 ex19sec4

                                                                                นาย สมถวิล พลแสน 555740273-7eex19sec4   เรื่ิองที่ 1 "ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้สูงขึ้น"   เป็นช่วงเวลาที่ตัดสินใจว่าจะไปรับใช้ชาติในการเป็นทหารกองประจำการโดยการสมัครช่วงนั้นรู้สึกว่าเราตัดสินใจถูกหรือเปล่าเพราะหลังจากที่เราเข้าไปในกองทัพนั้นตลอดระยะเวลาในการฝึกแค่2เดือนมันมีความรู้สึกว่าทำไมมันนานมากไม่มีอิสระในชีวิตเลยทั้งลำบาก เหนื่อย ร้อน ท้อแท้ว่าทำไมเราต้องมาทำอะไรที่มันลำบากอย่างนี้เสียเวลามากแทนที่จะเอาเวลาตรงนี้ไปทำงานอย่างอื่นแทน แต่พอผ่านช่วง2เดือนที่ฝึกหนักแล้วนั้นทำให้เราได้คิดและได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างที่ไม่สามารถหาได้ในชีวิตพลเรือนเลย การเป็นทหารทำให้เรามีความอดทน เข้มแข็ง มีวินัย มีระบบในการทำงานอย่างมีแบบแผน ฝึกความเป็นผู้นำ เราสามารถนำมาใช้ในชีวิตการทำงานของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพภายหลังจากการปลดประจำการแล้ว ซึ่งจากการที่เราเข้าไปอยู่ในกองทัพเพียงจริงๆแค่2เดือน มันก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆของเราได้ดีขึ้นเหมือนกับเราถูกดึงขึ้นมาจากความเฉื่อยชาในอดีตที่เรามักจะทำอะไรที่มันไม่ค่อยจะกระตือรือร้นเท่าไรกลายเป็นทำให้เราตื่นตัวกับการทำงานได้ดีขึ้น มีความอดทนเพิ่มขึ้น         เรื่องที่2 "เหตุการที่ทำให้เรามีทักษะมากขึ้น"  เป็นช่วงที่เราเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่จะทดสอบความสามารถเราเป็นอย่างดีว่าเรานั้นมีความสามารถที่จะบริหารจัดการทรัพยากรต่างได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งมันก็เป็นช่วงที่เรานั้นต้องมีความขยัน มีความอดทนและเข้าใจเป้าหมายในการดำเนินงานของเราด้วยว่าเราต้องการให้มันเป็นแบบไหนเราสามารถกำหนดได้ด้วยตัวเราเอง ซึ่งจากการที่เราลงมือปฏิบัติเองในทุกๆเรื่องเมื่อเริ่มธุรกิจมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้มีทักษะมีความชำนาญในงานของเรามันก็ทำให้เราเก่งขึ้นหลังจากนั้นเราก็สามารถถ่ายทอดความรู้ต่างให้กับพนักงานของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผมก็เชื่อว่าการที่คนเราจะเก่งขึ้นนั้นจุดเริ่มต้นเราก็ควรที่จะหมั่นฝึกฝนบ่อยๆให้เกิดความชำนาญพอเรามีความชำนาญแล้วนั้นมันก็จะมีทักษะตามมาสามารถที่นำทักษะความชำนาญนั้นไปปรับใช้ในงานที่เกี่ยวข้องได้

นายธีระวัฒน์ นิมมาศุภวงศ์รัฐ Sec.11 รหัส 555740044-2

 

นายธีระวัฒน์ นิมมาศุภวงศ์รัฐ Y#14 Sec.11 รหัส 555740044-2
Creativity Business

 

Coaching

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ทำให้ดีขึ้น

    เรื่องเริ่มต้นจากเมื่อครั้งเรียนปริญญาตรี ในช่วงทำโปรเจ็คสุดท้ายก่อนจบการศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษามักให้โจทย์ในการทำงานยากๆ เสมอๆ มันทำให้ตัวเองรู้สึกท้อแท้ หาทางแก้ปัญหาไม่ได้ แต่เมื่อหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ก็ต้องเข้าไปปรึกษากับอาจารย์ อาจารย์ก็มักจะให้คำแนะนำให้ไปปรึกษาคนที่เรารู้จักในภาควิชา เช่น รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือทางอินเตอร์เน็ต หลังจากนั้นก็ได้พยายามสอบถาม ถามไปหลายๆคน ก็จะได้คำตอบทราเราต้องการกลับมา มันทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก จากการท้อแท้ต่อปัญหาที่ได้รับมา โจทย์ยากๆที่หาทางแก้ปัญหาไม่ได้ มันถูกตอบจากการถามแทบทั้งสิ้น แต่จุดนี้ยังไม่ใช่จุดที่ทำให้เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้นที่สุด แต่เหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีมากขึ้นมากที่สุดคือ จากที่เราพยายามแก้ปัญหากับโปรเจ็คนี้ตลอดปีการศึกษา โปรเจ็คนี้เองได้ลองส่งเข้าประกวดในระดับประเทศ และได้ไปพรีเซ็นต์งานกับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ได้รางวัลกลับมา จุดนี้เองทำให้เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดี เพราะจากที่เราเพียรพยายามมาตลอด ทำให้เราเห็นคุณค่าอันสูงสุดของมัน มันเป็นสิ่งที่ทำให้เหตุการณ์ที่เรารู้สึกตกต่ำ ท้อแท้ กลับมามีความหวัง ความสำเร็จ มันรู้สึกหายเหนื่อยจากการทำงานมาตลอดทั้งปี

 

เรื่องที่ 2 จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทักษะดีขึ้น

    ที่บ้านประกอบอาชีพค้าส่ง ในวัยเด็กนั้นไม่ได้ใส่ใจกับธุรกิจที่ที่บ้านทำมากนัก แต่ได้มีเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งทำให้รู้ว่า เมื่อมันเป็นสิ่งที่คลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก เราก็ต้องเข้าใจงาน และสิ่งที่ควรจะทำในระหว่างที่เราอยู่บ้าน

    เรื่องมันเริ่มในสมัยมัธยม แต่เดิมที่บ้านจะมีพนักงาน ทำงานในหน้าที่หลายๆอย่างของตัวเอง แต่มีวันหนึ่งที่ไม่คาดคิด พนักงานที่บ้านได้ลาออกหมด ทำให้ผมต้องเข้าไปช่วยที่บ้านอย่างเต็มตัว ตั้งแต่ซื้อสินค้า ขายสินค้า ส่งสินค้า ออกสินค้า เรียงสินค้า เก็บสินค้าให้ลูกค้า ทำความสะอาดบ้าน ยกสินค้าขึ้นรถ เก็บสินค้าเข้าร้านในตอนเช้าและเย็น ผมต้องลงมาช่วยที่บ้าน เพราะไม่มีลูกน้อง ในจุดนี้เองคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมมีทักษะเกี่ยวกับการค้าขายทั้งหมด ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครบังคับให้ผมทำ แต่มันคือสิ่งที่ผมต้องทำให้เป็น หลายคนคงคิดว่าผมไม่อยากทำ ไม่พอใจ หรืออะไรก็ตาม แต่ผมพูดได้เลยว่า ทุกสิ่งที่ผมทำวันนั้น ผมภูมิใจและรู้สึกดี ที่ทำให้ตัวเองแบ่งเบาภาระที่บ้านได้ และทักษะต่างๆที่ผมได้รับมา มันเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ หรือใครฝึกหัดได้ นอกจากจะลองมาลงทำด้วยตนเอง

 

 

   นางสาวมัลลิกา  ขุนน้อย     รหัสนักศึกษา 545740323-7   Ex.18    sec. 3

การบ้านครั้งที่ 7 “Coaching

เรื่องที่ 1:เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น                                                                                                                                                  หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ได้ไม่นาน  พ่อก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหัน  เหตุการณ์ในขณะนั้นทำให้รู้สึกว่าเราขาดเสาหลักของครอบครัวไป  ทำอะไรไม่ถูก  คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไป  จะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงเมื่อขาดพ่อไปแล้ว  และในวันเดียวกัน  พอตกเย็นมาก็ได้ยินข่าวจากทางไกลว่ายายก็เสียในวันเดียวกัน  ทำให้แม่เสียใจมาก   เพราะต้องเสียคนที่รักไปในวันเดียวกันถึง  2  คน  ทำให้ยิ่งรู้สึกเสียกำลังใจเพิ่มมากขึ้น  รู้สึกท้อแท้   แต่ดีที่มีญาติ ๆ คอยให้กำลังใจ  คอยบอกเราให้เราสู้ต่อไป ให้เราเข้มแข็ง  เพราะเรายังมีแม่ที่ต้องคอยดูแล และทำทุกอย่างแทนพ่อเพื่อแม่  ทำให้แม่มีความสุข  มีคำพูดจากน้าท่านหนึ่งบอกเราว่า  “ห้ามล้ม  ต้องสู้  เพื่อแม่”  คำคำนี้ทำให้เราฮึดสู้ขึ้นมาได้  และเรายังได้รับการช่วยเหลือจากเจ้านายพ่อ  โดยการรับเรากับแม่เข้าทำงาน  ซึ่งสิ่งนี้เป็นกำลังใจให้แม่กับเราได้ยิ้มได้อีกครั้ง  และทำให้รู้สึกว่าอย่างน้อยหน่วยงานแห่งนี้ก็ไม่ทอดทิ้งเรากับแม่ให้ลำบาก

เรื่องที่ 2:เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น                                                                                                                                                                                    หลังจากเรียนจบก็เข้ามาทำงาน  ซึ่งเราไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจากที่อื่นมาก่อนเลย  แต่โชคดีที่ได้เจอพี่ที่ร่วมงานด้วยกันคนหนึ่ง  คอยสอนงาน  ดูแล  ทั้งที่ช่วงแรก ๆ เราทำงานผิดบ่อยมาก  แต่พี่คนนี้ก็ไม่เคยด่า  หรือว่าอะไร  มีแต่คอยบอกคอยสอน  และให้กำลังใจเราอยู่เสมอ   มีคำแนะนำ  คำปรึกษาดี ๆ  บอกว่าสิ่งไหนควรทำไม่ควรทำ  เตือนในสิ่งที่เราพลาดพลั้งไป  และแนะนำให้จดบันทึกการทำงานไว้  เพื่อป้องกันการทำงานผิดพลาดซ้ำเดิมอีก  จึงทำให้หัวหน้างานไว้วางใจ  มอบหมายงานที่ต้องรับผิดชอบสูงให้ทำ  และเราก็ทำงานออกมาได้ดี  โดยที่หัวหน้าไม่ผิดหวัง                              

 

 

น.ส.ชุติมณฑน์ สำอางศรี 555740029-8 Y#14 sec.11

น.ส.ชุติมณฑน์ สำอางศรี  555740029-8 Y#14 sec.11

เรื่องที่ 1:เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                 ตอนเรียนมัธยมต้น เป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน เกเรมาก มีทั้งโดดเรียน ไม่มาเรียน เกรดแต่ละวิชาที่ออกมาจึงไม่ดีเลย เกือบจะติด ร. ในวิชาวิทยาศาสตร์ แต่โดยส่วนตัวไม่รู้เลยว่ากำลังจะไม่ผ่านวิชานี้ พอดีวันหนึ่งแม่ได้ผ่านมาแถวโรงเรียนเลยเข้ามาหาอาจารย์ประจำชั้นว่าลูกเป็นยังไงบ้าง แต่เราก็ไม่ได้เข้าไปหาแม่มีแต่เพื่อนมาบอกว่า "เฮ้ย แม่แกมาหาอาจารย์อ่ะ" เราก็คิดว่า เราทำไรผิดไว้บ้างรึป่าว ตอนนั้นกลัวความผิดมาก แต่อาจารย์ก็ได้บอกแม่ไปว่าลูกเกเรไม่มาเรียนเลย กำลังจะตกนะ วิชาวิทยาศาสตร์ แม่เลยขอร้องอาจารย์ ให้ช่วยหน่อย ประมาณว่าให้เราทำงานส่งหรืออะไรก็ได้ (อาจารย์มาเล่าให้ฟัง) อาจารย์ก็สอนอีกหลายๆอย่างว่าไม่กลัวแม่อายคนอื่นหรอที่เราเกเรแบบนี้ ไม่อยากให้แม่ภูมิใจหรอ อยากเห็นพ่อแม่เสียใจใช่มั้ยที่ไม่ตั้งใจเรียน และนั้นคือจุดเปลี่ยนที่หันกลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง ถ้าอาจารย์ไม่สอนวันนั้น อาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้ที่ได้มานั่งเรียนในที่ดีๆ มีอาจารย์ดีๆคอยชี้แนะ มีเพื่อนที่ดีๆหลายคน ขอบคุณค่ะขอบคุณทุกคนเลยที่หวังดีมาตลอด ขอบคุณกำลังใจดีๆจากพ่อแม่ และเพื่อนที่หวังดีทุกคน ขอบคุณจริงๆ

เรื่องที่ 2:เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                ตอนปริญญาตรีช่วงประมาณปี 4 เทอม 2 จะมีการฝึกงานประมาณ 3 เดือน ดิฉันเลยเลือกฝึกครัวเบเกอรรี่ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องวิธีการทำขนมเลย แต่ก็ได้ไปฝึกที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต และมีพี่เลี้ยงหนึ่งคน ชื่อ พี่มีน พี่มีนจะคอยบอกว่าอันนี้ทำยังไงมีส่วนผสมอะไรบ้าง แต่ตอนแรกที่ได้ทำคือ มีแค่จัดและเก็บขนม ที่มาวางให้แขกกิน และเมื่อเราเริ่มชิน พี่มีนจะเริ่มให้เอาส่วนผสมต่างๆที่พี่มีนตวงแล้วไปใส่เครื่อง แต่ยังไม่ลองให้เราตวงเอง ทำจนชินว่าแป้งนี้คืออะไรเอาไว้ทำอะไรบ้าง พอหลังจากที่เราเริ่มชินกับส่วนผสมต่างๆ หลังจากนั้นหัวหน้างานเลยไว้วางใจว่าทำได้เลยบอกให้ทำขนมนี้นะ ให้ตวงเองทำเองหมดทุกอย่างเลย และมันก็ออกมาดีจึงทำให้ภูมิใจมากจากที่ทำไรไม่เป็นเลยแต่ต่อมาสามารถที่จะทำขนมได้ด้วยตัวเอง ขอบคุณหัวหน้างานและพี่มีนที่คอยสอนทุกอย่างอาจจะมีดุบ้างมีอุปสรรคบางครั้งแต่เราก็สามารถเรียนรู้และผ่านมันมาได้ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ขอบคุณค่ะ

นางสาวจิรวัฒน์ ไกรวิเชษฐ์ Y#14 555740025-6

นางสาวจิรวัฒน์ ไกรวิเชษฐ์ 555740025-6 Y#14

Coaching

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

            หลังจากที่เรียนจบ ป.ตรีดิฉันก็คิดว่านี้เป็นความสำเร็จ ที่ดิฉันได้ทำให้กับพ่อและแม่แล้ว ดิฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยรังสิต คณะเศรษฐศาสตร์ ด้วยเวลา สามปีครึ่ง และเกรดเฉลี่ยก็เป็นที่น่าพอใจ จึงกลับมาที่บ้าน แต่ตื่นสาย ช่วยงานบ้าง ไม่ช่วยงานบ้าง เพราะคิดว่าตัวเองทำหน้าที่ของตนเองจบแล้ว แต่ดิฉันคิดผิดไป ที่จริงแล้วหน้าที่หลังเรียนจบ คือการทำงานพึ่งเริ่มต้นขึ้น เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อและแม่ที่เลี้ยงเรามา และส่งเสียเราเรียนจนจบ 

จุดเปลี่ยน : จุดเปลี่ยนของดิฉันได้มาจากคุณพ่อ คุณพ่อบอกกับดิฉันว่าคนเราถ้ามีความอดทน ตั้งใจทำงาน เลิกตื่นสาย งานและเงินหาไม่ยากเลย หันไปด้านไหนก็สามารถหาเงินได้ การที่เราตื่นเร็วกว่าคนอื่นๆ เราก็ย่อมมีโอกาสมากกว่าคนอื่น แม้ตื่ก่อนคนอื่นเพียง 1 ชั่วโมง หรือ เพียงวินาทีเดียว คนเราก็สามารถทำอะไรได้มากกว่า หลังจากวันนั้นมา ดิฉันก็ฝึกตนเองให้เป็นคนตื่นเช้าเสมอๆ และตั้งใจทำงานที่บ้าน เนื่องจากที่บ้านทำธุรกิจค้าขาย และดิฉันได้จุดเปลี่ยนอีกเรื่องจาก ดร.ภิญโญ ที่บอกเรื่องอาหารเช้า ดิฉันก็ทำตาม และให้พนักงานที่ร้านทำทุกคน ทำให้การทำงานของเราในแต่ละวันมีความสุข และดำเนินงานได้อย่างดีและมีคุณภาพ

เรื่องที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น (skill)

            เนื่องจากที่บ้านของดิฉันทำธุรกิจค้าขาย ดิฉันจึงโตมากับการค้าขายของที่บ้าน และเห็นเป็นประจำทุกวัน ได้ช่วยทำงานตลอด ปัจจุบันดิฉันมีความสามารถ และเชี่ยวชาญด้าการค้าของที่บ้านเป็นอย่างดี ตอนนี้สามารถที่จะทำงานแทนคุณพ่อและคุณแม่ได้ ดิฉันมีความภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้แบ่งเบาภาระของพ่อและแม่ได้

 

 

นางสาวจิรวัฒน์ ไกรวิเชษฐ์ Y# 14 555740025-6

แก้ไข Coaching เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น (skill)

            เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้ฝึกขับรถยนต์เป็นครั้งแรก ซึ่งคุณพ่อเป็นคนสอนดิฉันให้ขับรถตั้งแต่ มัธยมปีที่ 2  สอนตอนแรกให้ขับที่สนามฟุตบอลของ โรงเรียน เก่งขึ้นเริ่มให้ขับแถวหมู่บ้าน ซึ่งจะฝึกขับทุกวันหลังเลิกเรียน แลัมีคุณพ่อนั่งข้างๆเสมอ เพื่อความปลอดภัย การที่คุณพ่อสอนให้ขับรถตั้งแต่เด็กเพื่อที่จะสามารถ ให้ดิฉันช่วยขับรถส่งของให้ลูกค้าที่อยู่ใกล้ๆร้านได้ ตั้งแต่ตอนนั้นถึงปัจจุบัน ดิฉันสามารถขับรถได้ แม้แต่ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยรังสิต ดิฉันก็สามารถที่จะขับรถจาก กทมฯ มา ขอนแก่นได้ด้วยความปลอดภัย และช่วยในการส่งสินค้าให้ลูกค้าที่อยู่ไกลๆได้ด้วยค่ะ ถึงการฝึกขับรถของพ่อจะโหด และทำให้ดิฉันไม่อยากขับรถเลย มาตอนนี้ดิฉันเข้าใจแล้วว่าที่พ่่อให้เราฝึกขับรถให้เป็น ให้ใช้สติในการขับ ก็เพื่อความปลอดภัยของดิฉันเอง

นางสาวพรจิตรา สุกขันต์

นางสาวพรจิตรา      สุกขันต์

555740055-7

Y#14 Sec.11

วิชา Creativity 

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

ตั้งแต่เด็กจนโตหนูคิดมาเสมอว่าเกิดมาในครอบครัวที่โชคดีและอบอุ่น มีพ่อและแม่ที่คอยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ ตอนเช้าตื่นมามีกับข้าวพร้อมก่อนไปโรงเรียน ชุดนักเรียนซักและรีดพร้อม มีคนไปส่งที่โรงเรียน มีคนมารับกลับบ้าน ใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน เปรียบเสมือนคนที่ไม่เคยช่วยเหลืออะไรตัวเองเลย เพราะมีพ่อและแม่คอยทำให้ตลอด ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยก็มีพ่อแม่คอยดูแล ถึงแม้นจะอยู่ไกลจากที่บ้านต้องอยู่หอคนเดียว แต่พ่อและแม่ก็มาหาทุกอาทิตย์ ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยถือเป็นช่วงที่ใช้ชีวิตเต็มที่ กิน เล่น เต้น เที่ยว สนุกสนานกับชีวิตวัยรุ่นสุดๆ จนในปีสุดท้ายของการเรียน (ปี4) หนูได้ทำเรื่องของตรวจสอบการจบการศึกษา ทำให้รู้ตนเองว่าอาจจะไม่สามารถจบการศึกษาได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ในใจตอนนั้นเครียดมากเพราะเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีมาตลอด(ยกเว้นช่วงเรียนมหาวิทยาลัยที่ใช้ชีวิตสุดคุ้ม) คิดแค่ว่าถ้าพ่อกับแม่รู้ เราต้องแย่แน่ๆ อยู่มาวันนึงหนูจึงรวบรวมความกล้าตัดสินใจบอกแม่ เรื่องอาจจะเรียนไม่จบ แล้วก็ร้องไห้ต่อหน้าแม่ แม่ได้สอนว่า “ชีวิตนี้แม่ก็ไม่มีอะไรจะให้ มรดก บ้าน ที่ดิน เงิน มันเป็นของนอกกายมีมามีไปได้ ไม่อยู่ถาวร แต่สิ่งเดียวที่แม่จะให้ได้ตอนนี้และยังให้ไหว คือการศึกษา ถ้าตั้งใจเรียน รักจะเรียน แม่ก็จะส่งต่อ ตั้งใจเรียนให้จบจะกี่ปีก็ให้จบ ยิ่งเราเรียนสูง มีความรู้มาก เราก็ยิ่งจะได้เปรียบคนอื่น” คำพูดแม่ทำให้หนูมีกำลังจะสู้กับความจริง ทำให้ตั้งใจเรียนให้ปีสุดท้าย จนในที่สุดหนูก็สามารถทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ คือเรียนจบการเกณฑ์ที่กำหนดและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อเดือนเมษายน ปี 2556 ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

 

เหตุการณ์มันเริ่มมาจากคุณพ่อค่ะ คุณพ่อเป็นคนชอบอ่านหนังสือความรู้รอบตัว มีความรู้รอบตัวเกี่ยวกับสิ่งนั้น สิ่งนี้เยอะแยะ เวลาไปไหน ทำอะไร อยากรู้อะไร ถามคุณพ่อส่วนใหญ่จะได้คำตอบค่ะ คำตอบบ้างคำทำให้เข้าใจและนึกภาพออก ดีกว่า Google ด้วย ทำให้หนูรู้สึกทึ่งในความสามารถและความรอบรู้ของคุณพ่อ หนูเห็นท่านเป็นไอดอลในเรื่องนี้ คืออยากมีความรู้รอบตัวเยอะๆ เวลาไปไหนทำอะไรจะได้เอาไว้เป็นทุนชีวิต ทำให้หนูเริ่มอ่านหนังสือของคุณพ่อก่อน เวลาอ่านก็รู้สึกสนุกที่ทำให้เราได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน ยิ่งอ่านความรู้ก็ยิ่งมาก เด๋วนี้เวลาไปไหนมาไหนจะมีน้องคนนึงที่ชอบถามหนู ถามโน้นถามนี้ มีอยู่วันนึงหนูอยากรู้ว่าสิ่งที่เขาถามคือเขาประชดหรือว่าอยากถามเราเพราะไม่รู้จริงๆ น้องตอบหนูมาว่า เขาชอบที่หนูเป็นคนมีความรู้รอบตัวเยอะ รู้โน้น รู้นี้ เวลาถามอะไรหนูมักจะหาคำตอบให้น้องเขาได้เสมอ ทำให้มองย้อนกลับมาที่อดีตของตัวเองว่า สิ่งที่เรามองพ่อเป็นไอดอลทำให้เราสามารถทำตามท่านและเป็นคนเก่งได้ในที่สุด

นางสาววราภรณ์ เอื้ออุมากุล

 

 

นางสาววราภรณ์  เอื้ออุมากุล

555740612-1 Y#14 s.12

(แก้ไข)

เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

ในสมัยเรียนปริญญาตรี เมื่อทางคณะประกาศคะแนนวิชาแรก ผลคะแนนของข้าพเจ้าไม่เป็นที่น่าพอใจ ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมากเนื่องจากได้ทุ่มเทอ่านหนังสือไปมากย่อมคาดหวังว่าต้องได้ผลคะแนนดีตามมา จนคิดไปว่าการเรียนที่คณะนี้คงไม่ใช่ทางที่เราถนัดแน่นอน อีกทั้งช่วงปี1 มีสิ่งที่ต้องปรับตัวมากทั้งเรื่องเพื่อน เรื่องกิจกรรมต่างๆ ทำให้เกิดความท้อแท้จนคิดที่จะสอบเข้าคณะอื่นในปีถัดไป แต่ในช่วงที่กำลังเสียใจมีรุ่นพี่รู้ข่าวแล้วเข้ามาคุยกับเรา ได้ให้กำลังใจ พยายามพูดให้เรามองย้อนไปว่ากว่าที่เราจะเข้ามายังคณะแห่งนี้ได้ เราต้องพยายามแค่ไหน ทำไมคะแนนเพียงวิชาเดียวทำให้ถึงกับคิดที่จะลาออกเลย และพี่ยังพูดอีกว่า พี่เคยเห็นรุ่นพี่ตั้งหลายคนที่ได้คะแนนวิชาแรกเช่นนี้ไม่ดี แต่เขามีกำลังใจสู้ต่อจนสามารถเรียนจบและได้เกียรตินิยมด้วยซ้ำ  เมื่อได้คุยกับพี่คนนั้นทำให้เรากลับมาตั้งใจอ่านหนังสืออีกครั้งโดยพยายามตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นแต่รู้จักประมาณตนให้พอทำได้ เพื่อที่จะได้ไม่กดดันตนเองเช่นวิชาแรก ทำให้ข้าพเจ้าสามารถศึกษาจนจบและมีความสุขในการเรียน

เรื่องที่ 2:ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น

 

ในสมัยช่วงปีที่3 ได้มีโอกาสจัดงานรับเพื่อนใหม่ของคณะ ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดที่เคยทำมาเนื่องจากการรับเพื่อนใหม่ จะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 1000 คน ซึ่งข้าพได้ทำงานในฝ่ายสถานที่ มีหน้าที่ในการหาสถานที่ที่ต้องใช้ในการทำกิจกรรมและสถานที่เข้าพัก ซึ่งการทำงานในนามของคณะโดยประสานงานกับฝ่ายต่างๆในมหาวิทยาลัย ทำให้เรารู้จักระเบียบ ขั้นตอนให้การทำงานมากขึ้น แต่ซึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการทำงานครั้งนี้ได้สอนประสบการณ์ให้ข้าพเจ้ามาก คือในวันที่2ของการจัดงาน เกิดเหตุสุดวิสัยที่ทางเทศบาลงดจ่ายน้ำประปาทั่วบริเวณมหาวิทยาลัย ทำให้คืนนี้จะไม่มีน้ำให้น้องอาบ ข้าพเจ้าซึ่งรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องพยายามหาทางแก้ไข โดยได้ร่วมประชุมกับเพื่อนๆในฝ่าย ซึ่งตอนที่เริ่มปรึกษาได้พยายามติดต่อไปทางเทศบาลเพื่อขอรถน้ำสำรอง แต่ไม่สามารถขอได้ และได้ติดต่อไปยังหอพักรอบๆมหาวิทยาลัยเพื่อจะขอให้น้องๆเข้าไปใช้ห้องน้ำแต่ทางหอพักต่างๆก็ปฏิเสธ จนพวกเราเริ่มท้อ พวกเรารู้สึกว่าปัญหานี้มันใหญ่เกินกว่าที่พวกเราจะแก้ปัญหากันได้เองในเวลาที่จำกัด จนเพื่อนในฝ่ายบางคนแทบจะบอกว่า คืนนี้ไม่ต้องให้น้องอาบน้ำได้ม่ะ แต่มีรุ่นพี่ฝ่ายที่ได้เข้ามาประชุมได้เตือนสติพวกเราว่า "ปัญหามันมีไว้ให้แก้ ถ้าไม่มีปัญหาเราก็จะไม่รู้จักหาทางออก สุดท้ายเราก็จะไม่พัฒนา เรื่องบางเรื่องเราไม่รู้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องไม่รู้เหมือนกัน เรื่องการขาดน้ำอาจจะเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายสถานที่ของคณะเจอ แต่อาจจะไม่ใช่ปัญหาครั้งแรกของฝ่ายสถานที่ของมหาวิทยาลัยเจอ" ดังนั้นพวกเราจึงไปปรึกษาฝ่ายสถานที่ของมหาวิยาลัยเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการสำรองน้ำภายในมหาวิทยาลัยซึ่งทำให้ทราบว่ามีเพียง2ที่เท่านั้นที่มีการสำรองน้ำคือบริเวณสระว่ายน้ำ กับ ยิมเนเซียม1 ซึ่งสถานที่ทั้ง2นี้ไม่ใช่สถานที่จัดงานของทางคณะ ทางฝ่ายสถานที่ต้องพยายามติดต่อกับทางมหิ่มรู้องน้ำตามหอพัก แต่ไม่สามารถขอได้อีก จนพวกเราเราวิทยาลัยเพื่อขอเปิดใช้สถานที่อย่างเร่งด่วน และวางแผนการเดินทางของน้องๆจากสถานที่จัดงานมายังที่อาบน้ำให้รวดเร็วและปลอดภัยที่สุดที่สุด ซึ่งกว่าที่จะผ่านพ้นเหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆโดยใช้เหตุผลอย่างรอบด้าน และการอดทนที่จะต่อสู้กับปัญหา

 

 

 

 

 

 

                                          นางสาวพัชรบัณฑิต เหมะธุลินทร์                                                                          รหัสนักศึกษา 535740702-1 young 12 sec 11

Coaching (แก้ไขงานค่ะ)

เรื่องที่ 1:เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น                                                                                                                                   จากชีวิตจบปริญญาตรี อนาคตจะมุ่งหวังแต่ทำเพื่อตัวเอง ยังไม่มีอนาคตที่แน่นอน  และได้มีโอกาสไปเป็นอาสาสมัคร ครั้งที่สองของการร่วมงานกับ บริษัท กระทิงแดง ในโครงการ Red bull spirit ที่โรงเรียนคนตาบอด จ.เชียงใหม่ค่ะ รู้สึกปลื้มในโครงการนี้ตั้งแต่เริ่มกิจกรรรมคือ ได้เล่นกีฬาที่ต้องปิดตา เป็นกีฬาของคนตาบอด หลากหลายกิจกรรม  ได้เรียนการใช้ชีวิตของคนตาบอด ที่เป็นครั้งแรกได้พบเห็นเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิต อีกทั้งการที่ปิดตาให้คนตาบอดพาเดินรอบโรงเรียน ขึ้นบันได รู้สึกถึงความกล้าๆกลัวๆ ไม่ไว้ใจน้องๆเขา เสี่ยงชีวิต กังวลอยู่ตลอดเวลา จากกิจกรรมนี้ทำให้เราเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น คือ คนทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะมีจุดปมด้อย แค่ไหน คนตาบอดไม่ต้องการเป็นภาระของใครในสังคม ต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่าเขา อยู่ด้วยตัวของเขาได้ และจากกิจกรรมปิดท้ายในวันนั้น มีผู้สูงอายุที่เคยอยู่โรงเรียนนี้มาก่อน จากความกดกันที่เขาเป็นคนตาบอด เขาผลักดันตัวเอง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไปถึงเมืองนอก และเป็นสมัครเป็นวุฒิสภาของประเทศไทย จากจุดต้องนี้ทำให้เกิดการจุดประกายชีวิต ที่เคยคิดว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร ทำทุกอย่างเพื่ออะไร ได้เห็นว่าขนาดเขาอาจจะไม่ครบทั้ง 32 ประการเขายังผลักดันชีวิตของเขา ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า และเรา มีครบทั้ง 32 ประการ แต่กลับท้อกับชีวิต หลังจากนั้น เมื่อเวลาว่างก็จะสมัครโครงการอาสาสมัคร เพื่อที่จะได้ไปเรียนรู้วิถีชีวิต เรียนรู้โลกกว้างมากขึ้น มันทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น และมีความสุขที่ได้ให้คนด้อยโอกาสมากขึ้น และรู้สึกว่าการได้ไปทำตรงนี้รู้สึกว่า ชีวิตบนโลกนี้มีอะไรที่น่าค้นหาอีกมากมายค่ะ ช่วงแรกไม่ทราบถึงเป้าหมายของชีวิต คิดแต่จะทำเพื่อตัวเอง แต่หลังจากที่ได้เรียนรู้ตรงนี้ ชีวิตคือการได้ทำเพื่อคนอื่นมากขึ้นค่ะ

 

เรื่องที่ 2:เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น                                                                                                                                                                  งานที่ทำงานเดิมเป็น พนักงานต้อนรับที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่หัวหินค่ะ ต้องทำงานในส่วนของ พนักงานต้อนรับ แคชเชียร์ และดูแลห้องเล่นอินเตอร์เน็ต การทำงานหลากหลายอย่างในงานของพนักงานต้อนรับ พนักงานใหม่อาจจะมีอาการหลงๆลืมๆ เบลอได้ พี่ๆ ก็จะดุ ว่าอยู่ตลอดเวลา                                                                                                                                                        ในส่วนของงานพนักงานต้อนรับ จะต้องคอย check in ลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และจะต้องเสนอขายห้อง จากห้อง superior ไปเป็นห้องประเภทอื่นๆ ในราคาที่แพงกว่าแต่คุณภาพของห้องจะดีกว่า ใครทำได้ พี่ๆหลายท่าน โดยเฉพาะพี่ไก่ก็จะชมเชยคนนั้น แต่ใครทำไม่ได้ ก็จะถูกดุด่า ติเตียน เกิดการกดดัน และร้องไห้บ่อยครั้ง และบางครั้งพี่ไก่ก็จะคอยมาดูการกระทำของเราเวลาที่ check in  ทำให้รู้สึกเกร็ง และขาดความเชื่อมั่นในการทำงานที่ถูกคอยเขาเปรียบ โดยการพูดว่าคนนั้นทำงานได้ดีกว่า ขายห้องได้เปอร์เซ็นต์ดีกว่า ทำให้เรารู้สึกแย่อยู่เสมอ แต่สิ่งนี้เป็นแรงผลักดันทำให้มีกำลังในการทำงาน ใช้เวลาว่างฝึกฝนและพัฒนาการพูด การโน้มน้าวกับลูกค้า ท่องข้อมูลของโรงแรม จดจำทุกส่วนของโรงแรม การบริการ เวลาเปิด ปิดได้เป็นอย่างดี ในช่วงเวลาที่จะได้ไปประจำที่ห้องอินเตอร์เน็ต ก็ใช้เวลานั้นฝึกฝนตัวเอง ท่องข้อมูลอยู่ตลอดเวลา เวลามีเรื่องผิดพลาดกรณีบริการลูกค้าก็จะแก้ไข ณ เวลานั้นโดยไม่รอว่าพี่จะดุก่อน เวลามีปัญหาไม่เข้าใจในงานจะคอยสอบถามจากพี่ๆที่สนิท พี่ๆที่ร่วมงานกับเราช่วงกะนั้นก็จะไปพูดต่อๆกันว่าเรา ทำงานละเอียดกว่าคนอื่นในเรื่องของเอกสาร ทำให้พี่ไก่ที่คอยดุว่า ได้เห็นพัฒนาการ ความสามารถของเราจริงๆ และหลังจากนั้นพี่ไก่ ก็กลับมาชม เวลามีน้องฝึกงานมาพี่ไก่ก็จะให้เราคอยแนะนำ คอยสอนพาไปดูแต่ละห้องในโรงแรม สอนงานเอกสารน้องฝึกงานอยู่เสมอ

นายรัฐมงคล ดลโสภณ 555740068-8 Y14 sec11

Coaching

เรื่องที่ 1 ช่วงเวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

           ตอนสมัยเรียนคณะนิติศาสตร์ ป.ตรี ช่วงปีสามขึ้นปีสี่ เป็นช่วงที่ผมเกรดไม่ดี เกรดเหลือน้อย จาก 2.70 เหลือแค่ 1.90 เนื่องจากติดเกม ติดเพื่อน ติดการใช้ชีวิตในมหาลัย  ไม่อ่านหนังสือเวลาจะสอบ ไม่ท่องประมวลกฎหมาย ทำให้ทำไม่ได้เวลาจะสอบ ส่งผลให้ช่วงนั้น การเรียนตกต่ำ เมื่อตอนลงทะเบียนเรียนเพิ่มที่คณะ ผมได้มีโอกาสพบกับอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ได้ให้ข้อคิดและคำแนะนำแก่ผม ในการเรียน อาจารย์บอกว่า ชีวิตในมหาวิทยาลัยมันสั้นผ่านไปเร็วและสนุกสนานก็จริง แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตเท่านั้น ชีวิตในมหาวิทยาลัยเมื่อจบไปแล้วก็ผ่านไป แต่ชีวิตหลังจากนั้นสำคัญกว่า ควรจะตั้งใจใช้เวลาที่เหลือตั้งใจกับการเรียนในอีกไม่กี่ปี จากคำพูดอาจารย์ ทำให้ผมกลับมาตั้งใจเรียนอีกครั้งเลิกเล่นเกมและ ให้ความสำคัญกับการเรียนปีสุดท้าย ท่องมาตรากฎหมายวันละมาตราสองมาตรา ทำให้เวลาสอบสามารถทำข้อสอบได้ และมีเวลาเตรียมตัวสอบได้ทัน สุดท้ายแล้วผมก็สำเร็จการศึกษาคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

เมื่อก่อนมัธยมเป็นคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษเลย เรียนทีไรสอบไม่ผ่านเป็นซะส่วนใหญ่ แต่คนที่เป็นคนแนะนำการเรียนภาษาอังกฤษคือพี่ชายผม พี่ต็อบเป็นคนที่เก่งภาษาอังกฤษมากๆ พี่ผมได้แนะนำเทคนิคของเค้าแก่ผม นั้นคือศึกษาจากหนังต่างประเทศ  พี่ผมว่าบอกเลิกดูพากย์ไทย แล้วมาดูแบบภาษาอังกฤษแบบมีซับ จะดีกว่าจะได้ช่วยฝึกทักษะการฟังให้ดีขึ้น พอดูจบ รอบสอบก็เปลี่ยนเป็นซับอังกฤษ คำไหนใหม่ๆ ก็จดไว้แล้วนำไปท่องบ่อยๆ จากคำแนะนำของพี่ชายผม ทำให้ผมคิดว่าภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้ยากและทำให้ผมเข้าใจคำคัพย์ต่างๆมากขึ้น และทุกวันนี้ผมก็ยังใช้วิธีนี่เรียนรู้ภาษาอังกฤษ

นางสาวกวินารัตน์ เชื้อวณิชย์ 555740017-5 Y#14 sec.11

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าขึ้น ม 4 ซึ่งต้องย้ายโรงเรียนมาเรียนที่ขอนแก่นวิเทศศึกษา ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นอะไรที่อยากมาก เกือบทุกวิชาต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งในช่วงแรกๆก็ยังไม่สามารถปรับตัวได้ ภาษาก็ยังไม่แข็งแรง ไม่เข้าใจที่อาจารย์พูด ยิ่งเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยแล้วยิ่งทำให้ท้อไปกันใหญ่ และเมื่อมีการสอบย่อยข้าพเจ้าก็สอบไม่ผ่าน จนข้าพเจ้าคิดว่าต้องตั้งใจเรียนมากขึ้น ตั้งใจอ่านหนังสือมากขึ้น จำคำศัพท์ให้มากขึ้น และเรียนพิเศษ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็สามารถติด 1 ใน 3 ของคนที่ได้คะแนนสอบย่อยมากที่สุด และกำลังใจจากเพื่อนยังเป็นแรงผลักดันให้ข้าพเจ้าผ่านมันไปได้

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

ข้าพเจ้าเรียน ป ตรี ด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงจะมีช่วงฝึกงาน ซึ่งข้าพเจ้าเลือกจะฝึกงานสายโรงแรม ซึ่งในตอนแรกเลือกลงแผนกเบเกอร์รี่ แต่พอเข้าไปทำจริงปรากฎว่าพี่managerบอกว่าแผนกเบเกอร์รี่มีคนมากเกินไปต้องย้ายไปแผนกอื่น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ย้ายไปแผนกฝ่ายจัดเลี้ยง ซึ่งทำในส่วนของครัวเย็น ครัวเย็นก็จะทำ สลัด บาเกล น้ำสลัด ค็อกเทล หรือจะเรียกง่ายๆว่า อาหารที่ไม่โดนความร้อนเลย ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีความรู้ในด้านนี้เลย ดังนั้นการที่เข้าไปฝึกงานที่นี่ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในการหั่นผักต่างๆ การเก็บรักษาผักไม่ให้เหี่ยวง่าย การทำน้ำสลัด การจับมีดให้ถูกวิธี การจัดค็อกเทล(อาหารที่เป็นคำๆ) หลังจากที่ทำได้มาระยะหนึ่งและชำนาญขึ้น พวกพี่ๆในครัวเย็นจึงให้โอกาสในการให้ข้าพเจ้าจัดค็อกเทลตามงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานจัดเลี้ยง งานแต่งงาน งานประชุม เป็นต้น และยังให้ข้าพเจ้าเตรียมอุปกรณืในการทำอาหาร การทำน้ำสลัด เป็นต้น หลังจากจบการฝึกงานทำให้ข้าพเจ้าสามารถนำความรู้ต่างๆมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จนถึงทุกวันนี้

นางสาวดวงหทัย สงสุแก รหัส 555740038-7 Young#13 sec.11

 

Coaching

 

          เรื่องราวเกิดขึ้นจากที่ดิฉันเริ่มเรียนตอน ปริญญาตรี ใหม่ๆ เรียนเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม ซึ่งตอนเรียนยังไม่เข้าใจว่าต้องเรียงตรรกะยังไง ทำให้คะแนนกลางภาคเทอมแรกออกมาต่ำกว่าเกณฑ์ ในรายวิชาที่ต้องเขียนโปรแกรม และวิเคราะห์โปรแกรม อีกทั้งยังเป็นวิชาหลักของสาขาที่จะต้องผ่าน หากไม่ผ่านจะไม่สามารถเรียนตัวต่อไปได้ ทำให้รู้สึกท้อมาก  จนอยากจะย้ายสาขาไปเรียนสาขาอื่น ไม่อยากจะเข้าเรียน จากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้คะแนนวิชาอื่นๆเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ค่อยดี เพื่อนเลยแนะนำให้ไปให้ปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อหาทางแก้ไข ประโยคที่อาจารย์ได้สอนมา จนทำให้ลองพยายามให้จนถึงที่สุด คือ “ถ้าหากเราเลือกที่จะทำแล้ว ทำไมไม่ลองทำให้จนถึงที่สุด ในเมื่อคนอื่นทำได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ในเมื่อ สิ่งที่เรามีก็เหมือนๆกัน”หลังจากนั้นดิฉันก็เข้ามาเรียนพิเศษกับ อาจารย์เพิ่มเติม เป็นเวลาเดือนกว่าๆ ถามในทุกอย่างที่สงสัย จนทำให้สามารถเรียนผ่านในเทอมนั้นมาได้ และเรียนจบในระดับปริญญาตรี นอกจากนั้นแล้วประโยคนี้ยังคงเป็นคติที่เอาไว้ให้กำลังในตัวเองมาถึงทุกวันนี้.

 

นางสาวดวงหทัย สงสุแก

555740038-7 Young#14 Sec.11

 

นางสาวปิยนันท์  ดวงก้งแสน

545740074-2 Sec.2 Y.13

Coaching (แก้ไข)

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                 ตอนเรียนมัธยมปลาย เป็นคนไม่ตั้งใจเรียน ติดเพื่อนและติดแฟนมาก ไม่ไปเรียน ทำให้ได้คะแนนสอบน้อย แล้วพอถึงเวลาสอบเอ็นทรานเข้ามหาวิทยาลัยก็สอบไม่ติดตามที่พ่อกับแม่หวังไว้ ทำให้ท่านเสียใจและผิดหวังและตัวเราเองก็ผิดหวังเช่นกัน

 จุดเปลี่ยน: 

                    แม่ให้โอกาสเราไปเรียนคณะที่เขาเปิดรับภาคโครงการพิเศษ จึงได้เข้าเรียนที่คณะมนุษยฯ ภาคโครงการพิเศษ ทำให้เราตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะไม่อยากทำให้แม่ผิดหวังในตัวเราอีก ถึงแม้บางครั้งจะมีท้อบ้างในการเรียน แม่ก็จะให้กำลังใจทุกครั้งรวมถึงพี่ชายก็ให้กำลังใจ มาตลอดไม่เคยว่า ไม่เคยเปรียบเทียบทั้งที่พี่ชายเรียนเก่งมาก จึงทำให้ตั้งใจเรียนใหม่และจบภายใน 4 ปี

เรื่องที่ 2 เล่าปัญหา Coaching  (ผู้เล่าปัญหา -โค้ช-ผู้สังเกตการณ์)

โค้ชตั้งคำถามสำหรับถามผู้เล่าว่าต้องการทำธุรกิจอะไร คิดว่าจะเริ่มทำเมื่อไหร่ และ10-10-10

คนเล่าได้ตอบว่าต้องการทำธุรกิจร้านเครื่องนุ่งห่มจากใยสังเคราะห์

อีก 10 วัน ข้างหน้าต้องการหาทำเลของที่ตั้งร้านใหม่

อีก 10 เดือน จะเริ่มทำธุรกิจที่ร้านใหม่ และหาลูกค้าให้มากขึ้น

อีก 10 ปี อยากจะขยายสาขาให้ได้ประมาณ 3 สาขา

ในการ  Coaching  ดิฉันเป็นผู้สังเกตการณ์

อคติ : คนเล่า : มีความรู้ในการทำธุรกิจไม่มากเพียงพอ และต้องตั้งมาตรการในการค้าขายระหว่างตัวผู้ซื้อกับผู้ขายให้มากกว่านี้ ไม่ควรให้สินค้าไปก่อนแล้วค่อยมาชำระเงินทีหลัง

         ส่วนโค้ชเป็นผู้รับฟังแล้วใช้คำถามมากกว่า ซึ่งอาจมีคำแนะนำให้บ้าง โดยบอกว่าควรเริ่มสร้างเครือข่ายในการทำธุรกิจ โดยมุ่งกลุ่มเป้าหมายไปที่หน่วยงานราชการบ้าง หรือร้านค้าปลีกที่สนใจ

เจตนา :ต้องการขยายธุรกิจที่บ้าน และสร้างโรงงานผลิตเครื่องนุ่งห่มเอง

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

 

       ดิฉันจบปริญญาตรี สาขาภาษาจีนธุรกิจ  เกรดตอนจบได้ประมาณสองกว่าๆ ภาษาจีนที่เรียนมาก็ไม่เก่งเท่าที่ควร ที่สามารถจบมาได้ด้วยความที่ขยันเรียน ขยันท่องศัพท์ เอา อยู่มาวันหนึ่งทางคณะฯได้มีทุนให้นักศึกษาไปซัมเมอร์ที่ประเทศจีน เป็นระยะเวลา 3 เดือนจึงลองมาปรึกษาคุณแม่ว่าอยากไปเรียนที่จีน แต่กังวลเรื่องภาษา เพราะเป็นคนที่พูดภาษาจีนไม่เก่ง คุณแม่เลยบอกว่า “คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง บางเรื่องเราสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ และเราต้องไปหาประสบการณ์ใหม่ๆบ้าง” ดิฉันจึงตัดสินใจไปซัมเมอร์ที่ประเทศจีนเป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อที่ต้องการจะฝึกการพูดให้ดีขึ้นและไม่ต้องกลัวการพูดกับคนจีนอีกต่อไป และหลังจากที่กลับมาจากซัมเมอร์ทำให้ดิฉันมีเพื่อนต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ทั้ง คนจีน เกาหลี เวียดนาม แล้วได้คุยกับเพื่อนต่างชาติทุกวันทำให้เริ่มเก่งภาษาจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นายณัฐดนัย รัตนสุวรรณ์ #555740035-3 MBA Young 14 Sec.11

นายณัฐดนัย รัตนสุวรรณ์ #555740035-3 MBA Young 14 Sec.11 

  Coaching:

     ผมเคยหัดขับรถและประสบอุบัติเหตุเมื่อหลายปีที่แล้วจนกลายเป็นคนกลัวการขับรถ ด้วยประสบการณ์ที่ไม่ดีในครั้งนั้น

ทำให้ผมล้มเลิกแผนที่จะหัดขับรถทุกครั้งและบ่ายเบี่ยงทุกเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการขับรถ ด้วยทัศนคติที่ไม่ดีต่อตัวเอง

มองตัวเองว่าไร้สามารถ และคงไม่สามารถหัดขับจนสำเร็จได้

 

แต่แล้วทัศนคติของผมก็เปลี่ยนไป เนื่องจจากเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งก็มีประสบการณ์ที่แย่ในรูปแบบเดียวกัน

แต่ที่ต่างออกไปคือ เธอไม่กลัวแม้แต่นิดที่จะเริ่มต้นใหม่ เมื่อผมตัดสินใจเล่าเรื่องแบบเต็มๆให้เธอได้ฟัง

เธอเล่าด้วยสีหน้ามุ่งงมั่นกับผมว่า "มันเปรียบเสมือนการวิ่ง หากเราล้มแล้วไม่ลุกขึ้น มันก็จะก้าวต่อไปไม่ได้

เราเอาประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีมาตัดสินอนาคตได้อย่างไรในเมื่อมันเทียบไม่ได้กับช่วงชีวิตของ

มนุษย์ด้วยซ้ำ" นั่นเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมกล้าอีกครั้ง และหัดขับรถใหม่ โดยปราศจาคความกลัว

 

"มันไม่ใช่ความคิดที่แย่ที่จะลุกขึ้นมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด การอยู่เฉยๆโดยไม่คิดจะแก้ไขอะไรต่างหาก คือความคิดที่แย่"

natacha frachon. 55574048-4. Sec.11

สมัย ตอนอยู่ม. ปลาย ที่ฝรั่งเศษช่วงเวลาที่ปิดเทอม. ดิฉันใด้มีโอกาสใด้ทำงานเป็น caissier ซึ่งมำงานนี้ต้องเปะมาก แล้วเราก็เป็นเด็กอยู่ ตอนนี้นรู้สึกตื่นเต็นมาก วันแรกที่ได้ไปทำงานก็มีรุ่นพี่มาสอนงานเรา  วันแรกก็มีพลาด.  แต่ช่วงเวลาทีเราเข่าๆไปทำงานเป็นช่วงเทสกาน ชะนั้น พี่ๆก็ไม่ค่อยมีเวาลามาสอนชนั้น เเรงกดดัน และความรับผิดชอบที่มีจึงทำไห้เราเรียนรู้เร็วขึ่น. จากนั้น การทำพลาดก็มีน้อยลง จนไม่พลาดเลย.

 

 

นายวิชชา ไชยจักร EX.19 Sec.4 555740250-9

นายวิชชา  ไชยจักร

EX.19  SEC.4  555740250-9

Positive Organization Development

“ Coaching ”

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ และมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ประมาณปี พ.ศ.2546 ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเพิ่งได้เริ่มงานครั้งแรก โดยได้ทำงานในตำแหน่งวิศวกรไฟฟ้า ของบริษัทรับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าแห่งหนึ่ง โดยผมได้รับมอบหมายหน้าที่จากบริษัทให้รับผิดชอบโครงการก่อสร้าง คอนโดมิเนี่ยม  เนื่องด้วย ณ ช่วงเวลานั้นผมเพิ่งเรียนจบใหม่ ทำให้ยังไม่มีประสบการณ์ในงานด้านนี้ แต่พอเริ่มโครงการ ได้มีการนัดประชุมความคืบหน้าโครงการ  (Site Meeting ) และในสัปดาห์นั้นผมโดนทาง Project Manager ถามในที่ประชุมว่า คุณทำงานเป็นรึเปล่า รู้จักแบบ Shop Drawing ไหม ไม่รู้ว่าบริษัทส่งมาทำงานได้ยังไง ผมอายและโกรธมาก อยากจะเดินออกจากห้องประชุม

                แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็ตั้งใจที่จะเรียนรู้งานเพื่อลบคำ สบประมาทของ    Project Manager

จนในที่สุดโครงการนี้ก็แล้วเสร็จ โดยงานติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ผมรับผิดชอบ สามารถ test ระบบส่งงานได้ก่อนวันสิ้นสุดสัญญาถึง 30 วัน และในวันงานเลี้ยงปิดSiteงาน ทาง Project Manager ได้เดินเข้ามาพูดกับผมว่า

ไม่น่าเชื่อว่าเด็กจบใหม่อย่างเอ็ง จะสามารถจบงานโครงการได้สวยแบบนี้ คำพูดนี้ทำให้ผมมีกำลังใจในการทำงานในอาชีพ วิศวกรไฟฟ้า จากวันนั้น มาจนปัจจุบันนี้

เรื่องที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากได้ทำงาน มาประมาณ2ปี โดยปกติในบริษัทจะมีพนักงานเขียนแบบ            (Draftman ) ซึ่งมีหน้าที่เขียนแบบ AutoCad ตามคำสั่งของวิศวกรแต่เนื่องด้วยช่วงนั้นงานมีหลายโครงการ ทำให้ผมต้องหัดเขียนแบบAutoCad เอง โดย ณ ช่วงเวลานั้นผมได้รับการสอนจากนายช่างคนหนึ่ง ซึ่งท่านได้สอนให้ผมเรียนรู้ไว้ว่า หน้าที่เขียนแบบAutoCad วิศวกรก็ต้องเขียนให้เป็น อย่างน้อยก็จะเป็นความรู้อีกอย่างนึงที่ติดตัวเราไปตลอด อย่าไปคิดว่าเราตำแหน่งวิศวกร ไม่จำเป็นต้องมานั่งเขียนแบบเอง

 

                และเพราะการได้รับคำสอนจากนายช่างในวันนั้น ทำให้ผมได้มีความสามารถเพิ่มขึ้น และได้มีโอกาสไปทำงานกับบริษัทที่ใหญ่ขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น ปัจจุบันนี้เวลาผมสอนงานวิศวกรรุ่นน้อง ผมจะแนะนำให้เค้าหัดเขียนแบบด้วย AutoCad ก่อนเป็นอันดับแรก.

นางสาว วรรณิตา ดลตรี 555740243-6 Ex.19 Sec.4

วิชา  BusinessCreativity(910746)

"Coaching"  

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อดิฉันยังเด็ก สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม เนื่องจากว่าวันนั้นกลับมาจากโรงเรียนแล้วลืมเอาหนังสือคณิตศาสตร์กลับมาด้วย แต่คุณครูที่โรงเรียนให้การบ้านคณิตศาสตร์มา ดิฉันไม่มีหนังสือจึงได้ไปขอยืมหนังสือของเพื่อนข้างบ้านแต่อยู่คนละโรงเรียนกัน ยืมหนังสือเพื่อนมาทำการบ้านและตอนเช้าก็ติดเอาหนังสือเพื่อนข้างบ้านไปโรงเรียนด้วย ด้วยความที่เป็นเด็กตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอเจอหนังสือตัวเองก็เก็บใส่กระเป๋าอย่างเรียบร้อยแต่หนังสือเพื่อนข้างบ้านไม่ได้สนใจเลยว่าเก็บใส่กระเป๋ามาด้วยหรือเปล่า พอกลับมาถึงบ้านเพื่อนข้างบ้านก็มาทวงหนังสือที่ยืมไปคืน ดิฉันก็บอกว่าเดี๋ยวไปเอามาให้นะ แต่พอเปิดกระเป๋าแล้วหนังสือเพื่อนข้างบ้านไม่ได้อยู่ในกระเป๋า .... มัน "หาย" ไปนั่นเอง แล้วหายไปตอนไหนดิฉันก็ไม่รู้ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับหนังสือของเพื่อนหลงเหลืออยู่เลย แปลว่าดิฉันคงไม่ได้สนใจแล้วก็ใส่ใจกับหนังสือของเพื่อนจริงๆ จึงต้องเดินไปบอกเพื่อนว่าทำหนังสือเพื่อนหายไปแล้ว เพื่อนข้างบ้านทำหน้าเศร้าและน้ำตาคลอเหมือนผิดหวังในตัวของดิฉัน คงคิดในใจว่าไม่น่าให้ยืมเลย ><"

ดิฉันก็กลับเข้าบ้านอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังร่าเริงแจ่มใสเหมือนปกติทุกวัน คุณแม่จึงเรียกเข้าไปคุย ไม่ทราบว่าคุณแม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? แม่ถามว่า วันนี้ลูกทำอะไรผิดหรือเปล่า ดิฉันก็บอกว่าไม่มีค่ะ ไม่มีอะไรผิด และส่งยิ้มแป้นแล้นให้คุณแม่เหมือนเคย คุณแม่ก็เลยบอกว่า ลูกยืมหนังสือเพื่อนข้างบ้านไปแล้วทำไมไม่เอาไปคืนเขา ดิฉันก็บอกว่ามันหายไปแล้วค่ะ เลยไม่ได้คืน(ความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้คิดว่าตัวเองทำผิดเลย หนังสือเพื่อนหาย ไม่ใช่หนังสือเรานี่ค่ะ) คุณแม่จึงบอกให้ดิฉันเอาหนังสือของตัวเองไปให้เพื่อนใช้ก่อน จนกระทั่งดิฉันมีหนังสือเล่มใหม่แล้วค่อยเอาเล่มใหม่ไปให้เพื่อนเพื่อแลกเล่มเก่าดิฉันคืนมา ดิฉันไม่ยอม เพราะหวงของมาก คุณแม่ก็พูดต่อไปว่า หนังสือลูก ลูกรักไหม ของของลูก ลูกรักมันไหม ของของคนอื่น เขาก็รักของของเขาเหมือนกัน ถ้าเราเอาของของเขามา เราจะต้องรักแล้วก็ดูแลให้ดูเหมือนกับของๆเราและยิ่งต้องดูแลให้ดีกว่าของเราด้วยซ้ำ ให้คิดเหมือนว่าของนั้นเป็นของของตัวเอง ที่ลูกต้องรับผิดชอบและดูแลมัน เมื่อคุณแม่พูดจบ ดิฉันเข้าใจ และสำนึกผิด และยอมเอาหนังสือตัวเองไปให้เพื่อนข้างบ้าน

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว จากคำพูดของแม่"ถ้าเราเอาของของเขามา เราจะต้องรักแล้วก็ดูแลให้ดูเหมือนกับของๆเราและยิ่งต้องดูแลให้ดีกว่าของเราด้วยซ้ำ ให้คิดเหมือนว่าของนั้นเป็นของของตัวเอง ที่ลูกต้องรับผิดชอบและดูแลมัน" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดิฉันก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเลย กลายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และเป็นคนละเอียดรอบคอบขึ้นเยอะเลยค่ะ และเมื่อยืมของของใครก็จะดูแลอย่างดีจนกระทั่งคืนเจ้าของเสมือนว่าเป็นของๆเราเอง

นางสาวถิรตา วรหาญ 555740040-0 

sec11 Y#14 Business Creative(แก้ไข)

Coaching

1.จุดเปลี่ยนที่ทำให้พฤติกรรมดีขึ้น

ตอนปิดเทอมเคยไปช่วยเพื่อนทำงานเสิร์ฟโต๊ะจีน เราก็อยากไปลองทำดู ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้รู้ว่าเป็นเด็กเสิร์ฟเหนื่อยมาก พอกลับมาบ้าน ที่บ้านก็ถามว่าเป็นยังไงไปเป็นเด็กเสิร์ฟเหนื่อยรึเปล่า เราก็ตอบว่าเหนื่อยสุดๆ กว่าจะได้เงินแต่ละบาท ทำให้เราคิดว่าค่าแรงที่ได้บางทีเราไปกินข้าวในห้างยังเยอะกว่า ทั้งยังเดินหลายรอบมากๆ ทั้งเสิร์ฟทั้งเก็บโต๊ะ  ทำให้เรารู้จักใช้เงินมากขึ้น และทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น เพราะเราจะเจอคนที่ชอบมาสั่งโน่นสั่งนี่เยอะมาก แต่ก็ทำให้เรารู้จักชีวิตอีกแบบที่เราไม่เคยรู้จัก 

 

2.จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทักษะดีขึ้น

ตอนเรียนปริญญาตรีโอกาสได้ไปฝึกงานแล้วไปออกบูทไปแนะนำซอฟต์แวร์ที่ห้าง ทำให้ต้องพูดเพื่อเชิญชวนให้คนสนใจมารับซอฟต์แวร์ไปทดลองใช้ ซึ่งเราก็ไม่เคยใช้เลย พี่ที่ดูแลเรานี่ก็มาบอกให้เรานี่ลองใช้ซอฟต์แวร์ ลองเปิดดู แล้วก็อธิบายถึงการใช้งานให้เราฟัง พี่เขาก็บอกเราว่า ถ้าน้องที่เป็นคนไปแนะนำยังไม่รู้เลยว่าใช้งานยังไง แล้วจะไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ยังไง คนที่จะไปสอนคนอื่นได้ ก็ต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นก่อนสิ เพราะเราต้องไปอธิบายให้คนอื่นที่สนใจเข้าใจว่านำไปใช้ทำอะไร ยังไง เราจึงต้องมีความรู้ด้วย ทำให้ต้องไปศึกษาว่าซอฟต์แวร์ที่แจกนี้ใช้อย่างไร มีความน่าสนใจอย่างไร ดีอย่างไร จึงจะแนะนำได้ถูกต้อง จึงทำให้มีความรู้มากขึ้น และยังได้รู้จักพูดจาแนะนำซอฟต์แวร์เพื่ออธิบายให้คนอื่นเข้าใจ และเรียกให้คนมารับไปทดลองใช้ ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน ก็ทำให้ได้กล้าพูดมากขึ้นด้วย 

อมรรัตน์ ภิญโญทรัพย์ 5557400989 sec11 Y#14

(อมรรัตน์ ภิญโญทรัพย์ 5557400989 sec11 Y#14) 

วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ (910746) "Coaching"

เรื่อง เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น
         เป็นราวของดิฉันเป็นเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ ซึ่งตอนนี้ใครๆก็รู้ว่าเศรษฐกิจมันไม่ดี ค้าขายไม่ดีผู้คนนจับจ่ายน้อย ไหนจะเรื่องค่าแรงลูกจ้างขึ้นค่าแรงอีกรวมทั้งภาระค่าใช้จ่ายหลายๆอย่างๆ ทำให้สภาพคล่องทางการเงินไม่ค่อยดีนัก ทำให้ภายในครอบครัวเครียดไปตามๆกัน จนมาถึงเช้าวันที่เก้าสิงหาคมที่ผ่านมา คุณแม่ได้เอาโทรศัพท์มาให้ดิฉัน เพราะมีข้อความมาหาดิฉัน มันเป็นข้อความแจ้งยอดเงินในบัญชีจากธนาคาร ว่ามีเงินเข้า xx,xxx บาท (ขอปิดตัวเลขไว้แล้วกันนะคะ) และดิฉันก็เกิดอาการงง เงินมันมาจากไหน และในเวลาต่อมาก็ได้รับข้อความอีกฉบับหนึ่ง ว่าท่านได้รับสิทธิ์ฯ รถคันแรก เงินจะโอนเข้าบัญชีท่าน.... เท่านั้นแหละ ทำให้ดิฉันดีใจสุดๆ มีเงินมาหมุนแล้ว จากนั้นจึงนำเงินไปให้แม่ ที่แรกแม่ก็งงว่านั้นเงินอะไร ท่านซักถามดิฉันถึงที่มาของเงิน จนดิฉันได้บอกความจริง ท่านจึงดีใจเช่นกันและพูดว่า"ขอบคุณมากนะลูก ที่เสียสละเงินมาเป็นทุนหมุนให้ทางร้าน" จึงเป็นอีกสิ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกดีที่ได้ช่วยท่าน

เรื่อง เหุตการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น
        เป็นเรื่องสมัยที่เรียนมัธยมปลาย ช่วงนั้นต้องเลือกคณะที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนั้นยังเด็กไม่ค่อยตั้งใจเรียนสักเท่าไรนักจะเน้นเล่นมากกว่าเรียน ยังไม่นึกถึงอนาคตว่าตัวเองอยากเรียนคณะอะไร อยากประกอบอาชีพอะไร พ่อและแม่ของดิฉันจึงถามตลอดว่าจะเข้าคณะอะไร ที่ไหนอย่างไรต่อไป ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้เพราะยังไม่ได้คิด จนวันหนึ่งคุณพ่อได้พาไปพบคุณอา ไปปรึกษาอาเรื่องคณะที่ดิฉันจะเข้าเรียนซึ่งอาของดิฉันท่านจบวิศวะโยธา เรียนจบมาก็มาทำงานรับเหมาท่านได้เล่าว่าเรียนอะไรยังคำนวณมันเยอะนะ อะไรแบบนี้ โดยส่วนตัวดิฉันก็ชอบคำนวณอยู่แล้ว โดยท่านได้ทิ้งท้ายว่า "ไม่มีอะไรที่เกินความพยายามของเราหรอก" เท่านั้นแหละดิฉันจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนแบบอานี้ละ มันเป็นแรงบรรดาและจุดประกายให้แกดิฉัน จากนั้นเมื่อรู้จุดมุ่งหมายของตัวดิฉันเองแล้ว ดิฉันก็เปลี่ยนจากเล่นมากกว่าเรียน ก็เอาเวลาว่างมาอ่านหนังสือและเรียนพิเศษแทน จนได้เรียนในคณะนั้นสมดังใจ

นางสาววาศิณี สืบเมืองซ้าย

 

                คงเป็นช่วงที่เริ่มทำงานช่วยที่บ้าน เป็นช่วงที่กำลังเรียนรู้งานจากพ่อและแม่ดิฉันเอง มีบ้างที่ทำถูกและผิด แต่เหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกแย่ ตกต่ำที่สุดและเป็นเรื่องที่จำได้ดีที่สุด คือ มีคนงานอยู่คนหนึ่ง ทำหน้าที่ขับรถส่งของเป็นเวลากว่า 10 ปี วันนั้นดิฉันก็ทำงานตามปกติ เขาเดินเข้ามาแล้วบอกกับดิฉันว่า "จะไม่ขับแล้วขอลาออก" ซึ่งดิฉันก็อึ้งและพูดไม่ออก ดิฉันจึงนำไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ได้ถามสาเหตุที่เขาลาออกจากภรรยาว่า เขาให้เหตุผลว่า "ดิฉันเด็กเกินไป เขารับไม่ได้ที่ต้องให้เด็กมาสอนงานเขา เพราะเห็นดิฉันมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ และยังบอกอีกว่า ผู้ใหญ่สอนเด็กได้ แต่มันไม่สมควรที่เด็กต้องมาสอนผู้ใหญ่เมื่อดิฉันได้ฟัง ดิฉันรู้สึกแย่มาก ที่เขาไม่ยอมรับ เข้าใจกับสิ่งที่ดิฉันทำว่ามันคือ หน้าที่  ไม่ใช่การที่เด็กสอนผู้ใหญ่ตามที่เขาคิด ตอนนั้นดิฉันความอดทนยังไม่สูงพอ จึงได้แต่ร้องไห้ แต่พ่อกับแม่ก็เข้ามาให้กำลังใจ แล้วพูดปลอบใจว่า "ลูกทำดีที่สุดแล้ว มันยากที่จะให้เขามาเข้าใจเรา แล้วเวลาจะทำให้ลูกเข้มแข็งมากขึ้น"

 

                        หลังจากนั้น มันทำให้ฉันเข้มแข็งมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น หลายครั้งที่คิดมาก เครียด  แต่เมื่อได้ฟังคำสอน คำพูดให้กำลังใจจากพ่อแม่หรือแม้แต่คนใกล้ชิด ก็ทำให้ดิฉันได้คิดเสมอว่า บางปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขมันได้จริงๆ ดิฉันก็ควรที่จะปล่อยวาง หรือ ถอยออกมาคิด แล้วค่อยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือแม้แต่พยายามคิดบวก ว่า ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองเสมอ  แล้วเวลาจะทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้นตามที่พ่อกับแม่ฉันได้บอกไว้ 

 

Coaching

1.                เวลาที่ตกต่ำแล้วมีบางสิ่งมาทำให้รู้สึกดีขึ้น

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมาในขณะที่ผมกำลังท้อแท้เกี่ยวกับการเรียนระดับปริญญาตรีในสาขาที่ผมไม่ค่อยถนัดนัก  ผมจำใจต้องเรียนตามที่แม่ชอบ  ซึ่งส่วนตัวผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบสาขานี้นัก  พูดง่ายๆว่าเรียนได้  แต่ที่เรียนไปเพราะตามใจแม่  เรื่องของเรื่องคือเมื่อถึงคราวที่ต้องทำวิจัย  มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีเวลาจะทำอะไรเลย ง่วนอยู่แต่การทำวิจัยทั้งวันทั้งคืน  มันท้อ มันเหนื่อย  นอนไม่พอ  ที่จริงอาการคงไม่สาหัสเท่าไหร่ถ้าเริ่มทำตั้งแต่อาจารย์ท่านสั่งแต่เนิ่นๆ  เป็นปกติของนักศึกษาคับ  ใครๆ ก็เป็นกัน  โทษใครไม่ได้ก็คงต้อโทษตัวเองที่ออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง การที่ต้องง่วนอยู่กับการทำงานทำให้ไม่มีเวลาช่วยกิจการที่บ้าน  พ่อที่ทำงานหนักทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องเป็นคนมาคอยทำหน้าที่แทน  แต่ถึงตอนนั้นนั้นยังไม่สำนึกหรอกครับ  ขอให้งานตัวเองมันรอดๆ ไปก่อน  หลังจากงานเสร็จก็เลยไปฉลองกับเพื่อน ปาร์ตี้ทั้งคืนจนวันรุ่งขึ้นพี่สาวโทเข้ามา  บอกว่ามัวทำอะไรอยู่  พ่อไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลยนะ  งานของท่านเองก็มี  ทำไมยังจะต้องให้พ่อมาทำงานของตัวเองด้วย  ทำไมไม่มีความเกรงใจ  ไม่รับผิดชอบ  ผมจึงได้ไปถามพ่อตรงๆ พ่อตอบว่าจริง พ่อบอกว่าพ่อเหนื่อย แต่เห็นลูกทำงานอยู่ ไม่เป็นไร พ่อทนได้อยู่  จากนั้นก็ไม่ถามอะไรต่อแล้วแหละคับ  รู้ว่าท่านคงพูดเพื่อให้เรารู้สึกดี ไม่เอาแล้วคับทำงานไฟลนก้น

 

2.                เมื่อใครซักคนมาทำให้เราเก่ง

 

เมื่อปีที่แล้วผมได้เริ่มคบกับแฟนคนนี้ เธอเป็นคนที่เก่งในหลายๆ ด้านที่ผมทำไม่เป็นเลย จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่จะเป็นคนดูแล  ยืดอกรับแบบแมนๆ เลยคับ เธอแมนกว่าผมเยอะ  เธอสอนให้ผมรู้จักทำอะไรๆ ด้วยตัวเอง  สอนให้ผมกล้าตัดสินใจในเรื่องง่ายๆ เช่นหาที่จอดรถ จนไปถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างการวางแผนอนาคต ผมรู้สึกว่าผมช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆ ที่มีคนๆ นี้เคียงข้างกาย  ในเรื่องทุกเรื่องที่เธอสอนผมมักจะเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ครับ  ผมเคยเป็นคนแย่ๆ ยังไง เธอก็สามารถดัดให้ผมเป็นคนดีได้ เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งทุกวันนี้ก็ลดลง  เธอไม่ได้บังคับหรอกคับ แต่ผมเต็มใจลดเพื่อสุขภาพที่ดี จะได้อยู่กับเธอคนนี้ไปนานๆ 

นส.ทิพย์วิภา วงศ์นิจศีล

นส.ทิพย์วิภา วงศ์นิจศีล 555740165-0 Ex 19 sec 4

(แก้งานค่ะ ส่งครบ2เรื่อง)

เรื่องที่ 1 “ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

 

                เป็นเรื่องของการที่ผิดหวังในความรัก ซึ่งเมื่อก่อนเวลาที่เห็นคนที่ผิดหวังในความรักแล้ว ร้องห่มร้องไห้ ไม่มีกระจิตกระใจจะทำงาน  ทำให้เสียทั้งการงาน การเรียน สุขภาพจิตและสุขภาพร่างกาย ทำให้คนรอบข้างเป็นห่วง บางคนทำใจไม่ได้ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง ในตอนนั้นข้าพเจ้าก็สงสัยว่า ทำไมพวกเขาเหล่านั้นเป็นแบบนั้น แค่คนๆเดียวมีผลกับชีวิตเราขนาดนั้นเรยเหรอ หรือจะพูดได้ว่าสงสารคนเหล่านั้นที่เป็นแบบนั้น…….แต่ก็เหมือนกับคำที่คนเคยพูดว่า ไม่โดนเอง ไม่รู้หรอก  เมื่ออยู่มาวันหนึ่ง เราเป็นคนที่ผิดหวังในความรักเอง ซึ่งการผิดหวังในครั้งนี้ ไม่ได้เผื่อใจไว้ ยิ่งรักมากยิ่งทำให้รู้สึกเสียใจมาก  ร้องไห้ทุกวัน มีผลทั้งการเรียนและการงาน ทำให้ที่บ้านและคนรอบข้างเป็นห่วง จนตัวเองตกใจว่า นี่เราเป็นถึงขนาดนี้เลยเหรอ คิดแล้วก็ตลกและก็สมเพชตัวเอง…. เนื่องจากที่ข้าพเจ้าเปลี่ยนไป ไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน นั่งอยู่เฉยๆบางทีก็น้ำตาไหลออกมาเอง ทำให้เพื่อนๆเป็นห่วงมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนสนิทคนหนึ่งได้ส่งบทความมา และ ได้พูดให้กำลังใจกับข้าพเจ้า ซึ่งมีเนื้อหาประมาณว่า ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งของคนจำนวนมากที่อกหัก คือการเชื่อว่า ที่ทุกข์อยู่น่ะเพราะรักไม่สมหวัง จริงๆแล้วมันไม่ใช่   ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ เพราะท่านเห็นว่า ในความรัก มันมักจะมีความอยากแฝงอยู่เสมอ รักเขา ต่อให้ไม่อยากเป็นแฟน ก็อยากเห็นหน้า ถ้าไม่เห็นหน้า เห็นหลังก็ยังดี เห็นหน้าแล้วอยากคุย อยากเจอ อยากรู้จัก อยากรัก อยากเป็นแฟน อยากให้เขารักเราคนเดียว ฯลฯ  ฉะนั้นไม่ต้องไปบวกอะไร รักก็=ทุกข์ อยู่แล้ว  ยิ่งไปบวกอะไรเพิ่มมากขึ้นเท่าไร ทุกข์ก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น คนเรานะ ชอบโดนกิเลสมันหลอก คิดว่าได้มา แปลว่าสุข ที่จริงน่ะทุกข์หรอกนะ ฉะนั้น เสียไปแล้ว ก็คือเสียทุกข์ไป แล้วจะเสียใจทำไม เราไม่ได้ทุกข์เพราะสมหวังไม่สมหวังหรอก เราทุกข์เพราะเราอยากจะสุข ไม่อยากทุกข์เอง ความอยากให้ผลเป็นทุกข์นะ แค่อยากสุขก็ทุกข์แล้ว แต่ใจน่ะ จะสุขได้ เพราะหมดอยาก จะหมดอยากได้เพราะมีปัญญา จะมีปัญญาได้เพราะมีสติกับสมาธิ จะมีสมาธิได้เพราะมีสติ จะมีสติได้ก็ต้องคอยฝึกรู้สึกตัว ให้สติเจริญขึ้นมา แล้วก็ต้องมีศีล มีศรัทธาไว้บ้าง จะได้มีกำลังใจ….สิ้นความอยากจะสุข หมดความไม่อยากจะทุกข์ได้เมื่อไร สุขก็ยืนยิ้มรอเราอยู่ที่นั่นแหละนะ เมื่อข้าพเจ้าได้รับรู้ถึงข้อความนั้น ก็ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มคิดและเริ่มทำใจได้บ้าง คนเราอาจจะไม่ได้เกิดมาคู่กัน ชาติที่แล้วเราอาจมีกรรมเวรอะไรไว้ จึงได้มาชดใช้ในชาตินี้ ชีวิตของเรามีเรื่องราวดีๆ,มีคนที่รักเราอีกมากมาย คุณพ่อ คุณแม่ เพื่อน ครอบครัว ฯลฯ  เรื่องบางเรื่องเราต้องให้เวลากับมัน  ถึงแม้มันจะลำบาก ถึงแม้ต้องเสียน้ำตา แต่วันเวลาจะช่วยเยียวยาได้ ต้องขอบคุณเพื่อนคนนั้นมาก ที่ช่วยเตือนสติ ให้เรากลับมายืนได้อีกครั้ง แม้ว่าตอนนี้จิตใจยังไม่กลับมา100% แต่ต้องขอบคุณจากใจจริงที่ช่วยดึงข้าพเจ้าออกมาจากความโศกเศร้า ให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง ^^  ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งของคนจำนวนมากที่อกหักคือ

 

เรื่องที่ 2 “ตอนที่ใครสักคน มาเตือนสติแล้วทำให้เราเห็นสิ่งที่ควรจะเป็น ทำในสิ่งที่ควรจะทำ มองเห็นอนาคตมากขึ้น

 

                ตอนปริญญาตรีข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบแล้ว ก็หลง แสง สี เสียง ที่กรุงเทพ ไม่ยอมกลับบ้าน แม้ว่าจะสัญญากับทางบ้านไว้แล้วว่า จะขอทำงานหาประสบการณ์ที่กรุงเทพก่อน 1 ปี แล้วจะกลับมาช่วยกิจการที่บ้าน แต่เมื่อครบ 1ปี ข้าพเจ้าไม่ยอมกลับ เหตุผลเพราะติดความสบาย มีเงินเดือนที่ถือว่าค่อนข้างดี ไม่ขัดสน  มีวันหยุด ได้ไปเที่ยวเล่น shoppingกับเพื่อน ถ้ากลับมาที่ขอนแก่น กลัวจะเบื่อ เพราะขอนแก่นไม่มีอะไร เป็นเมืองเงียบๆ ไม่มีสีสันเหมือนกรุงเทพ  หาเหตุผลอ้างในการเลื่อนจะกลับมาทำงานที่บ้าน จนมีอยู่วันหนึ่ง คุณพ่อของข้าพเจ้าถามขึ้นมา ขณะที่เราทานข้าวกันอยู่ คุณพ่อถามว่า ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ทำงานเรียบร้อยดีไหม สบายดีหรือเปล่า เงินทองพอใช้ไหม ข้าพเจ้าก็ตอบกลับไปว่า สบายดี งานสบายมีวันหยุด เงินทองพอใช้มีเงินเหลือเก็บ  แล้วคุณพ่อก็ถามต่อว่า แล้วในอนาคตอีก 5 ปีจากนี้ ข้าพเจ้าวางแผนชีวิตไว้ว่าอย่างไง  เท่านั้นแหละข้าพเจ้าอึ้งไปชั่วขณะ คือข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงอนาคตข้างหน้าเรยว่าต่อจากนี้ 10ปี 20ปี จะเป็นอย่างไร รู้สึกว่าตัวเองอยู่ไปวันๆ ทำงานกลับบ้านๆ รอวันที่เงินเดือนออกพอโดนถามแบบนี้ ก็เริ่มคิดได้ว่า นั่นสิ อีก5ปีชั้นจะเป็นยังไง ชั้นจะเป็นลูกจ้างไปตลอดเหรอ ทั้งๆที่ทางบ้านมีกิจการที่ดีให้เรากลับไปดูแล เราไม่ได้เริ่มต้นจาก0เหมือนคนอื่นๆ ทำไมเราต้องทิ้งโอกาสนี้เพราะความสบายเพียงเล็กน้อยที่มีอยู่ในปัจจุบัน อีกอย่างครอบครัวเราก็อยู่ที่ขอนแก่น พ่อแม่เริ่มอายุมากแล้ว ใครจะดูแลท่าน แล้วไหนจะกิจการ งานที่บ้านอีก ถ้าเราไม่กลับไปฝึก ไปเรียนรู้งานตอนนี้ แล้วเราจะไปทำตอนไหน ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆเพื่ออะไร เป้าหมายในชีวิตแค่5ปียังไม่มีเลย  เมื่อคิดได้ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจกลับมาช่วยกิจการที่บ้าน และได้มาเรียน MBAคู่ไปด้วย ตามคำแนะนำของคุณพ่อ เพื่อต้องการนำความรู้บริหารที่ได้ไปต่อยอด และรู้จักสังคมในขอนแก่นมากขึ้น  ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และกำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ต้องขอบคุณคุณพ่อมากที่ช่วยเตือนสติ ให้รู้จักวางแผนชีวิตในอนาคตว่าตนเองต้องการอะไร มีเป้าหมายในชีวิตแบบไหน แล้วจะไปให้ถึงเป้าได้อย่างไร

 

 

นางสาววาศิณี สืบเมืองซ้าย

นางสาววาศิณี สืบเมืองซ้าย

55574009-4 Y.14 Sec.11

(เพิ่มเติมชื่อด้านบนค่ะ)

 

นายฐาปนพงศ์  บรรยงค์

555740031-1  Sec.11

 

Coaching

1.                เวลาที่ตกต่ำแล้วมีบางสิ่งมาทำให้รู้สึกดีขึ้น

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมาในขณะที่ผมกำลังท้อแท้เกี่ยวกับการเรียนระดับปริญญาตรีในสาขาที่ผมไม่ค่อยถนัดนัก  ผมจำใจต้องเรียนตามที่แม่ชอบ  ซึ่งส่วนตัวผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบสาขานี้นัก  พูดง่ายๆว่าเรียนได้  แต่ที่เรียนไปเพราะตามใจแม่  เรื่องของเรื่องคือเมื่อถึงคราวที่ต้องทำวิจัย  มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีเวลาจะทำอะไรเลย ง่วนอยู่แต่การทำวิจัยทั้งวันทั้งคืน  มันท้อ มันเหนื่อย  นอนไม่พอ  ที่จริงอาการคงไม่สาหัสเท่าไหร่ถ้าเริ่มทำตั้งแต่อาจารย์ท่านสั่งแต่เนิ่นๆ  เป็นปกติของนักศึกษาคับ  ใครๆ ก็เป็นกัน  โทษใครไม่ได้ก็คงต้อโทษตัวเองที่ออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง การที่ต้องง่วนอยู่กับการทำงานทำให้ไม่มีเวลาช่วยกิจการที่บ้าน  พ่อที่ทำงานหนักทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องเป็นคนมาคอยทำหน้าที่แทน  แต่ถึงตอนนั้นนั้นยังไม่สำนึกหรอกครับ  ขอให้งานตัวเองมันรอดๆ ไปก่อน  หลังจากงานเสร็จก็เลยไปฉลองกับเพื่อน ปาร์ตี้ทั้งคืนจนวันรุ่งขึ้นพี่สาวโทเข้ามา  บอกว่ามัวทำอะไรอยู่  พ่อไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลยนะ  งานของท่านเองก็มี  ทำไมยังจะต้องให้พ่อมาทำงานของตัวเองด้วย  ทำไมไม่มีความเกรงใจ  ไม่รับผิดชอบ  ผมจึงได้ไปถามพ่อตรงๆ พ่อตอบว่าจริง พ่อบอกว่าพ่อเหนื่อย แต่เห็นลูกทำงานอยู่ ไม่เป็นไร พ่อทนได้อยู่  จากนั้นก็ไม่ถามอะไรต่อแล้วแหละคับ  รู้ว่าท่านคงพูดเพื่อให้เรารู้สึกดี ไม่เอาแล้วคับทำงานไฟลนก้น

 

2.                เมื่อใครซักคนมาทำให้เราเก่ง

 

เมื่อปีที่แล้วผมได้เริ่มคบกับแฟนคนนี้ เธอเป็นคนที่เก่งในหลายๆ ด้านที่ผมทำไม่เป็นเลย จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่จะเป็นคนดูแล  ยืดอกรับแบบแมนๆ เลยคับ เธอแมนกว่าผมเยอะ  เธอสอนให้ผมรู้จักทำอะไรๆ ด้วยตัวเอง  สอนให้ผมกล้าตัดสินใจในเรื่องง่ายๆ เช่นหาที่จอดรถ จนไปถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างการวางแผนอนาคต ผมรู้สึกว่าผมช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆ ที่มีคนๆ นี้เคียงข้างกาย  ในเรื่องทุกเรื่องที่เธอสอนผมมักจะเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ครับ  ผมเคยเป็นคนแย่ๆ ยังไง เธอก็สามารถดัดให้ผมเป็นคนดีได้ เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งทุกวันนี้ก็ลดลง  เธอไม่ได้บังคับหรอกคับ แต่ผมเต็มใจลดเพื่อสุขภาพที่ดี จะได้อยู่กับเธอคนนี้ไปนานๆ 

ตรัสณัฐ ไตรกิจวัฒนกุล 555740039-5 Y14 sec11

Coaching

เรื่องที่ 1 ช่วงเวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

เมื่อประมาณต้นปี ผมได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนสมัยเรียน ส่วนใหญ่ต่างมีหน้าที่การงานกันหมด ต่างจากผม ซึ่งจบเร็วกว่าเพื่อนในกลุ่ม แต่ยังไม่ได้ทำงาน ในตอนนั้นผมรู้สึกแย่สุดๆ ไม่รู้จะคุยโม้อะไรกับเพื่อน 

และเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นคือ เพื่อนผมในกลุ่มคนหนึ่งบอกกับผมว่าเค้ากำลังจะลาออกจากงาน เนื่องจากต้องการทำธุรกิจส่วนตัว จึงต้องการคำปรึกษาจากผม เพราะเห็นว่าผมเรียนบริหารอยู่ เหตุการณ์นั้นเองทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีเราอาจจะมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง แต่คนรอบข้างอาจจะเห็นก็ได้

 

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

ครอบครัวผมทำธุรกิจซ่อมรถยนต์ แต่ผมทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง อาจเป็นเพราะผมไม่ชอบทางสายงานนี้ จึงไม่ได้ช่วยงานพ่อมากนัก แต่งานเกือบทั้งหมดก็ผ่านตาผมอยู่บ้าง มีครั้งหนึ่งผมเคยเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้กับลูกค้าท่านหนึ่ง ซึ่งลูกค้าก็ยืนคุมผมอยู่ข้างๆตลอด อาจเป็นเพราะไม่มั่นใจ  ทำให้ผมเกร็งและมือสั่นด้วยความกดดัน จากเหตุการณ์นั้นทำให้ผมเกิดความกลัวขึ้น และไม่อยากทำงานที่บ้านเลย

จนมีช่วงหนึ่งที่พ่อกับแม่ผมไปเที่ยว แล้วผมกับพี่สาวจะต้องเปิดร้านกันเอง ซึ่งเป็นช่วงที่ท้าทายสำหรับผมมาก ความรู้สึกกลัวเริ่มครอบงำ แล้วจุดเปลี่ยนผมก็เกิดขึ้น เมื่อลูกค้าท่านหนึ่งต้องการเปลี่ยนหลอดไฟหน้า ซึ่งตอนนั้นผมไม่เคยเปลี่ยนหลอดไฟเลย จึงได้บอกกับลูกค้าไปว่า พ่อไม่อยู่ ลูกค้าจึงถามต่อว่า แล้วน้องเปลี่ยนได้ไหม ผมเลยบอกกับลูกค้าไปตรงๆว่า ผมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ ลูกค้าจึงบอกให้ผมลองเปลี่ยนดู  ซึ่งผมคิดในใจว่า ร้านอื่นก็มี ทำไมถึงมั่นใจว่าผมจะเปลี่ยนได้ ผมจึงไปหยิบหลอดไฟมาเปลี่ยน ซึ่งการเปลี่ยนหลอดไฟครั้งนั้นใช้เวลานานมากที่สุดในชีวิต เพราะเป็นครั้งแรกของผม ซึ่งลูกค้าก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอบ้าง เดินมาให้กำลังใจบ้าง จนผมเปลี่ยนเสร็จ เล่นเอาเหงื่อท้วม เหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตผม เพราะหากไม่มีลูกค้าท่านนั้น ผมอาจจะยังกลัวการทำงานที่บ้านต่อไป และยังไม่มีความมั่นใจเหมือนทุกวันนี้ 

น.ส.ขวัญลดา ไชยจิตร

555740020-6 Y#14 sec.12

Coaching 

เรื่องที่1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

ดิฉันค่อนข้างเป็นเด็กที่ดื้อ ในสายตาญาติผู้ใหญ่จะมองว่าดิฉันเป็นเด็กเกเรไม่เอาไหน พอเข้าไปเรียนโรงเรียนมัธยมที่ในจังหวัดทุกคนก็ต่างจับตาดูว่าดิฉันจะเรียนจบไหม เพราะดิฉันก็ไม่กลับบ้าน ติดเพื่อน เพื่อนพาทำอะไรก็ทำ ปิดเทอมก็พากันหาเรื่องออกนอกบ้านโดยการขอไปเรียนพิเศษที่ขอนแก่นทุกเทอม ก็ไปเรียนบ้างไม่ไปเรียนบ้าง รู้สึกว่าตอนนั้นทำตัวเหลวไหล โดดเรียน  เกรดก็น้อยลง  แม่เลยถามว่า ไปเรียนพิเศษไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลยหรอ รู้ไหมว่าคนแถวบ้านพูดถึงลูกว่าไง เขาพูดถึงลูกว่าดูสิว่าจะเป็นยังไงส่งเข้าไปเรียนในจังหวัด บ้านก็ไม่กลับไปเรียนพิเศษทุกที่จะเอ็นท์ไหม พอได้ยินแบบนั้นดิฉันรู้สึกโมโหมาก เลยบอกกับแม่ว่าแม่คอยดูนะลูกจะทำให้คนที่ดูถูกลูกเขาเห็นว่าคนอย่างลูกนี่แหล่ะก็ทำได้เหมือนกัน จากเหตุการณ์วันนั้นทำให้ฉันเปลี่ยนตัวเองใหม่ จากที่เคยเกเร เหลวไหล ไม่ตั้งใจเรียน กลับมาตั้งใจเรียนมากกว่าเดิม เพื่อลบคำสบประมาทของคนเหล่านั้น และวันที่ประกาศผลโควต้าก็มาถึง ดิฉันสอบติดโควต้า มข.คณะเทคโนโลยี สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ ม.อุบล ติดกาารเงินการธนาคาร และ ม.สารคาม ติดคณะสาธารณสุขศาสตร์โดยได้ทุนอำเภอ เพราะคำสบประมาณในวันนั้นทำให้ดิฉันมีแรงสู้ขึ้นมาทำให้ชีวิตดิฉันดีขึ้นและลบคำสบประมาทเหล่านั้นได้

เรื่องที่2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

ดิฉันมีความคิดอยากทำธุรกิจร้านทอง แต่ไม่มีความรู้ทางด้านการดูทองคำเลยว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม เลยได้ลองศึกษาดูโดยการศึกษาจากอินเตอร์เน็ตแต่มันก็ทำให้รู้พอคร่าวๆ เลยขออนุญาตแม่ไปอยู่กับน้าที่ร้่านทองเพื่อไปเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับร้านทอง ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำทอง การคิดดอกเบี้ย การชั่งน้ำหนักทองคำ การดูทองคำว่าจริงหรือปลอม ดิฉันได้ไปอยู่เรียนรู้กับน้าที่ร้านทองอยู่ประมาณ2เดือน น้าได้สอนทุกอย่าง และได้ลงมือปฏิบัติจริงเลยทำให้ดิฉันมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นกว่าเดิมที่ศึกษาเพียงในอินเตอร์เน็ต

   

แทนไท ไชยสาร 555740042-6 Y14 sec. 11

Coaching  

ผมและเพื่อนสนิทเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งความสามารถ(ทักษะ จิตใจ ร่างกาย)ของผมมีการพัฒนาอยู่เสมอ จนถึงระดับที่เราสามารถออกไปแข่งขันกับประชาชนทั่วไป ซึ่งตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยจะบอกได้เลยว่าผมเป็นตัวหลัก(ตัวเก่งในมหาวิทยาลัย) แต่พอได้ออกไปเล่นกับคนทั่วไป ฟอร์มการเล่นของผมกลับไม่ดี ผมไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นให้สม่ำเสมอได้ ซึ่งต่างจากเพื่อนของผมที่กำลังไปได้ดีในการเล่นอาชีพ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สภาพจิตใจย่ำแย่ ทำให้ผมไม่อยากที่จะออกไปแข่งขันรับแรงกดดันจากทุกคนไม่ไหว ถึงขั้นอยากเลิกเล่นเพราะคิดว่าเล่นต่อไปก็ไม่พัฒนาไปกว่านี้ จนอยู่มาวันหนึ่งคุณอาที่เคยเป็นโค๊ชให้กลับผมมาพูดประโยคสั้นๆกับผมว่า"แทนไท...เอ็งน่ะเก่งกว่าเพื่อนๆทุกคนที่อาเคยสอน อาสอนมาอารู้"ด้วยคำว่า"เก่งกว่าทุกคน" ทำให้ผมกลับมาคิดอดีตถึงปัจจุบันที่คุณอาพูดจริงไม่จริงไม่รู้? แต่ผมเคยมีความมั่นใจตรงนั้น แต่มันหายไปเมื่อไหร่ไม่รู้ หลังจากวันนั้นผมเริ่มกลับมาสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองโดยเอาความผิดพลาดมาตรงนั้นกลับมาซ้อมจนปัจจุบันความมั่นใจผมกลับมาอีกครั้ง ผมเล่นดีขึ้นมีความมั่นใจพร้อมที่จะไปเล่นอาชีพอีกครั้ง ในอนาคตก็ยังไม่รู้ว่าจะสามารถเล่นฟุตบอลอาชีพได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขกับการเล่นฟุตบอลและอยากเล่นไปจนแก่

นางสาวจิตติชา  ไข่รัศมี

555740024-8 y#14 sec.11

 

Coaching

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ และมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

   ตอนที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีประมาณปีที่ 2 ทางบ้านของดิฉันได้เริ่มเปิดกิจการอพาร์ทเม้นที่มีทั้งรายวันและรายเดือน ซึ่งในการดูแลและการบริหารนั้นจะทำกันเองภายในครอบครัว ดิฉันก็เช่นกันจะต้องช่วยงานเป็นประจำนอกเหนือจากเวลาเรียน จนถึงเวลา 22.00 น. ในตอนนั้นดิฉันมีความรู้สึกตลอดว่า ทำไมเราต้องทำ ทำไมไม่จ้างพนักงานคนอื่นมาทำ อยากเที่ยวเล่นเหมือนเพื่อนๆที่รุ่นราวคราวเดียวกัน จึงทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่อยากทำงาน จนนำไปเกิดการพูดคุยกับพ่อ แม่ในเรื่องนี้ พ่อแม่ก็พูดคุยด้วยเหตุผลจนทำให้เราเข้าใจ 

จุดเปลี่ยน: ในขณะที่เกิดการพูดคุยกับพ่อและแม่ แม่ได้พูดประโยคหนึงขึ้นมาว่า "ถ้ากิจการของเราเรายังไม่สนใจที่จะดูแล แล้วใครจะมาสนใจ ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำ" บวกกับช่วงนั้นพ่อก็มีกิจการอีกกิจการที่พ่อต้องดูแล มีแต่แม่และดิฉันที่คอยดูแลกิจการอพาร์ทเม้นนี้ จึงทำให้คิดได้ว่าในเมื่อเราทำได้ เราก็ควรที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว

เรื่องที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

  ดิฉันได้มีโอกาสได้ไปปฏิบัติสหกิจที่สถาบันพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง สถาบันนี้เป็นสถาบันการฝึกอบรมบุคลากรเกี่ยวกับความชำนาญด้านต่างๆในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมถึงเป็นสถานที่พักให้กับผู้เข้าร่วมอบรมหรือจะเรียกว่าโรงแรมก็ได้ ดิฉันได้รับหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ และทำงานทั่วไป ซึ่งลักษณะงานที่ทำที่นี่มีความคล้ายคลึงกับงานที่ทำในกิจการของที่บ้านมาก ในระหว่างการปฏิบัติสหกิจนั้น พี่เลี้ยงและผู้จัดการจะคอยทักษะในการทำงานตลอด เช่น การทำแผนการจองห้องพัก การจัดเตรียมห้องพัก การรับโทรศัพท์ ตลอดจนทักษะในการบริการ ทำให้สามารถนำความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติสหกิจมาใช้ในการดูแลกิจการของครอบครัวให้เป็นระบบมากขึ้น ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการทำงานน้อยลง 

 

 

นางสาววาศิณี สืบเมืองซ้าย

นางสาววาศิณี  สืบเมืองซ้าย

555740009-4 y#14 sec.11

 

                คงเป็นช่วงที่เริ่มทำงานช่วยที่บ้าน เป็นช่วงที่กำลังเรียนรู้งานจากพ่อและแม่ดิฉันเอง มีบ้างที่ทำถูกและผิด แต่เหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกแย่ ตกต่ำที่สุดและเป็นเรื่องที่จำได้ดีที่สุด คือ มีคนงานอยู่คนหนึ่ง ทำหน้าที่ขับรถส่งของเป็นเวลากว่า 10 ปี วันนั้นดิฉันก็ทำงานตามปกติ เขาเดินเข้ามาแล้วบอกกับดิฉันว่า "จะไม่ขับแล้วขอลาออก" ซึ่งดิฉันก็อึ้งและพูดไม่ออก ดิฉันจึงนำไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ได้ถามสาเหตุที่เขาลาออกจากภรรยาว่า เขาให้เหตุผลว่า "ดิฉันเด็กเกินไป เขารับไม่ได้ที่ต้องให้เด็กมาสอนงานเขา เพราะเห็นดิฉันมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ และยังบอกอีกว่า ผู้ใหญ่สอนเด็กได้ แต่มันไม่สมควรที่เด็กต้องมาสอนผู้ใหญ่เมื่อดิฉันได้ฟัง ดิฉันรู้สึกแย่มาก ที่เขาไม่ยอมรับ เข้าใจกับสิ่งที่ดิฉันทำว่ามันคือ หน้าที่  ไม่ใช่การที่เด็กสอนผู้ใหญ่ตามที่เขาคิด ตอนนั้นดิฉันความอดทนยังไม่สูงพอ จึงได้แต่ร้องไห้ แต่พ่อกับแม่ก็เข้ามาให้กำลังใจ แล้วพูดปลอบใจว่า "ลูกทำดีที่สุดแล้ว มันยากที่จะให้เขามาเข้าใจเรา แล้วเวลาจะทำให้ลูกเข้มแข็งมากขึ้น"

 

                        หลังจากนั้น มันทำให้ฉันเข้มแข็งมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น หลายครั้งที่คิดมาก เครียด  แต่เมื่อได้ฟังคำสอน คำพูดให้กำลังใจจากพ่อแม่หรือแม้แต่คนใกล้ชิด ก็ทำให้ดิฉันได้คิดเสมอว่า บางปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขมันได้จริงๆ ดิฉันก็ควรที่จะปล่อยวาง หรือ ถอยออกมาคิด แล้วค่อยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือแม้แต่พยายามคิดบวก ว่า ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองเสมอ  แล้วเวลาจะทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้นตามที่พ่อกับแม่ฉันได้บอกไว้ 

 

เนื่องจากไม่แน่ใจว่า งานที่โพสไปก่อนหน้านั้นในส่วน ของ " เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น" ถูกหรือไม่ จึง  ขอแก้ไข เนื้อหา "Coaching" ในส่วน นี้เพิ่มเติมค่ะ

"เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น"

 ขอกล่าวถึงเรื่องตอนที่เข้ามาทำงานช่วงแรกๆค่ะ งานแรกหลังจากที่เรียบจบในระดับชั้นปริญญาตรีคือ การเป็น "Callcenter"

    หน้าที่ที่ดิฉันได้รับมอบหมายคือ การโทรไปหาลูกค้า ที่โทรมาแจ้งปัญหาการใช้งานอินเตอร์เนต คุยกับลูกค้า เพื่อแนะนำ และพาลูกค้าแก้ไขปัญหาการใช้งานเบื้องต้นทางโทรศัพท์ การทำงานคือ รับงานผ่านระบบ  ปัญหาที่ลูกค้าแจ้งเข้ามา ส่วนใหญ่คือ เล่นอินเตอร์เนตไม่ได้, speed ช้า, เข้า web ไม่ได้, และ ไม่สามารถ ใช้งาน รับส่ง e-mail ได้

    ปัญหาที่เกิดคือ การเลือกรับงาน หากมีการแจ้งเรื่อง รับส่ง e-mail ไม่ได้เข้ามา พนักงานส่วนใหญ่ จะข้ามการรับงานชิ้นนี้ไป  และดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น จนกระทั้งวันหนึ่ง หัวหน้า ได้โทรขึ้นมาหา ทาง Supervisor ของแผนกดิฉัน ถามถึงเหตุผลของการข้ามการรับงานของน้องๆว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร ?

พี่คนที่เป็น Supervisor รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วหันหน้ามาคุยกับดิฉัน เพราะ ดิฉันนั่งข้างพี่เค้าพอดี !!!!!

    พี่เขาถามว่า ตังเม เห็นงานในระบบที่คนเค้าไม่รับกันไหม ทำไมเค้าถึงไม่รับงานเรื่องนี้กัน (ดิฉันนิ่ง พร้อมกับดูระบบงาน ซึ่งก็รู้และเห็นแล้วละ ว่ามีการข้ามไปและเป็นระยะเวลานานแล้ว ไมมีใครคลิ๊กเข้าไปรับงานสักที) พี่เขาพูดต่อไปว่า ตังเมคิดว่า ส่วนใหญ่ที่ลูกค้าแจ้งเสียเข้ามา เพราะอะไร  ดิฉันเลยตอบไปว่า ก็เพราะเค้ามีปัญหา ใช้งานไม่ได้ เค้าเลยแจ้งเข้ามา(พี่เค้ายิ้ม ) และพี่เขาก็บอกว่า งั้นตังเม ลองรับงานเรื่อง รับส่ง e-mail ดูหน่อยสิ ดิฉัน นิ่ง และตอบว่า มันยากพี่ หนูทำไม่ได้หรอก แต่พี่เขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่า "ลองทำดูก่อนดีไหม ค่อยตอบพี่ว่า ยากหรือไม่ยาก " ดิฉัน ฝืนใจ คลิ๊กรับงาน ดังกล่าว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ปัญหานั้นมันไม่ได้ยากอย่างที่คิด เราสามารถพาลูกค้าแก้ปัญหาดังกล่าวได้ (ในระหว่างที่คุยกับลูกค้าพี่คนที่เป็น Sup ก็นั่งอยู่ข้างๆ คอยฟังว่าเราพาลูกค้าแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งมันทำให้เราอุ่นใจมากยิ่งขึ้น)

สิ่งที่ดิฉันคิดได้คือ ---> เพราะเรากลัวว่าจะทำไม่ได้ 

                    ---> เพราะเรากังวลว่าผลลัพธ์จะไม่ดี 

                    ---> เพราะเราไม่อยากเผชิญกับความยากลำบาก 

                    ---> และเพราะเรากลัวว่าจะต้องรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ความกลัว ทำให้เราไม่กล้าเผชิญปัญหา ที่เกิดขึ้น  ควมกลัว ก็คือ จินตนาการ ที่เราคิดไปเอง คิดไปก่อน ถ้าเรากำจัดความกลัวได้ โดยการเผชิญหน้ากับมัน ลงมือจัดการกับมัน เราก็จะเข้าใจ และจะไม่กลัวมันอีก

     สิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉัน เก่งขึ้น ในเรื่องงานคือ  คำพูดของพี่ชาย ที่บอกกับดิฉันว่า "ลองทำดูก่อนดีไหม ค่อยตอบพี่ว่า ยากหรือไม่ยาก "  ทำให้รู้ว่า หากเรายังไม่ลองลงมือทำ เราก็จะไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เราบอกว่า เราทำไม่ได้นั้น เป็นเพราะ เราทำไม่ได้ หรือเรายังไม่ได้ทำ กันแน่  

     และในตอนนี้ หากมีการมอบหมายงานที่ดูเหมือนจะยากมาจากผู้ใหญ่ ดิฉัน มีความคิดว่า สิ่งนั้น คือ การท้าทาย ยิ่งเราไม่รู้งานนั้นมากเท่าไหร่  สิ่งที่เราจะได้จากมันคือ เราจะรู้จักงานนั้น มากยิ่งขึ้น 

 

ขอบพระคุณค่ะ

น.ส.เมธาวี โพธิ์สุวรรณ

Ex19 Sec 4

555740227-4

กวินารัตน์ เชื้อวณิชย์ 555740017-5 sec.11 Y#14

**แก้ไขค่ะ

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

          เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าขึ้น ม 4 ซึ่งต้องย้ายโรงเรียนมาเรียนที่ขอนแก่นวิเทศศึกษา ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นอะไรที่อยากมาก เกือบทุกวิชาต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งในช่วงแรกๆก็ยังไม่สามารถปรับตัวได้ ภาษาก็ยังไม่แข็งแรง ไม่เข้าใจที่อาจารย์พูด ยิ่งเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยแล้วยิ่งทำให้ท้อไปกันใหญ่ และเมื่อมีการสอบย่อยข้าพเจ้าก็สอบไม่ผ่าน จนข้าพเจ้าคิดว่าต้องตั้งใจเรียนมากขึ้น ตั้งใจอ่านหนังสือมากขึ้น จำคำศัพท์ให้มากขึ้น และเรียนพิเศษ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็สามารถติด 1 ใน 3 ของคนที่ได้คะแนนสอบย่อยมากที่สุด และกำลังใจจากเพื่อนยังเป็นแรงผลักดันให้ข้าพเจ้าผ่านมันไปได้

          จุดเปลี่ยน : อาจารย์ที่สอนวิทยาศาสตร์พูดว่า I believe in you, you can do it. ท่าทีที่อาจารย์พูดแสดงออกว่าเราทำได้ดีกว่านี้แน่ ทำให้เรารู้สึกมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

          ข้าพเจ้าเรียน ป ตรี ด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงจะมีช่วงฝึกงาน ซึ่งข้าพเจ้าเลือกจะฝึกงานสายโรงแรม ซึ่งในตอนแรกเลือกลงแผนกเบเกอร์รี่ แต่พอเข้าไปทำจริงปรากฎว่าพี่managerบอกว่าแผนกเบเกอร์รี่มีคนมากเกินไปต้องย้ายไปแผนกอื่น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ย้ายไปแผนกฝ่ายจัดเลี้ยง ซึ่งทำในส่วนของครัวเย็น ครัวเย็นก็จะทำ สลัด บาเกล น้ำสลัด ค็อกเทล หรือจะเรียกง่ายๆว่า อาหารที่ไม่โดนความร้อนเลย ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีความรู้ในด้านนี้เลย ดังนั้นการที่เข้าไปฝึกงานที่นี่ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในการหั่นผักต่างๆ การเก็บรักษาผักไม่ให้เหี่ยวง่าย การทำน้ำสลัด การจับมีดให้ถูกวิธี การจัดค็อกเทล(อาหารที่เป็นคำๆ) หลังจากที่ทำได้มาระยะหนึ่งและชำนาญขึ้น พวกพี่ๆในครัวเย็นจึงให้โอกาสในการให้ข้าพเจ้าจัดค็อกเทลตามงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานจัดเลี้ยง งานแต่งงาน งานประชุม เป็นต้น และยังให้ข้าพเจ้าเตรียมอุปกรณืในการทำอาหาร การทำน้ำสลัด เป็นต้น หลังจากจบการฝึกงานทำให้ข้าพเจ้าสามารถนำความรู้ต่างๆมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จนถึงทุกวันนี้

          จุดเปลี่ยน : ตอนไปฝึกงานมีคนเคยพูดกับข้าพเจ้าว่า " เห้ย!! เป็นลูกคุณหนู ทำงานแบบนี้ไม่ได้หรอก ถึงทำก็ทำไม่ได้นานหรอก" พอได้ยินคำนี้ ข้าพเจ้าพูดกับตัวเองว่า "ชั้นต้องทำให้ได้ ฝึกงานให้ผ่าน และเก็บเอาความรู้ให้มากที่สุด"

 

นาย พรพิพัฒน์ เพชรพรไพศาล Y.14 S.11 รหัส 555740056-5

นาย พรพิพัฒน์ เพชรพรไพศาล Y.14 S.11 รหัส 555740056-5

 

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำแล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

เป็นเรื่องสมัยมัธยมต้น ในตอนนั้นเป็นเด็กไม่ยอมฟังความคิดผู้ใหญ่ที่บ้าน ไม่เข้าใจผู้ใหญ่ ไม่ชอบทำตามคำสั่ง จึงทำให้ไม่ค่อยได้คุยกับใครๆในบ้านและ ไม่เข้าใจผู้ใหญ่ในบ้าน เข้าหาผู้ใหญ่ในบ้านไม่เป็น มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร แล้วช่วงนั้น ก็ยังติดเพื่อน ชอบเที่ยว ทำให้การเรียนไม่ค่อยดี ยิ่งทำให้ ที่บ้านไม่พอใจ จึงหาครูสอนพิเศษ ตอนนั้นจึงได้มีครูประจำชั้นสมัยมัทยมต้นมาสอนพิเศษทำให้ ช่วงนั้นติดครูประจำชั้นสมัยมัทยมต้น และเวลามีปัญหากับที่บ้าน ครูประจำชั้นสมัยมัทยมต้นก็จะดูออกอยู่เสมอ ทำให้เวลามีปัญหาก็จะมาถามครู ส่วนมากครูจะให้คำแนะนำ วิธีปฎิบัติเข้าหาผู้ใหญ่ที่บ้าน ช่วยแนะแนวการแก้ไขปัญหา ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ใหญ่ที่บ้าน และปรับความเข้าใจที่บ้านมากขึ้น

 

เรื่องที่2 เหตุการณ์ที่ทำให้เก่งขึ้น

พ่อ เป็นคนที่ทำให้เก่งขึ้น เป็นเรื่องการช่วยทำงานที่บ้าน เกิดตอนปิดเทอม สมัยมัทยมปลาย ที่บ้านทำ ธุรกิจส่วนตัว ค้าขาย จึงได้เข้าไปช่วยงานของที่บ้าน โดยการไปจดของให้ลูกค้าที่เข้ามาชั่งน้ำหนัก ต้องดูแยกประเภทสินค้าต่างๆ ซึ่งในตอนนั้นช่วงแรกเป็นงานที่ไม่ถนัด ยังทำผิดพลาดเสมอ ของบางประเภทที่ไม่เอาหรือเสีย ก็ยังแยกแยะไม่ออก ทำให้ทางร้านมีความเสียหาย และพ่อไม่พอใจที่ทำผิดอยู่บ่อยๆ พ่อจึงสอนให้ดูสินค้าให้ออก บอกเทคนิคประสบการณ์ของพ่อ ที่ผ่านมาให้ ผมจึงเกิดการเรียนรู้จากพ่อ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำผิดน้อยลง แยกประเภทสินค้าได้โดยไม่มีใครบอก

นายศักณรินทร์ เบญจประยูรศักดิ์                                                                      
555740084-0 young 14 sec 11
 
Coaching (แก้ไขงานครับ)
 
เรื่องที่ 1:เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น                                                                                                                            
  ช่วงที่กำลังเรียนปริญญาตรีผมได้เรียนไปด้วยและทำงานช่วยที่บ้านไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่ค่อนข้างหนักพอสมควร ผมทำงานช่วยที่บ้านในวันที่ไม่มีเรียน แต่ทำไปด้วยความไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร ชีวิตไม่มีเป้าหมายอะไรเลย ตื่นเช้าไปทำงานรอเวลาเลิกงานกลับบ้าน วันที่มีเรียนก็เข้าเรียนบ้างไม่เข้าเรียนบ้าง วันไหนไม่อยากเรียนก็ไปเที่ยวกับเพื่อนไม่เข้าเรียน เวลาที่ช่วยงานที่บ้านผมไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจ หรือสั่งงานลูกน้อง ทำงานตามคำสั่งของคุณพ่อที่เป็นคนสร้างกิจการและทำมาด้วยตัวเองเกือบครึ่งชีวิต ผมจึงดูเหมือนคนที่ไม่มีสิทธิ์ในการคิดหรือตัดสินใจอะไรเลยทำไปวันๆรอว่าเมื่อไหร่จะเลิกงาน เมื่อไหร่จะไม่ต้องมาทำงานตามคำสั่งแบบนี้ ผมใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นมา 4-5 ปี รู้สึกเบื่อหน่าย และไม่มีกำลังใจที่จะทำต่อ ผมจึงตัดสินใจพูดกับคุณพ่อว่า ถ้าเรียนจบปริญญาตรีผมขอออกมาทำธุรกิจของผมเอง คุณพ่อได้พูดกับผมว่า แล้วจะไปทำอะไร ถ้าออกไปทำอย่างอื่นก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่หมด ถ้าล้มเหลวแล้วจะทำยังไง เวลานั้นผมคิดอะไรไม่ออก รู้แต่เพียงว่าอยากออกไปจากตรงนี้ ผมจึงได้ปรึกษากับรุ่นพี่ที่สนิทกันคนนึง รุ่นพี่ผมได้พูดกับผมว่าจะออกไปทำธุรกิจส่วนตัวอะไร คนอย่างผมทำอะไรก็ไม่สำเร็จหรอก ไม่มีความตั้งใจเดี๋ยวก็ต้องล้มเหลวกลับมาทำงานที่บ้านอยู่ดี เลิกคิดซะเถอะ จากคำพูดของรุ่นพี่วันนั้นทำให้ผมรู้สึกอยากเอาชนะกับคำพูดดูถูกเหล่านั้น รู้สึกมีแรงผลักดันอยากที่จะประสบความสำเร็จและพิสูจน์ตัวเองให้คุณพ่อผม ให้รุ่นพี่คนนี้ได้เห็นว่า ผมทำได้ และสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง ผมจึงได้คุยกับที่บ้านและได้ขอออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ผมได้เริ่มทำธุรกิจซักรีดผ้าตามโรงแรมและอพาร์ตเมนท์เซอร์วิช ซึ่งคิดว่าในภาคอีสานยังไม่ค่อยมีคนทำซักเท่าไหร่ ผมทำด้วยตัวเอง เข้าฟังอบรมการทำธุรกิจนี้จากผู้ที่มีประสบการณ์ และเริ่มลงมือทำ ช่วงครึ่งปีแรกยังขาดทุนอยู่มาก ทำให้ผมเริ่มท้อและคิดว่าจะเลิกทำ แต่ด้วยความตั้งใจจริงและจะยอมแพ้ไม่ได้จึงได้หาข้อบกพร่อง หาจุดอ่อนที่จะต้องแก้ไข ช่วงครึ่งปีหลังจึงพอเริ่มมีกำไร ได้ค่าเช่าพื้นที่ ค่าน้ำมันในการขนส่งอยู่บ้าง และกำไรก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆในช่วงครึ่งปีหลัง วันนี้ผมสามารถไปบอกคุณพ่อผม บอกรุ่นพี่คนนั้นว่าผมสามารถทำได้แล้ว ถึงยังไม่ประสบความสำเร็จมากมายอะไรแต่ก็เป็นความก้าวหน้าไปอีกขั้น ที่ทำให้ผมมีกำลังใจต่อสู้ไปอีก
 
เรื่องที่ 2:เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น                                                                                                                                                                  
จากการทำธุรกิจซักรีด ผ้าตามโรงแรม และอพาร์ตเม้นท์เซอร์วิช ผมก็ได้ปรึกษาถึงปัญหากับเจ้าของธุรกิจนี้ที่เป็นรายใหญ่ๆ พูดคุยถึงปัญหา รุ่นพี่คนนี้ก็ให้คำปรึกษาที่ดี และมาช่วยอบรมการทำงานให้ผมและลูกน้องอยู่เป็นประจำ ผมมีโอกาสได้พัฒนาตัวเองในหลายๆด้าน แก้ไขปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงว่าเกิดจากอะไร ผมก็ได้ลองเอารถที่ใช้ขนส่งผ้าไปติดแก๊สเพื่อช่วยลดต้นทุนเรื่องน้ำมัน ก็สามารถลดต้นทุนได้พอสมควร ผมเริ่มสั่งเครื่องซักผ้ารุ่นที่ใหญ่ขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น สั่งรถขนส่งผ้าเพิ่มและเอารถไปติดแก๊ส และเข้าพูดคุยกับลูกค้าด้วยตัวเองเพื่อทราบถึงปัญหาที่แท้จริงและวิธีแก้ไข เข้าอบรมการทำธุรกิจด้านนี้อยู่ตลอดเพื่อพัฒนาความรู้ด้านนี้ ทำให้ทุกวันนี้ธุรกิจของผมเติบโตขึ้นจากการบริการให้กับโรงแรม อพาร์ตเม้นท์เซอร์วิชเล็กๆแค่ไม่กี่ห้องในช่วงแรกๆสามารถขยายเป็นบริการให้กับโรงแรม รีสอร์ทขนาดใหญ่ในจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียง
 
จากคำพูดของรุ่นพี่คนนั้น ทำให้ผมมีความพยายามและกระตือรือร้น ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคในวันนี้ ผมรู้แล้วว่าชีวิตคนเราต้องมีเป้าหมายและมีความพยายามที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ และผมก็สามารถพิสูจน์ให้คุณพ่อผมเห็นแล้วว่าผมทำได้

นายณัฐพงษ์  สุขปัญญา  555740036-1  Y.14  SEC.11

 

วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ (910746)

 

"Coaching"

 

เรื่องที่ 1: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

 

          ช่วงที่ผมรู้สึกตกต่ำที่สุดเหตุการณ์หนึ่งคือ ตอนสมัยที่ผมเรียนอยู่ปี 1 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีแรกเกรดผมออกมาไม่ดีเลย 1.82 แถมติด F มา 1 ตัวอีก ซึ่งตอนนั้นรู้สึกแย่มาก ท้อแท้กับชีวิตอย่างเดียวที่คิดออกคือลาออก ไม่อยากสู้กับปัญหา ไม่มีความมั้นใจจะทำอะไรเลย ตัดสินใจจะลาออกอย่างเดียว อีกอย่างหนึ่งที่กลัวคือ กลัวพ่อแม่จะรู้ แต่ถึงยังไงสักวันพ่อแม่ต้องรู้แน่ๆก็เลยตัดสินใจเข้าไปคุยกับท่าน

 

            จุดเปลี่ยน พอได้เข้าไปคุย ผมคิดว่าโดนด่าแน่ๆเลย แต่ไม่ไช่ สิ่งที่ได้กลับมาเป็นสิ่งที่สร้างกำลังใจให้ผมเป็นอย่างมาก และทำให้ผมมีแรงที่จะสู้กับปัญหา ท่านบอกว่า เรื่องแค่นี้ใครๆเขาก็เป็น มันอยู่ที่ว่าปัญหาเกิดขึ้นแล้ว จะสู้กับมันหรือป่าว แม่ไม่ได้หวังให้ลูกเรียนได้เกรดดีๆ ขอแค่เรียนให้จบและรู้จักแก้ปัญหาก็พอแล้ว

 

เรื่องที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น (skill)

 

            ช่วงที่ผมฝึกงานอยู่ปี 4 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผมมีความสนใจเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วเป็นการส่วนตัว บรัดกรีเป็น ซ่อมเป็น แต่ไม่ชำนาญ ไม่รู้เทคนิค แต่มีพี่คนนึงแกทำงานเกี่ยวกับด้านนี้ แรกๆผมก็ไม่กล้าเข้าไปคุย แต่เพราะอยากรู้จึงหน้าด้านเข้าไปถาม เรียนรู้วิชากับแก แกก็เป็นคนนิสัยดี สอนเทคนิกต่างๆนาๆที่แกรู้โดยที่เราไม่ต้องไปเรียนให้เสียเงิน ทำให้ผมมีทักษะในด้านนี้เพิ่มขึ้นมาเยอะมาก

 

 

นาย สมถวิล พลแสน รหัส 555740273-7 ex19sec4

Coaching(แก้ไข)                                                         นาย สมถวิล พลแสน 555740273-7ex19sec4                         เรื่องที่1:เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการที่ทำให้ดีขึ้น                                                                        เป็นช่วงเวลาที่ตัดสินใจไปรับใช้ชาติด้วยการสมัครเป็นทหารกองประจำการที่ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ กองทัพภาคที่2 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ช่วงหลังจากที่เข้าไปที่กองร้อยครั้งแรกนั้นจะเริ่มฝึกหนักเลยมีความรู้สึกเหนื่อยมาก ลำบากจะทำอะไรก็ต้องมีกฎเกณฑ์อยู่ในระเบียบตลอดเวลาเลยทำให้เราคิดว่าเราคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ทำไมต้องมาทำอะไรที่มันลำบากที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยทั้งโดนทำโทษบ่อยๆทำให้เรามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อกองทัพ เสียเวลาในการทำงานเปล่าๆแทนที่เราจะใช้เวลาตรงนี้ไปทำงานอย่างอื่นแทน มีความรู้สึกถึงความตกต่ำได้ว่าชีวิตเราทำไมมันแย่ตกต่ำขนาดที่จะต้องมารองรับอารมณ์จากผู้ฝึกขนาดนี้เชียวหรือทำไมต้องมาให้คนอื่นโขกสับให้ทำเรื่องอะไรที่มันไร้สาระ แต่พอหลังจากการฝึกไป2เดือนซึ่งเป็นช่วงที่มีการฝึกหนักที่สุดเราก็มีโอกาสทำงานในส่วนต่างๆของกองร้อยเนื่องจากเราจบปริญญาตรีจึงทำให้ได้มีโอกาสทำงานในส่วนต่างๆมากกว่าคนอื่นก็ได้มีโอกาสเป็นหัวหน้ากลุ่มในการทำกิจกรรมต่างๆเป็นตัวแทนของกองร้อยในหลายๆเรื่องตอนแรกก็ประหม่าเพราะเราเป็นคนที่ไม่ชอบการแสดงออกเท่าไรชอบอยู่ๆนิ่งไม่สุงสิงกับใครมากนักแต่ในเมื่อสถานการมันบีบบังคับก็เลยต้องทำ ตรงจุดนี้ทำให้เปลี่ยนแปลงตัวเองทำให้เป็นคนที่กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้นกล้าคิดและกล้าตัดสินใจทำให้เรามีภาวะผู้นำมากขึ้นจากเมื่อก่อนมาก ซึ่งตลอดการรับใช้ชาติในการเป็นทหารกองประจำการถึงแม้มันจะเป็นช่วงที่สั้นเพียง 6 เดือนแต่มันก็สามารถเปลี่ยนตัวเราเองให้เป็นคนที่อดทนต่อความยากลำบาก มีวินัยมากขึ้น และฝึกให้เรามีความเป็นผู้นำ ซึ่งมันก็สามารถนำมาใช้ในชีวิตในการทำงานในปัจจุบันของเราได้เป็นอย่างดี                                                                                                                                เรื่องที่2:เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น(Skill)              เป็นช่วงที่เรียนจบมาใหม่ๆแล้วมีโอกาสเข้าไปเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราสีมาในช่วงแรกๆที่เข้าไปสอนนั้นก็ได้รับความกดดันพอสมควรจากอาจารย์ที่สอนประจำ และจากนักเรียนนักศึกษาเนื่องจากเราเพิ่งจะจบมาใหม่ๆอาจจะยังไม่เป็นที่เชื่อมั่นในความสามารถของเราและนักเรียนนักศึกษาก็รุ่นๆเดียวกับเราและหลายๆคนก็อายุมากกว่าเราด้วยซ้ำในระดับชั้น ปวส. จึงทำให้ขาดความเคารพไปบ้างในส่วนของนักเรียนนักศึกษา ด้วยในระบบการเรียนของสายอาชีวะนั้นจะเน้นการเรียนที่ต้องอาศัยทักษะวิชาชีพเป็นอย่างมากทำให้เราได้รู้จักกับอาจารย์ กานดา เหรียญมณี ซึ่งท่านเป็นคนที่มีความชำนาญด้านวิชาชีพที่สอนมากท่านก็ได้ให้ความรู้แก่และช่วยสอนงานต่างๆให้พาไปดูกิจการที่บ้านของท่านซึ่งที่บ้านอาจารย์ กานดา เหรียญมณีนั้นจะทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารมีชื่อเสียงมากในจังหวัดนครราชสีมา และท่านก็กรุณาให้ตักตวงความรู้ต่างๆนำไปสอนที่อาชีวะ ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้มีโอกาสทำงานที่สำคัญๆที่ทางวิทยาลัยมอบหมายให้และเราก็สามารถทำให้อาจารย์บางคนและนักเรียนนักศึกษาบางกลุ่มเชื่อมั่นในตัวของเรามากขึ้นจนถึงปัจจุบันถึงแม้ว่าจะไม่ได้สอนแล้วอาจารย์ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาก็ยังบอกเสมอว่าอยากให้กลับมาสอนอีกซึ่งก็หมายความว่ายังเชื่อมั่นในตัวของเรา และหลังจากที่ได้มีโอกาสไปดูกิจการที่บ้าน อาจารย์กานดา เหรียญมณีนั้น มันทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะทำธุรกิจบ้าง อาจารย์กานดาเคยบอกกับเราเสมอว่า:ถึงแม้ว่าเราจะมีอาชีพอะไรก็แล้วแต่เราก็มีเกียรติในอาชีพของเราอย่าดูถูกอาชีพของเรา การที่จะมีหน้ามีตาในสังคมไม่ใช่ว่าเป็นข้าราชการเท่านั้นอาชีพไหนก็มีเกียรติได้ถ้าเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของเรา :จากคำพูดตรงนั้นทำให้เราได้คิดว่าเราน่าจะเริ่มทำธุรกิจของตัวเองได้แล้ว ก็เลยออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง และตัวอาจารย์กานดาเองก็ยังให้การสนับสนุนอยู่เสมอช่วยแนะนำในเรื่องต่างๆมาโดยตลอดทำให้เราเป็นคนกล้าคิดกล้าตัดสินใจและมีความชำนาญในงานที่ทำและมันทำให้เราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ลูกค้าให้การยอมรับ พ่อแม่ญาติพี่น้อง เพื่อน หรือแม้แต่อาจารย์ที่อาชีวะก็ยังชื่นชมกับเราที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

นางสาวละลิดา โคตมุงคุล EX.19 SEC.4 555740238-9

เรื่องที่  1  คนที่สามารถทไห้เรา เปลี่ยนทัศนะ เปลี่ยนมุมมอง ปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น

ตอนจบปวส.มาใหม่มาสอบงานอบต.ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวได้ทำงานใกล้บ้าน พอตอนจะต่อสัญญาเมื่อสิ้นปีแล้วมีคณะบริหารบีบ  อยากให้ลูกหลานเข้ามาทำงานแทนเราแล้วก็พูดบีบเราสารพัด คนที่ทำให้หนูเปลี่ยนทัศนะและความคิดคือท่านปลัดอุสา  ท่านก็บอกว่าเธอทำงานดียังไงก็จ้างต่ออยู่แล้ว  พี่ปลัดก็บอกว่าฝีมือหนูทำงานดีกว่าข้าราชการเสียอีกพี่อยากให้เธอไปสอบให้มันได้พี่คิดว่าเธอจะไปไกลกว่าเป็นลูกจ้างพี่มองคนไม่ผิดหรอกมีปัญหาอะไรต้องการหนังสืออะไรบอกได้พี่จะช่วย  เธอต้องทำได้สิ  ณ ตอนนั้นน้อยเนื้อต่ำใจมากมืดมน  แต่ฟังพี่ปลัดพูดให้กำลังใจและสนับสนุน มันเป็นแรงใจสำคัญในชีวิตหนูมาก หนูได้ไปสอบ  3 จังหวัด ระยอง สกลนคร นครสวรรค์ สอบติดหมดเลย หนูเลยเลือก จ.ระยองเพราะมาบรรจุที่บ้านได้เลยเพราะสอบได้รอบแรก คนสอบเป็นหมื่นหนูสอบได้ที่ 32 ก็กลับมาทำงานที่บ้านในตำแหน่งจพง.การเงินและบัญชี มันเป็นความสำเร็จในชีวิตที่มีงานทำที่มั่นคง

 

เรื่องที่  2  เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

ต่อเนื่องจากที่ได้ทำงานราชการแล้ว  พี่ปลัดก็ให้ไปฝึกอบรมกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อฝึก พัฒนา อบรมงานในหน้าที่ ระเบียบต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมในการทำงาน อบต. เพื่อรับใช้และบริการประชาชนในตำบลและต่อไปไม่ใช่งานในหน้าที่แล้วแต่เป็นตำแหน่งงานพัสดุด้วย เพราะยังไม่มีจนท.เลยต้องดูงานพัสดุด้วยก็ไปฝึกอบรมอีกและกลับมาทำงานเจออุปสรรคและปัญหาบ้างก็ผ่านพ้นไปด้วยดีสะสมความเชี่ยวชาญ ความรอบรู้ไว้เยอะ จนทำงานได้ 9 ปีแล้วคะปัจจุบันก็ทำงานในตำแหน่งงานนักวิชาการเงินและบัญชี และมีงานที่ได้รับมอบหมาย ให้ทำประจำเพราะทำงานได้ถูกใจนายมากกว่าใคร เช่นงานโครงการ ทำ E –Aection หรืองานในหน้าที่ทำบัญชีก็ละเอียดเป็นที่ประทับใจของหัวหน้าและผู้ร่วมงาน ณ ตอนนี้หนูประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นผู้อาวุโสงานสอนลูกน้องทำงานแทนบ้าง และเป็นที่ปรึกษาเรื่องงงานพัสดุ  การเงิน บัญชี  ขอบคุณค่ะ

 

 

กนิษฐา เจนเวชประเสริฐ

น.ส.กนิษฐา เจนเวชประเสริฐ

555740110-5 MBA ex19

แชร์ประสบการณ์ดีๆ "Coaching"

 

เรื่องที่ 1 เป็นเรื่องที่รู้สึกว่าตกต่ำที่สุด

ช่วงประมาณเมษายนที่ผ่านมา เป็นช่วงหลังจากที่ลาออกจากที่ทำงานเดิมเนื่องจากว่าต้องมาทำธุรกิจกับครอบครัว โดยทางครอบครัวมีโครงการจะสร้างร้านยาให้เพื่อให้เรามาประจำ จริงๆโครงการนี้ได้วางแผนมานานมากๆแล้ว และครั้งแรกที่คุยกับพ่อ พ่อก็บอกว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมิถุนายน เราก็เลยคาดว่า อยากลาออกจากงานมาก่อนเพื่อที่จะได้มีเวลามาพักกายพักใจ แล้วค่อยลุยทำงานต่อ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเราลาออก ก็ออกมาอยู่บ้านหลายเดือน และร้านก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างสักที ช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยได้คิดอะไรมาก แต่สักพักก็เริ่มเครียดแล้วว่า ทำไมเรายังไม่ได้เริ่มทำงานสักทีนะ แล้วร้านที่ว่าจะเสร็จก็ไม่เสร็จสักที  เราก็ไม่เข้าใจพ่อ คิดว่าทำไมพ่อถึงไม่สนใจที่จะสร้างร้านเลย คือพ่อจะเป็นผู้ที่ตัดสินทุกอย่างว่าจะใช้จ่ายอะไร ทำร้านออกมาด้วยงบเท่าไหร่ หรือจะซื้ออะไร ก็ต้องผ่านการพิจารณาจากพ่อทั้งหมด  บางทีพ่อก็ ธุระเยอะ แต่พ่อก็ไม่ไว้ใจให้เราหรือแม่ตัดสินใจ จนทำให้บางทีก็เหนื่อยใจมากที่ว่าจริงๆแล้วมันน่าจะทำร้านได้เร็วกว่านี้  บางช่วงเวลา พ่อกับแม่ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด (ไปเพราะได้เป้าบริษัทยาบ้าง หรือไปร่วมกับชมรมต่างๆบ้าง)  เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อไม่รีบทำร้านให้เสร็จสักที จนบางครั้งก็แอบร้องไห้คนเดียวเพราะความไม่เข้าใจ  เราก็ได้ปรึกษากับแฟน ซึ่งแฟนก็จะเข้าใจในเรื่องแบบนี้ดี เค้าก็บอกว่า  ความสุขของพ่อกับแม่ก็ปล่อยไปเถอะ บางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบก็ได้ ถือสะว่าเป็นช่วงพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วกัน ใช้เวลาช่วงนี้ให้มีความสุข อยากทำอะไรก็ทำ อย่างเช่น การไปออกกำลังกาย หรือหาอะไรใหม่ๆทำ อย่าไปคิดแต่แบบนั้น เดียวถึงเวลา ก็ได้ทำเองแหละ  ซึ่งพอมาถึงปัจจุบันมองย้อนกลับไป ก็จริงอย่างที่แฟนว่า เราไม่จำเป็นต้องไปเร่งรีบอะไรเลย จริงๆเราก็ไม่ได้เดือดร้อน อะไรมากมาย การที่เราได้พักเต็มที่ ปล่อยความคิดอารมณ์ มันทำให้เราสามารถคิดสร้างสรรค์งานที่เรากำลังจะทำขึ้นในอนาคตได้เยอะมาก (ร้านยา) เพื่อพัฒนาร้านให้เติบโตยิ่งขึ้น  ทำให้เราได้กลับมานั่งทบทวน พิจารณา สิ่งรอบๆข้างได้ดีมากขึ้นทีเดียว 

 

 

 

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

 

ตอนนั้นทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ฝ่ายผลิตยา ซึ่งจะต้องเตรียมยาเคมีบำบัดให้ผู้ป่วยด้วย ในการเตรียมยาเคมีบำบัดนั้น ไม่ใช่เป็นแค่เภสัชกรเท่านั้นแล้วจะเตรียมได้ จะต้องมีการฝึกฝน มีการฝึกทักษะในการเตรียมด้วย เนื่องจากว่า ยาเคมีบำบัดนั้นเป็นยาที่อันตรายเช่นกัน หากเราเตรียมยาไม่ดีหรือว่าไม่ถูกต้อง ก็จะเป็นอันตรายทั้งเราและคนไข้ แทนที่จะได้บุญกลับได้บาปมาแทน ด้วยภาระงานและหน้าที่ ทำให้เราต้องมีการฝึกฝนทักษะในการเตรียมเป็นอย่างมาก พี่ที่หน่วยงาน ก็จะให้เราฝึกเตรียมจากชุดทดลอง โดยฝึกการดูดยามาให้ตรงตามปริมาณ การละลายยาด้วยน้ำร้อน เป็นต้น คือให้ฝึกทั้งวัน ประมาณว่า พี่ๆเค้าทำงานกัน แต่เค้าก็ให้เรานั่งฝึกทั้งวันเกือบๆ 3 อาทิตย์ แล้วพี่เค้าก็ให้เราทดสอบให้ดู มีพี่ๆมาประเมินว่าผ่านหรือไม่ผ่าน จากเหตุการณ์นี้เอง ก็ทำให้เรารู้สึกกดดัน และพยายามทำให้ได้ จดจำรายละเอียดต่างๆที่พี่เค้าสอน เอากลับมาฝึกที่บ้านจนเกิดความชำนาญ จนทำให้วันที่ประเมินนั้น เราสามารถสอบผ่าน และสามารถได้เตรียมยาเคมีบำบัดจริงให้แก่ผู้ป่วย

ขอแก้ไขเรื่องที่2ค่ะ

เหตุการณ์ที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

 

                เมื่อข้าพเจ้าขึ้นปี 2 (MBA) ก็ต้องคิดและวางแผนเกี่ยวกับการทำ IS เพื่อเตรียมจบได้แล้ว ตอนเทอมแรกๆที่เรียนก็ได้ฟังเพื่อนๆหลายคนพูดถึง IS และก็มีความตั้งใจว่า อยากรู้จักกับวิชา AI ก่อนซึ่งได้ยินพี่เภสัชคนหนึ่งที่เคยมาเรียน MBA พูดถึง แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำแนวนี้ดีหรือไม่ เพราะจริงๆแล้ว เราก็ยังไม่รู้จัก AI ดีพอ พอได้เริ่มเรียนวิชา POD ในคาบแรก ก็มีความรู้สึกประทับใจ เกี่ยวกับแนวคิด จึงตัดสินใจให้อาจารย์ภิญโญเป็นที่ปรึกษา และข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสเข้าไปปรึกษา สิ่งที่อาจารย์พูดแล้วรู้สึกทำให้เป็นจุดเปลี่ยน “เวลาเราหาข้อมูลให้เราหาจนถึงคนที่เป็น Marven จริงๆ แล้วเราจะได้ข้อมูลจริงจากคนที่รู้จริง“   ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าแรกๆที่เราหาข้อมูลนั้น บางครั้งเราอาจแค่ถามจากคนที่รู้จักแต่ไม่รู้จริง ทำให้เราพลาดในหลายๆสิ่งหรือแทนที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุดกลับไม่ดีเท่าที่ควร คำพูดของอาจารย์ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ข้าพเจ้าพยายามหาข้อมูลจาก Marven หรือถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ Marven ก็ทำให้ข้าพเจ้าโฟกัสงานให้ดียิ่งขึ้น โดยพิจารณาได้อย่างละเอียดรอบคอมมากขึ้น 

จุดเปลี่ยน คือ คำพูด “เวลาเราหาข้อมูลให้เราหาจนถึงคนที่เป็น Marven จริงๆ แล้วเราจะได้ข้อมูลจริงจากคนที่รู้จริง“   คือทำให้เราฉุกคิด และสามารถทำงานได้อย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น

นางสาวกวินารัตน์ เชื้อวณิชย์ 555740017-5 sec.11 Y#14

***แก้ไข

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

            เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าขึ้น ม 4 ซึ่งต้องย้ายโรงเรียนมาเรียนที่ขอนแก่นวิเทศศึกษา ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นอะไรที่อยากมาก เกือบทุกวิชาต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งในช่วงแรกๆก็ยังไม่สามารถปรับตัวได้ ภาษาก็ยังไม่แข็งแรง ไม่เข้าใจที่อาจารย์พูด ยิ่งเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยแล้วยิ่งทำให้ท้อไปกันใหญ่ และเมื่อมีการสอบย่อยข้าพเจ้าก็สอบไม่ผ่าน จนข้าพเจ้าคิดว่าต้องตั้งใจเรียนมากขึ้น ตั้งใจอ่านหนังสือมากขึ้น จำคำศัพท์ให้มากขึ้น และเรียนพิเศษ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็สามารถติด 1 ใน 3 ของคนที่ได้คะแนนสอบย่อยมากที่สุด และกำลังใจจากเพื่อนยังเป็นแรงผลักดันให้ข้าพเจ้าผ่านมันไปได้

            จุดเปลี่ยน : หลังจากที่สอบย่อยตก อาจารย์ก็เลยพูดว่า I beleive in you, you can do it. จากท่าทางและน้ำเสียงที่อาจารย์พูดทำให้เรามีกำลังใจอีกครั้ง 

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

            ข้าพเจ้าเรียน ป ตรี ด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงจะมีช่วงฝึกงาน ซึ่งข้าพเจ้าเลือกจะฝึกงานสายโรงแรม ซึ่งในตอนแรกเลือกลงแผนกเบเกอร์รี่ แต่พอเข้าไปทำจริงปรากฎว่าพี่managerบอกว่าแผนกเบเกอร์รี่มีคนมากเกินไปต้องย้ายไปแผนกอื่น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ย้ายไปแผนกฝ่ายจัดเลี้ยง ซึ่งทำในส่วนของครัวเย็น ครัวเย็นก็จะทำ สลัด บาเกล น้ำสลัด ค็อกเทล หรือจะเรียกง่ายๆว่า อาหารที่ไม่โดนความร้อนเลย ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีความรู้ในด้านนี้เลย ดังนั้นการที่เข้าไปฝึกงานที่นี่ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในการหั่นผักต่างๆ การเก็บรักษาผักไม่ให้เหี่ยวง่าย การทำน้ำสลัด การจับมีดให้ถูกวิธี การจัดค็อกเทล(อาหารที่เป็นคำๆ) หลังจากที่ทำได้มาระยะหนึ่งและชำนาญขึ้น พวกพี่ๆในครัวเย็นจึงให้โอกาสในการให้ข้าพเจ้าจัดค็อกเทลตามงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานจัดเลี้ยง งานแต่งงาน งานประชุม เป็นต้น และยังให้ข้าพเจ้าเตรียมอุปกรณืในการทำอาหาร การทำน้ำสลัด เป็นต้น หลังจากจบการฝึกงานทำให้ข้าพเจ้าสามารถนำความรู้ต่างๆมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จนถึงทุกวันนี้

            จุดเปลี่ยน : มีคนมาดูถูกว่า "เป็นลูกคุณหนูจะทำอะไรเป็นบ้าง ถึงทำก็ไม่รอดหรอก" จากคำพูดที่มีคนมาดูถูกเราทำให้เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ และต้องเก็บประสบการณ์มาให้มากที่สุด

นางสาวนสมณ กฤษณะสุวรรณ 555740537-9 sec.11 Y#14

**แก้ไข

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

            ตอน ป ตรี ช่วงปี 1 เทอม 1 ด้วยความที่ยังปรับตัวกับชีวิตนักศึกษาไม่ได้ ทำให้เกรดตอนช่วงเทอมแรกได้ต่ำมาก แทบจะติดโปร จนเพื่อนในกลุ่ม บอกว่า "เรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะ เราจะช่วยติวให้เธอเอง" หลังจากนั้นก็เริ่มสนใจเรียนมากขึ้น เพราะคิดว่าเพื่อนเป็นห่วงเรา และทำไมเราจึงไม่เป็นห่วงตัวเอง และเกรดก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

            ตอน ป ตรี ช่วงปี 3 ได้มีฌอกาสไปฝึกงาน เพราะเรียนวิทยาศาสตร์ การฝึกงานก็จะเกี่ยวกับการทำแลป วันที่ไปฝึกงานช่วงแรกก็ยังทำอะไรไม่เป็น ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แล้วพี่ที่เทรนงานให้ก็ได้มาพูดว่า "การฝึกงานก็เหมือนการทำงานจริง เราต้องทำให้ได้เหมือนคนทำงานทุกอย่าง" จากคำพูดของพี่เค้าในวันนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าต้องจริงจังกับการฝึกงาน และต้องตั้งใจเหมือนทำงานจริงๆ และเมื่อกลับมาเรียน ปี4 ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในการเรียนได้รวดเร็วขึ้นและทำให้ผิดพลาดน้อยลง

กรณัฐ วรวงษ์เทพ Ex.19 Sec4 555740113-9

ส. กรณัฐ วรวงษ์เทพ Ex.19 Sec4 555740113-9

 

 

Coaching

 

เหตุการณ์ที่ทำให้ตนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

 

          เป็นเรื่องตอนที่ยังเป็นเด็กมัธยม เป็นเด็กเรียบร้อย อ่อนต่อโลก ซึ่งเป็นเด็กที่อยู่ในกรอบความคิดของแม่มาตลอด ด้วยความที่แม่เป็นผู้หญิงเก่ง เป๊ะ ความคิดในตอนนั้นคิดว่าสิ่งที่แม่พอใจคือสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดี และสิ่งที่แม่ไม่พอใจคือสิ่งที่ไม่ดี ความคิดนี้เป็นอยู่จนถึงช่วง ม. 6

          จนมาวันหนึ่งช่วงที่เข้ามหาวิทยาลัยได้มาเจอสังคมเจอเพื่อน ได้ออกมาจากครอบครัวมาใช้ชีวิตด้วยตนเองที่มหาวิทยาลัย และเจอเพื่อนชายที่สนิท กันเค้าเป็นคนที่ค่อนข้างมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ค่อยเชื่ออะไรใครง่ายๆ มีบุคลิดเป็นผู้นำ ออกแนวหัวหน้าแกงค์เด็กแสบ จะชอบเห็นเรานอยส์ตลอดเวลาที่แม่ไม่พอใจ แต่เราก็ไม่เข้าใจในเหตุผลที่แม่ไม่พอใจเราในบางเรื่อง เค้าชอบพูดกับเราว่า บางทีผู้ใหญ่ก็ไม่ถูกเสมอไป แต่เค้าเป็นแม่เรา ลองคิดดีๆสิ่งที่เราทำผิดจริงหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ผิดจะอธิบายกับผู้ใหญ่ยังไงให้เค้าเข้าใจก็ไม่ใช่ว่าฟังแล้วจะเปลี่ยนได้ทันที แต่มันก็เป็นคำพูดที่เราจำมาตลอดว่า คนเราบางทีก็อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดทันที อย่าเพิ่งคล้อยตามใครไปทุกเรื่อง หรืออย่าเพิ่งตีโพยตีพายรู้สึกไปกับคำคน ให้ใช้ความคิดวิเคราะห์สิ่งที่เค้าพูดกับสิ่งที่เป็นอยู่ก่อนว่ามีเหตุผล จริง หรือสมควรจะเชื่อหรือไม่ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อฟังแม่นะคะ เชื่อฟังและเคารพมาก แต่ตอนนี้เชื่อฟังแบบมีเหตุผลรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกที่มาที่ไปของความไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นกับแม่หรือใครก็ตาม ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเค้าแสดงทีท่าไม่พอใจคือเราจะตีความหมายว่าเราผิด เป็นเพราะชั้นเอง แต่ตอนนี้ถ้าเราใช้เหตุผลแล้วว่าเออเราก็ไม่ได้ทำอะไรนะ เค้าอาจจะมีอารมณ์หงุดหงิดแปรปรวน หรือพื้นฐานความคิดเค้าเป็นแบบนั้น เราก็จะปล่อยเค้าไป นิ่งๆ ไม่ได้ไปนอยส์ตามความรู้สึกของคนรอบข้าง แต่หากว่าคิดแล้วว่าเป็นเพราะเราก็พร้อมจะขอโทษและยอมรับแต่โดยดี

 

เหตุการณ์ที่ทำให้ตนมีทักษะดีขึ้นเก่งขึ้น

 

          เรื่องเกิดขึ้นตอนที่ย้ายที่ทำงานจากกรุงเทพกลับมาอยู่บ้านที่ จ.อุดรธานี ทำงานกับบริษัท Organizer เล็กๆ ด้วยความที่ตัวเราเองเคยทำงานแต่ในองค์กรใหญ่มาซึ่งเมื่ออยู่ในองค์กรใหญ่เราก็จะเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ รับผิดชอบเฉพาะหน้าที่ของตน ไม่ได้ต้องรับผิดชอบอะไรมาก ทักษะก็มีเพียงไม่กี่ด้านที่เรารับผิดชอบ และเมื่อได้เข้ารับตำแหน่งในบริษัทเล็กๆและด้วยชื่อของบริษัทที่เจ้านายใหม่ปราบปลื้มและไฝ่ฝันอยากจะเข้าทำงานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เป็นองค์กรเกี่ยวกับโฆษณา สื่อนอกบ้าน (OOH) ดังนั้นเจ้านายจึงมีความคาดหวังว่าเราสามารถทำได้ทุกอย่างจนลืมดูไปว่าเราเคยมีประสบการณ์ด้านไหนมา

           เมื่อเข้าทำงานได้เดือนแรกเจ้านายให้หน้าที่ดูแลโครงการจัดงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ให้กับ ททท. ที่จะไปจัดที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นงานแรกของเจ้านายเช่นเดียวกันที่จะจัดงาน scale ใหญ่ขนาดนี้ และเค้าให้เรารับผิดชอบเป็นหัวหน้าดูแลโครงการ ทั้งหมด ในทีมมีทั้งคนที่ทำงานมาก่อน อายุเยอะกว่ารุ่นอา รุ่นลุง และน้องๆ องค์กรไม่ใหญ่ ทักษะของคนในองค์กรซึ่งไม่มีประสบการณ์ก็น้อย ประสบการณ์ด้านงาน organizer ก็ไม่มี ประกอบกับตัวเราเองด้วยความที่เป็นคนชิลมาก คิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายไปซะหมด คิดว่าตนสามารถทำได้ ในขณะนั้นเราคิดว่าที่สิ่งที่เราทำเราทำเต็มที่สุดกำลังความสามารถแล้วแต่ ด้วยเหตุผลประกอบอะไรหลายๆอย่างที่กล่าวมางานไม่เป็นที่น่าพอใจ โดนลูกค้าว่ากล่าวมาตัวเราเอง เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากๆ โดนทั้งเด็ก ทั้งเจ้านาย หรือลูกทีม มองว่าเราไม่มีความสามารถพอ หลังจากงานนี้เจ้านายลดความคาดหวัง และแสดงกริยาไม่เชื่อใจไม่ไว้ใจในการให้ทำงานใดๆเลย โดนกดดันในที่ทำงานต่างๆนาๆ เราก็ได้แต่กลับมาบ่นให้แม่ฟังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าอยากลาออก

          วันนั้นแม่พูดกับเราว่า ถ้าเราออกวันนี้เราก็ไม่ได้พิสูจน์ตัวเองสิว่าเรามีดีแค่ไหน เราได้ยินก็ฮึด สู้ๆๆ ทำๆๆ แต่ทำในแต่ละขั้นตอนงานที่ได้รับมอบหมายมา จะวางแผน และทำแต่ละขั้นตอนอย่างระมัดระวังรอบคอบที่สุด ทำให้ดีที่สุด จนระยะเวลา เกือบ 1 ปี เห็นการเปลี่ยนแปลงของเจ้านายที่ก่อนหน้านั้นแทบจะไม่อยากมองหน้า โดนด่า โดนไม่ไว้ใจให้ทำงาน ก็กลับมอบหมายงานและให้เราเป็นหัวหน้าทีมทำงานตลอด และเวลามีการประชุมมักจะยกเอาตัวอย่างของเรามีพูดให้ลูกน้องฟัง โชคดีมากที่ได้ฟังคำพูดของแม่คำนั้น และในวันที่เราลาออกจากบริษัทแห่งนี้เพราะต้องมาทำกิจการของที่บ้าน เราภาคภูมิใจมากเดินออกมาจากที่นั้นอย่างเท่ สง่างามสุดๆ โชคดีมากที่ไม่ท้อแท้และลาออกตั้งแต่ทีแรกที่ยังไม่ได้พิสูจน์อะไร

 

นายประพันธ์ พันธุ์พิพัฒน์กุล 555740051-5 Y12 S14

Coaching

ช่วงเรียน ป.ตรี ตอนปีสาม ทำงานให้คณะ ตอนนั้นมีปัญหาเยอะมาก จนถึงกับทะเลาะกับเพื่อนๆ ในห้องเรียน  ในตอนนั้นได้ปิดเทอม ก็เลยได้กลับบ้าน เลยได้คุยกับน้องชายถึงเรื่องนี้ น้องชายพูดกับผมว่า. ถ้าเราใหญ่กว่าบ้าน เราก็อยู่บ้านไม่ได้ ถ้าเราใหญ่กว่าโรงเรียน เราก็อยู่โรงเรียนไม่ได้ ถ้าเราใหญ่กว่ามหาลัย เราก็อยู่มหาลัยไม่ได้” ในวันนั้นเมื่อผมได้ฟังแบบนั้น ผมได้เลือกที่จะเดินถอยออกมา แล้วให้เพื่อนทำงานเองบ้าง จะได้รู้ว่าคนทำงานเขาเหนื่อยแค่ไหน หลังจากนั้นไม่นาน งานทุกงานเพื่อนๆมาช่วยกันทำอย่าพร้อมเพียงกัน 

 

 

ต่อมามีน้องค่ายคนหนึ่งเขาทุกข์ใจมากๆ ซึ่งเกิดปัญหาเหมือนๆกับผม ผมเลยแนะนำน้องเค้า อย่างที่ผมเคยทำ วันนั้นน้องบอกผมว่า คุยกับพี่หนูสบายใจขึ้นเยอะเลย

นาย รภัทร หาทวายการ รหัส 555740233-9 EX19 Sec4

 

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

เมื่อผมเรียนจบปริญญาตรีก็ได้ทำงานเป็นพนักงานในบริษัทเอกชนทั่วๆไป ซึ่งพอทำไปได้ 5 ปี ก็รู้สึกว่าเบื่อกับงานที่ทำอยู่มาก วันๆรอแต่จะให้ถึงเวลาเลิกงานเพื่อที่จะได้กลับไปทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ หรือปลูกกระบองเพชรที่ผมรัก อยู่มาวันนึงผมก้ได้พบกับคุณลุงท่านนึงในเวปกระบองเพชร เราได้คุยกันค่อนข้างบ่อยและแกเองก็ได้แชร์ประสบการณ์ชีวิตของแกเองมากมาย แกอายุ หกสิบกว่าๆแล้ว แต่ทุกๆคำพูดที่แกพูดยังไม่เหมือนกับคนแก่เลย คุณลุงท่านนี้แกมีอาชีพเป็นพ่อค้าขายกระบองเพชร ซึ่งก่อนหน้านี้แกได้ทำงานเป็นนายธนาคาร มีหน้าที่การงานที่ดี แต่หลังๆรู้สึกเบื่อ ประกอบกับลูกๆก็ได้เรียนจบและทำงานกันหมดแล้ว แกเลยลาออกมาทำสวนกระบองเพชร ลุงท่านนี้ถึงจะมีอายุที่มาก แต่แกก็ยังขยันศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ แกมีโทรศัพท์ไอโฟนเพื่อเอาไว้เล่นอินเตอร์เน็ต และถ่ายรูปต้นไม้เพื่อไว้ขายผ่านอินเตอร์เน็ต แกมีรอยยิ้มให้กับทุกๆคนที่ได้มาพูดคุยด้วย ผมปรึกษาหลายๆเรื่องกับแกและมีสิ่งนึงที่แกได้สอนคือ ชีวิตคนเราแปปๆก็ตาย อย่ารอที่จะมีความสุขกับทุกวันของชีวิต ทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำไป ถ้ามันพอจะหาเลี้ยงชีพได้และไม่เบียดเบียนผู้อื่น ผมประทัยใจมาก และได้เริ่มหาข้อมูลต่างๆ เพื่อที่เตรียมจะลาออก จากนั้นชีวิตผมก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ผมออกจากงานประจำ หลังจากนั้นประมาณ1ปี ผมได้เตรียมการทุกๆอย่างไว้ก่อนที่จะลาออก เก็บเงิน เพื่อนำมาลงทุนทำฟาร์มเห็ด ซึ่งผมได้ศึกษาและลองทำระหว่างวันว่างจากการทำงานประจำเป้นเวลาเกือบปี อ่านหนังสือทุกเล่ม ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตทุกเว็ปไซต์ และ เข้าอบรมการทำฟาร์มเห็ด เมื่อผมลาออกมา ทุกอย่างเป็นอิสระมากๆ เพราะผมได้ทำฟาร์มเห็ด และมีเวลาให้กับชีวิต และครอบครัวมากขึ้น และที่สำคัญผมได้มีเวลาปลูกกระบองเพชรที่ผมชอบทุกๆวัน ทุกๆปีผมจะไปหาลุงท่านนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพบปะและแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ชีวิตกับแกอยู่

เรื่องที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น (skill)

                เมื่อตอนผมเพิ่งเรียนจบและได้ทำงานบริษัทเอกชน ก็เป็นปกติของเด็กจบใหม่ที่ยังทำอะไรไม่ค่อยเป็น ทำงานอะไรก็ติดไปหมด ยากไปทุกอย่าง ผมเป็นวิศวกรระบบคอมพิวเตอร์ครับ งานทุกวันจะเป็นงานที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทุกๆวันถ้าลูกค้าจะเจอหน้าผมก็คือระบบมีปัญหานั่นเอง ทุกๆวันจะต้องโดนลูกค้าด่าก่อนถึงจะได้เข้าไปแก้ไข ประกอบกับผมยังไม่มีประสบการณ์ จึงแก้ปัญหาได้ช้ามาก จนเริ่มท้อและอยากจะลาออก วันนึงพี่ที่ทำงานที่เขาเคยเป็นวิศวกรระบบคนเก่าซึ่งเขาได้เลื่อนไปทำงานเป็นพนักงานขายแล้ว เห็นผมจะไม่ไหวแกเลยเข้ามาและสอนผมว่า ไม่มีใครทำเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอกน่ะ พี่เองก็ไม่เป็นทุกอย่างเหมือนกัน ลูกค้าเขาก็ทำไม่เป็น มันเลยเป็นหน้าที่ของเราไงที่จะต้องจัดการให้เขา วันนี้เราไม่เป็นแต่หากเราทำไปเรื่อยๆค่อยๆแก้ค่อยๆทำไป วันนึงเราก็จะเป็นทุกอย่างและเราจะภูมิใจในหน้าที่ของเราเอง ผมก็เข้าใจเลยว่าทุกๆคนต่างมีปัญหาที่ต้องแก้ ไม่งั้นเขาจะจ้างเรามาทำไม ผมก็ทำมาเรื่อยๆ ถามเจ้าของผลิตภัณฑ์บ้าง หาข้อมุลจากอินเตอรืเน้ตบ้าง จนผ่านไปหลายปีเราก็กลายเป้นพี่ใหญ่เขาแล้ว ผมก็ยังสอนน้องๆใหม่ๆที่เข้ามาเหมือนกันว่า ขอแค่เริ่มและไม่หยุดทำ เดี๋ยวเก่งเอง

 

นางสาวทิราภรณ์ น้อยผาง

นางสาวทิราภรณ์   น้อยผาง

555740041-8 Sec.11 Y.14

Coaching 

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ และมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

    ปกติดิฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง  โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ชอบและไม่ถนัด  เพราะมักจะคิดว่าทำสิ่งนั้นได้ไม่ดีจึงขาดความมั่นใจที่จะทำ  วิชาภาษาอังกฤษเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ชอบและไม่ถนัดเลย  ดิฉันกลัวการพูดภาษาอังกฤษ  จนมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อนๆ  ในช่วงที่อยู่ต่างประเทศต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารตลอดเวลา  จึงทำให้ดิฉันไม่ยอมห่างจากเพื่อนเลย  และคอยแต่จะพึ่งเพื่อนๆตลอดแม้แต่เรื่องเล็กๆ ช่วงเวลานั้นมันจึงเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก เพราะถ้าไม่มีเพื่อนก็เท่ากับว่าจะไปไหนหรือทำอะไรไม่ได้เลย  จนวันนึงมีเพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันมาพูดกับดิฉันว่า "ถ้าไม่มีฉัน เธอจะทำยังไง คนอื่นเค้ายังพูดได้ แล้วทำไมเธอจะพูดไม่ได้ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก  แค่มั่นใจก็พอ" เพราะคำพูดของเพื่อนทำให้ดิฉันคิดได้ว่า..เราจะมัวแต่พึ่งคนอื่นตลอดเวลาคงไม่ได้  และไม่อยากจะเป็นภาระกับเพื่อนๆอีกแล้ว  หลังจากวันนั้นฉันจึงลองออกไปซื้อของที่มินิมาร์ทใกล้ๆที่พัก และพยายามพูดคุยกับเจ้าของร้านมินิมาร์ท  เมื่อคุยแล้วเจ้าของร้านเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูด  จึงทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจที่จะพูดภาษาอังกฤษมากขึ้นและไม่กลัวการพูดภาษาอังกฤษอีก

เรื่องที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

    ตอนเรียนปริญญาตรีดิฉันเรียนคณะสาปัตยกรรมศาสตร์  และตอนเรียนปี 3 ก็มีโอกาสไปฝึกงานที่บริษัทตัดต่อรายการทีวีแห่งหนึ่งในกรุงเทพ  ในวันแรกที่เริ่มฝึกงานรู้สึกกลัวมาก  และกังวลหลายอย่าง พี่ๆที่บริษัทก็มองดิฉันด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่  ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะดิฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดเลยทำให้พี่ๆหลายคนในบริษัทไม่ยอมรับ  ที่บริษัทรับทำงานกราฟิกและตัดต่อรายการทีวีที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงหลายรายการยิ่งทำให้ดิฉันเสียความมั่นใจในการไปฝึกงานครั้งนี้มาก  เพราะคิดว่าตัวเองเป็นเด็กต่างจังหวัดคงไม่เก่งพอและคงไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานเหล่านี้ได้  ในช่วงแรกๆที่ไปฝึกงานมีพี่คนนึงในบริษัทมาพูดกับดิฉันว่า  " นี่เป็นเด็กบ้านนอกนิ..รู้มั้ยเด็กฝึกงานที่ผ่านมามีแต่เด็กม.ดังๆทั้งนั้น แต่พี่ชอบนะ เด็กบ้านนอกน่ารัก  ขยัน  มีสัมมาคาราวะดี " เพราะคำพูดของพี่คนนั้นกลายเป็นแรงผลักดันทำให้ดิฉันขยันตั้งใจเรียนรู้งานให้ได้มากที่สุด  เพื่อที่จะให้พี่ๆที่บริษัทยอมรับความสามารถของเด็กบ้านนอกคนนึงให้ได้  จนวันนึงคนทำกราฟิกไม่พอ เหลือดิฉันที่เป็นเด็กฝึกงานที่ยังว่างอยู่  พี่ๆเค้าเลยให้ลองช่วยงานเป็นครั้งแรก  งานชิ้นแรกที่ทำเป็นรายการที่ออกอากาศทางช่อง 7 หลังจากที่ทำงานชิ้นนั้นก็ทำให้ทุกคนในบริษัทยอมรับดิฉันมากขึ้น และให้โอกาสดิฉันทำงานกราฟิกให้กับอีกหลายรายการ  ดิฉันรู้สึึกภูมิใจทุกครั้งที่เห็นผลงานตัวเองได้ออกอากาศทางทีวี  เพราะอย่างน้อยดิฉันก็ทำให้หลายยอมรับในความสามารถของเด็กบ้านนอกคนนึงได้  

นายพิสุทธิวัฒน์ ศรีบุรินทร์ 555740061-2 sce.11

นายพิสุทธิวัฒน์ ศรีบุรินทร์ 555740061-2

sec11 Y#14 Business Creative

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

        เมื่อสองปีที่ผ่านมารู้สึกกดดันและน้อยเนื้อต่ำใจกับเรื่องการเรียน   เพราะในบ้านมีลูก3คน เราเป็นคนกลาง ซึ่งพี่เรียนจบเกียรตินิยมและน้องกำลังจะจบสามปีครึ่งและได้เกียรตินิยมอีกเช่นกัน แต่เรากลับจบด้วยเกรดอันน้อยนิด จึงทำให้รู้สึกแย่  พักหลังมาแม่เห็นเราเครียดๆ แม่จึงเข้ามาพูดคุยด้วย แล้วแม่ให้กำลังใจด้วยคำพูดที่ว่า อย่าเครียด อย่ากดดัน อย่าน้อยใจเลย ถึงเราจะไม่จบเกียรตินิยมเหมือนพี่และน้อง แต่เราเป็นคนที่ดูแลตัวเองและเอาตัวรอดได้ดีกว่าคนอื่น  การเรียนไม่ได้วัดความสำเร็จในชีวิตนะลูก จากคำพูดนั้นของแม่ จึงทำให้หายเครียด และปรับตัวเรื่องเรียนให้ดีขึ้นในปัจจุบัน

เรื่องที่ เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

        ก่อนหน้านี้เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือคนเดียว ไม่ชอบติวให้คนอื่นเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง  แต่มีรุ่นพี่คนนึงบอกเราว่า ทำไมไม่ออกมาอ่านหนังสือหรือมาติวกับเพื่อนจะได้เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้แล้วเราจะได้ความรู้เยอะขึ้น ก็เลยลองเปิดใจมาติวกับเพื่อนลองดู พอเรามาติวกับเพื่อนทำให้รู้ว่าเราได้ความรู้ที่มากขึ้นจริงๆและพอมีเรื่องไหนที่เราเข้าใจเราก็จะเป็นคนติวให้เพื่อน  รู้สึกว่าพอเราติวให้เพื่อนแล้วเราเข้าใจมากขึ้นจริงๆและได้คะแนนในวิชานั้นๆมากขึ้นด้วย และพอเพื่อนๆได้คะแนนที่ดี เราก็ดีใจไปด้วย ต้องขอบคุณพี่คนนั้นที่แนะนำให้เราทำในสิ่งที่ดีและทำให้เราเก่งขึ้น

        

 

นายธีระวัฒน์ นิมมาศุภวงศ์รัฐ Y#14 Sec.11 รหัส 555740044-2

นายธีระวัฒน์ นิมมาศุภวงศ์รัฐ Y#14 Sec.11 รหัส 555740044-2

Creativity Business

Coaching (แก้ไข)

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำแล้ว และมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

     เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สมัยตอนเรียนใกล้จะจบปริญญาตรี ได้มีโอกาสไปฝึกงานที่บริษัทรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับระบบโทรคมนาคม เมื่อครั้งเข้าไปฝึกงานเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน ก็ได้ลองงานในแผนกต่างๆหลายอย่าง แต่มีอยู่แผนกหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับสายงานที่เรียนมา พี่เลี้ยงฝึกงานก็ได้มอบหมายงานงานหนึ่งให้ลองทำ แต่ผมกลับทำไม่สำเร็จตามที่พี่เลี้ยงสั่งเอาไว้ และได้รับคำพูดจากพี่เลี้ยงคนนั้นว่า สมัยนี้เขาไม่สอนเรื่องนี้กันแล้วหรือน้องไม่ใส่ใจในวิชาที่เรียน คำพูดนั้นทำให้ผมไม่พอใจมาก ในใจก็คิดว่ามาฝึกงานไม่น่าจะด่ากันขนาดนี้ หลังจากวันนั้นเองผมก็ได้ลองศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับงานนั้นด้วยตนเอง จนสามารถทำสำเร็จได้ จนพอสำเร็จการฝึกงาน พี่เลี้ยงก็ได้ชมและให้ของที่ระลึกไว้ มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ว่า ตัวเราเองถ้ามีความพยายาม ความสำเร็จก็จะไม่ไกลจากตัวเรา    

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

     เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับที่บ้านของผมเอง ที่บ้านผมเป็นคนจีน ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กให้ขยัน แต่ตัวผมเองบางครั้งก็เป็นคนที่ขี้เกียจ ซึ่งจุดนี้เองผมได้รับการกระตุ้นจากอาม่า(ย่า) ท่านจะชอบบอกชอบสอน แรกๆผมก็รู้สึกหงุดหงิด แต่มาถึงวันนี้ ผมก็ได้เข้าใจแล้วว่าที่แกสอน มันทำให้ผมเป็นคนที่ Active กับงานที่ผมจะทำหรือสนใจให้สำเร็จอยากรวดเร็ว 

วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ 

"Coaching"

                   แต่ก่อนเป็นคนที่วิตกกังวลสูงมาก คิดมาก กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ชอบคิดเรื่องอดีตที่ร้ายๆ คิดวนไปวนมาตลอดเวลา จนไม่ค่อยกล้าทำอะไร ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง จะทำอะไรสักอย่างก็เริ่มวิตกกังวลแล้วว่าจะทำไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่เคยผิดพลาดมาแล้วก็จะหลีกเลี่ยงไม่ทำ เพราะคิดว่าต้องผิดพลาดอีก การเรียนปีหนึ่ง ปีสอง ที่เรียนปริญญาตรีพยาบาลออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ก็ยิ่งคิดมาก คิดว่าจะเรียนไม่ไหวด้วยซ้ำไป ท้อแท้จริงๆ

                   จนมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทชื่อปา เห็นเราชอบคิดมาก วิตกกังวลสูง เพื่อนก็อึดอัดกะเรามาก จนเพื่อนเข้ามาคุยตรงๆ ว่า "โอ๋ แกคิดมากไป แกรู้ตัวไหม ฉันเคยอ่านหนังสือนะ ฉันอยากเล่าให้แกฟัง แกรู้ไหม นักกีฬาโอลิมปิกแต่ละคนฝีมือพอๆ กัน แกเชื่อไหม แต่พวกเขาจะชนะกันด้วยจิตใจ หากเล่นไปเกมส์แรกแพ้ แล้วมัวนักนึกถึงความพ่ายแพ้ของตน เกมส์ต่อไปก็แพ้อยู่ดี แต่ถ้าไม่คิดไม่กังวลสิ่งที่พลาด ก็จะเล่นอยู่ในเกมส์คิดถึงแค่ปัจจุบัน แค่ตอนนี้ จนพลิกชนะได้  แกควรไม่ยึดติดอดีต ไม่กังวลในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แกควรอยู่กับปัจจุบันของแก ตอนนี้ว่าแกควรทำอะไร แกจะมีความสุขกว่านี้นะ" เมื่อปาพูดจบ ปาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "ตัดความกังวล แล้วเริ่มต้นชีวิตอย่างมีชีวิตชีวา" ของ เดล คาร์เนกี มาให้อ่านเพิ่มอีก

                    หลังจากนั้น ก็พยาบาลไม่คิด ไม่คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายในอดีต ไม่กังวลในสิ่งที่มาไม่ถึง ชีวิตเริ่มมีความสุขมากขึ้นจริงๆ จากนั้นปีสาม ปีสี่ ได้เกรดเฉลี่ยสูง ติดหนึ่งในสิบของคณะ ได้เหรียญเรียนดี ของมหาวิทยาลัย 2 ปีซ้อน  และเราก็จำคำเพื่อนไว้ตลอด เมื่อเราคิดมากอีก ขอบคุณเพื่อนปาจริงๆ

                                                                                 

                                                                                      สิรินทรา  ใจฉลาด

                                                                                         555740093-9

                                                                                    MBA Young 14 Sec.11

                                                                                            

นาย อชิรวัตติ์ ตั้งกิจเกียรติกุล ex19 sec3. รหัส 555740302-6.

นาย อชิรวัตติ์ ตั้งกิจเกียรติกุล  ex19  sec3. รหัส 555740302-6.    

วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ. 
                Coaching
เมื่อก่อน ผมได้ทำงานอยู่ บริษัทแห่งหนึ่ง โดยมีผู้จัดการ คอยสั่งงานเพียงฝ่ายเดียว. ทุกคนที่เป็นพนักงานก็ต้องคอยทำตามคำสั่งนั้นๆ ผมก็เป็นคนนึง. ที่ต้องคอยทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ว่าทำถูกหรือผิด. และทุกคนไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งของผู้จัดการคนนี้ได้. 
หลังจากนั้นผมได้รู้จักกับพี่คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการเหมือนกัน เค้าชวนผมมาทำงานด้วย. โดยที่ทำงานที่ใหม่นี้. เค้าบอกผมว่า คุณแสดงความคิดเห็นได้นะ เมื่อมีปัญหา.เพราะบริษัทเรารับฟังความคิดเห็นของทุกคน เราจะโตไปพร้อมๆกัน เพราะคุณเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเราแล้ว เค้าให้คำปรึกษาผมตลอดเวลาที่มีปัญหา และจะร่วมกันแก้ปัญหาด้วยกันตลอด. ทำให้ผม. ได้แสดงความคิดเห็นของผมออกมา. และเป็นที่ยอมรับของพนักงานทุกคนในบริษัท. เมื่อมีปัญหาต่างๆ เราก็ช่วยกันแก้ปัญหา. ทำให้ผมมีทัศนะวิสัย ทัศนะคติ. ที่กว้างขึ้น. 
 
จุดเปลี่ยนของผมคือ. จากเมื่อก่อนผมทำงานบริษัทเดิม. ต้องทำงานตามคำสั่งของผู้จัดการโดย. ขัดคำสั่งไม่ได้. และออกความคิดเห็นอะไรไม่ได้เลย. และหลังจากนั้น. ผมมาอยู่บริษัท แห่งใหม่มีผู้จัดการให้คำปรึกษา ให้ข้อคิดจุดเปลี่ยน โดยเค้าพูดว่าเรามาอยู่บริษัทเดียวกันแล้ว เราจะโตไปด้วยกัน คุณสามารถออกความคิดเห็นได้นะ ผมต้องการให้องค์กรเราโต. และมีความแตกต่าง และให้แสดงความคิดเห็นของผมออกมา ทำให้ผม มีความคิดที่กว้างขึ้น. และมีส่วนร่วมในบริษัทมากขึ้น จนทำให้ผมรักบริษัทนี้มาก. และผมหวังว่าจะโตไปพร้อมกับบริษัทแห่งนี้. 

 

นายศุภศิษฏ์ ศรีเศวต 555740011-7 Y#14 SEC11

นายศุภศิษฏ์ ศรีเศวต 555740011-7

Y#14 SEC11

Coaching วิชา Creative business

 

                    ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมเป็นคนไม่ชอบการอ่านหนังสือ เที่ยวเล่นเหมือนเด็กอื่นๆ ทั่วไป จนจบปริญญาตรี  ก็ได้เข้าทำงานกับ บริษัท ขอนแก่นแหอวน ซึ่งเป็น บริษัทที่ใหญ่มากของจังหวัดขอนแก่น ผมอยู่แผนกจัดซื้อ มีรุ่นพี่เป็นผู้หญิงที่คอยช่วยเหลือ ตลอดเวลามีปัญหา สามารถถามได้ตลอดเวลา หัวหน้าจะเป็นผู้ชายซึ่งจะคุมทั้งหมด 3 แผนก คือ แผนกจัดซื้อ แผนกคลังสินค้า แผนกทำป้าย งานพิมพ์ เป็นหัวหน้าที่เก่งมาก มีความรู้รอบด้าน โดยในทุกๆวันศุกร์ จะมีการรวมกันทั้ง 3 แผนกในตอนเช้า เพื่อเล่าปัญหาที่เกิดตลอดทั้งสัปดาห์ โดยการประชุมแบบไม่เป็นทางการ แล้วก็ยืนคุยกัน ไม่เคร่งเครียดอะไร แต่ทำให้ลูกน้องหลายๆคน สามารถกล้าพูดกล้าแสดงออกได้ และก่อนจะจบประชุมหัวหน้าก็จะหาเรื่องมาเล่า ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติของคนดัง เช่น สตีฟ จ๊อบ หรือจะเป็นเรื่องข่าว เรื่องความรู้ในห้องเรียน เช่น เศรษฐศาสตร์ ทุกเรื่องล้วนมีประโยชน์ ผมจึงชอบหัวหน้าท่านนี้มาก จนเมื่อตอนพักเที่ยงของวันหนึ่ง พักกินข้าวตรงห้องกินข้าว จะมีตู้หนังสือใหญ่อยู่ตู้หนึ่ง รุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกัน ก็เลยบอกว่า หนังสือในตู้นั้น เอากลับบ้านไปอ่านได้นะ เพราะว่าหนังสือในตู้เป็นของหัวหน้าเองแหละ ถ้าอยากเก่งเหมือนหัวหน้าก็ลองอ่านหนังสือ แบบหัวหน้าดูสิ ด้วยประโยคนั้นทำให้ผมอยากเก่งขึ้นมาทันที ผมจึงจดจำชื่อของหนังสือแล้วหาซื้อเอง โดยไม่ขอยืม แล้วกลับมานั่งอ่านอย่างจริงจัง ซึ่งหนังสือทำให้ผมรู้สึกว่า มันช่วยให้โลกของผมกว้างขึ้นจริงๆ ด้วยการอ่านหนังสือที่เยอะ ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นในการคุยกับหัวหน้า ชีวิตผมรู้สึกเปลี่ยนไปเพราะการอ่านหนังสือ จริงๆครับ ขอบคุณ รุ่นพี่ที่ทำงาน และหัวหน้าที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป

นางสาวฐิตาภา เคนหงษ์ 555740155-3

เรื่องที่  1 “ตอนที่รู้สึกตกต่ำแล้วถูกดึงให้ดีขึ้น”

ในช่วงปลายปี 50  ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจออกจากงานเนื่องจากไม่ชอบการกระทำของหัวหน้าสำนักงานที่คอยแต่จะใช้ลูกน้องจนไม่มีเวลาพักกลางวันและไม่ชอบเพื่อนร่วมงานที่ชอบเอาผลงานของเราไปเอาหน้า ถ้าผิดมาก็โทษข้าพเจ้า แต่ถ้าดีก็รับหน้าไป  ซึ่งในการลาออกครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ทำการลาออกถึง 3 ครั้ง โดยคณบดีได้ให้เหตุผลไปว่าข้าพเจ้าทำหน้าที่ของตนได้ดีแล้ว  แต่เพราะความโกรธจึงโกหกหัวหน้าสำนักงานและคณบดีไปว่าจะไปทำงานต่างประเทศกับคุณอา  ที่ประเทศมอลต้า  ซึ่งทุกคนแปลกใจว่ามีประเทศนี้อยู่ในโลกหรือไม่ กลัวข้าพเจ้าอ้างชื่อประเทศมาผิด  ทุกคนที่เมตตาข้าพเจ้าก็ได้พากันไปค้นหาประเทศนี้ซึ่งรวมทั้งคณบดีด้วย ซึ่งท่านไม่อยากให้ข้าพเจ้าออกจากงาน แต่ก้อต้องยินยอมและอนุญาตให้ข้าพเจ้าลาออก  แต่ในการลาออกครั้งนั้นชีวิตของข้าพเจ้าตกต่ำมาก  เงินที่เก็บไว้ใช้ก็หมด  ไม่มีเงินเดือนจ่ายค่างวดรถ  ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้รบกวนทางบ้านแม้แต่น้อย  จนได้ขายดาวน์รถที่ข้าพเจ้าใช้อยู่ทุกวันให้กับญาติพี่น้องที่รู้จักกัน  จนมุมมองไม่เห็นทางไหนแล้ว  แต่ในการลาออกก็ไม่ได้ทำให้ท่านละทิ้งลูกน้องเก่า  ในต้นปี 51 ท่านได้ให้เพื่อนร่วมงานที่เคยสนิทกันโทรตามข้าพเจ้ามาสมัครงานในหน่วยงานอื่น  ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้มาสมัครและได้เข้าทำงานในหน่วยงานนั้น  โดยเงินเดือนเริ่มต้นด้วยวุฒิ ปวช. (ลูกจ้างเงินรายได้) และได้ทำงานได้ประมาณ 1 เดือน ท่านก็หาตำแหน่งที่สูงขึ้นให้ โดยได้เป็นวุฒิ ปวส. (ลูกจ้างเงินรายได้) ในระยะเวลาต่อมาอีก 1 เดือน ท่านก็หาตำแหน่งที่สูงขึ้นอีกโดยตำแหน่งนี้เป็นวุฒิ ป.ตรี (พนักงานในสถาบันอุดมศึกษา)  ซึ่งได้บรรจุเป็นพนักงานประจำของมหาลัยฯแห่งหนึ่งซึ่งในการที่ท่านได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าและได้เมตตาและสั่งสอนข้าพเจ้าตลอดมาจนถึงทุกวันนี้  ข้าพเจ้าได้จำไว้เสมอว่า  เหตุการณ์ที่ผ่านมาที่ข้าพเจ้าได้เจอ  ก็มีอยู่ทั่วไปในหน่วยงาน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ  และงานในปัจจุบันนี้หายาก  ความอดทนและความขยันเท่านั้นที่จะช่วยชีวิตของเราให้อยู่รอดได้ในสังคมปัจจุบัน  จนทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้อดทนกับทุกอย่าง และชีวิตการทำงานของข้าพเจ้าได้ดีขึ้น  มีทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม  และได้ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป ซึ่งมีลูกน้องที่อายุแก่กว่าข้าพเจ้ามากและลูกน้องบางคนก็ได้เกษียณอายุราชการไปแล้วก็มี  ท่านจะคอยอบรมและสั่งสอนข้าพเจ้าอยู่เสมอว่า  งานหายาก  ให้อดทนและอย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจ  ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ทำงานเก่งขึ้น ผู้บริหารหลายคนเรียกใช้ เพราะพอใจในการทำงานของข้าพเจ้า

 

เรื่องที่  2 “เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น”

 

เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากเรื่องที่ 1 ซึ่งพอข้าพเจ้าได้กลับเข้ามาทำงานในแผนกงานอื่นซี่งไม่ใช่แผนกงานที่เคยทำ  แต่ได้ยินคนพูดว่า ข้าพเจ้าออกจากงานเพราะทำงานไม่ผ่านทำงานไม่ได้เรื่อง  เป็นประเด็นมาจากตอนที่ข้าพเจ้าลาออกได้เรียกตัวสำรองจากาข้าพเจ้ามาทำงาน แล้วทำงานไม่เป็น ถูกตัดเตือนอยู่บ่อย ๆ จนทำให้เกิดปัญหากัน และคนนั้นก็ถูกให้ออกจากงานเพราะไม่ผ่านการประเมินการทำงาน จึงเอามาเปรียบเทียบกับข้าพเจ้า  ทำให้ข้าพเจ้าไม่พอใจมาก จึงได้เดินไปหาหัวหน้างานเก่าแล้วถามว่า  ได้ยินข่าวว่ามีคนพูดถึงข้าพเจ้าในตอนที่ออกจากงาน  ว่าข้าพเจ้าถูกให้ออกเหมือนคนนั่น  หัวหน้าเก่าเลยพูดขึ้นมาว่า ใครว่า ผมไม่เคยว่า คุณกับเขาออกจากงานคนละอย่างกัน ผมรั้งคุณไว้ คุณยังไม่อยู่เลย  อย่าไปคิดมาก ใครเขาจะพูดอะไรให้เขาคิดไป  คุณก็อย่าให้เขาสบประมาทคุณสิ  เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น  จึงทำให้ข้าพเจ้าทำงานหนักขึ้น  และทำงานมาก ๆ ใครเรียกใช้ข้าพเจ้ารับอาสาทำให้ได้หมด  จนผู้บริหารพอใจในระดับหนึ่งซึ้งสามารถถามงานข้าพเจ้าได้โดยไม่ต้องผ่านหัวหน้า  

แทนไท ไชยสาร 555740042-6 sec11 Y14 ฉบับแก้ไข

แทนไท ไชยสาร 555740042-6 sec11 Y14 ฉบับแก้ไข

Coaching

เรื่องที่ 1 ช่วงเวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

ผมและเพื่อนสนิทเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งความสามารถ(ทักษะ จิตใจ ร่างกาย)ของผมก็มีการพัฒนาอยู่เสมอ จนถึงระดับที่เราสามารถออกไปแข่งขันกับประชาชนทั่วไป ซึ่งตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยจะบอกได้เลยว่าผมเป็นตัวหลัก(ตัวเก่งในมหาวิทยาลัย) แต่พอได้ออกไปเล่นกับคนทั่วไป ฟอร์มการเล่นของผมกลับไม่ดี ผมไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นให้สม่ำเสมอได้ ซึ่งต่างจากเพื่อนของผมที่กำลังไปได้ดีในการเล่นอาชีพ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สภาพจิตใจย่ำแย่ ทำให้ผมไม่อยากที่จะออกไปแข่งขันรับแรงกดดันจากทุกคนไม่ไหว ถึงขั้นอยากเลิกเล่นเพราะคิดว่าเล่นต่อไปก็ไม่พัฒนาไปกว่านี้ จนอยู่มาวันหนึ่งคุณอาที่เคยเป็นโค๊ชให้กลับผมมาพูดประโยคสั้นๆกับผมว่า"แทนไท...เอ็งน่ะเก่งกว่าเพื่อนๆทุกคนที่อาเคยสอน อาสอนมาอารู้"ด้วยคำว่า"เก่งกว่าทุกคน" ทำให้ผมกลับมาคิดอดีตถึงปัจจุบันที่คุณอาพูดจริงไม่จริงไม่รู้? แต่ที่รู้คือความมั่นใจที่เคยมี หลังจากวันนั้นผมเริ่มกลับมาสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองโดยเอาความผิดพลาดมาตรงนั้นกลับมาซ้อมจนปัจจุบันความมั่นใจผมกลับมาอีกครั้ง ผมเล่นดีขึ้นมีความมั่นใจพร้อมที่จะไปเล่นอาชีพอีกครั้ง ในอนาคตก็ยังไม่รู้ว่าจะสามารถเล่นฟุตบอลอาชีพได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขกับการเล่นฟุตบอลและอยากเล่นไปจนแก่

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

เรื่องว่ายน้ำไม่เป็น ตอนเด็กๆเคยจมน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมไม่อยากที่จะลงไปเล่นน้ำอีกตลอดชีวิต เมื่อโตขึ้นเรียน ป.ตรี ปี3แต่ยังว่ายน้ำไม่เป็น สำหรับผมเป็นเรื่องตลกเป็นความลับที่ไม่อยากจะบอกใคร จึงเกิดความคิดที่อยากจะหัดว่ายน้ำ แต่ด้วยเหตุการณ์ในอดีตทำให้ยังว่ายน้ำไม่เป็น จนมาวันหนึ่งผมเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์จมน้ำในตอนเด็กให้เพื่อนฟัง ด้วยความที่เป็นวันรุ่นผู้ชายเย็นวันนั้นผมและเพื่อนตกลงไปสระว่ายน้ำ เพื่อนของผมสอนพื้นฐานการว่ายน้ำอยู่ริมสระ บอกให้ปรับทัศนะคติเกี่ยวกับการว่ายน้ำใหม่ เมื่อผมเผลอเพื่อนผมได้จับผมโยนลงน้ำ ณ ขณะนั้นผมตกใจสุดขีดตะโกนบอกให้เพื่อนช่วย แต่เพื่อนของผมกับบอกว่า"ทำตามที่สอนดิ"พอได้สติผมทำตามที่ได้ฟังมาเมื่อครู่ ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมลอยตัวในน้ำได้ ผมไม่จมน้ำ 

ปัจจุบันผมว่ายน้ำเป็นถึงจะไม่เก่งระดับนักกีฬา แต่ก็สามารถไปว่ายน้ำกับเพื่อนๆได้ตามโอกาส ช่วยเหลือตนเองได้ 

                                                                                        นางสาวศศิธร แก้ววิเศษ 555740262-2 Ex 19 sec 4

                                                                                        Creative Business งานชิ้นที่ 7


Coaching

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ และมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

            มีอยู่ในช่วงหนึ่งของการทำงาน เนื่องจากบริษัท มีพนักงานลาออกกันหลายคนทำให้งานเพิ่มขึ้น เราก็ได้รับงานมาเพิ่มจนไม่สามารถทำงานได้ทันเวลาส่ง จึงไปปรึกษาหัวหน้า จนเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะหัวหน้าพูดในที่ประชุมว่าทุกคนที่เป็นหัวหน้ามองว่าเราไม่ทำงาน วันๆไม่ทำอะไร พอได้ยินแบบนั้นเหมือนสายฟ้าฟาด เรานั่งทำงานหลังขดหลังแข็งแต่ไม่เคยมีใครรู้ ซึงลักษณะงานเป็นงานที่ต้องทำตามตาราง ไม่เคยมีใครมาสัมผัสงานที่เราทำ ไม่มีใครมาสนใจ ตอนนั้นรู้สึกเสียใจมาก ก็เลยคุยกับเพื่อนที่ทำงานที่อื่นดู เขาเลยพูดประโยคที่ว่า "คนอื่นเขาเจอมาหมดแล้ว เธอเพิ่งเจอเหรอ อายุปูนนี้แล้ว เธอโชคดีแค่ไหนแล้ว และนี่แหละคือชีวิตการทำงานจริงๆ โลกแห่งความเป็นจริง " จากนั้นก็เลยทำให้เรารู้สึกดีขึ้น รู้จักทำงานโดยการทำให้หัวหน้ารู้ว่าเราทำงานนะ ทำงานเป็นระบบระเบียบมากขึ้น

เรื่องที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

            ตั้งแต่จบปี พ.ศ. 2550 ดิฉันก็เริ่มทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น จนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเริ่มต้นที่ทำงานนั้นทำตำแหน่ง Call center ได้ประมาณ 1 ปี ก็เริ่มเบื่ออยากออกมาทำงานด้านการตลาด แต่พอทำการตลาดได้ซักพัก ก็รู้สึกไม่ชอบอยากเปลี่ยนไปทำตำแหน่งใหม่ ซึ่งเปลี่ยนไปอีก 2 แผนก จนล่าสุด อยากกลับไปทำงานที่ต่างจังหวัด ซึ่งเป็นอีกตำแหน่งที่ไม่เคยทำมาก่อน และก็ทำได้ประมาณ 6 เดือนก็รู้สึกว่าไม่ชอบ มันไม่ใช่งานที่เราชอบ ก็ขอกลับมาทำงานที่จังหวัดขอนแก่นเหมือนเดิม ซึ่งเป็นตำแหน่งเดิมก่อนย้ายไปต่างจังหวัด ซึ่งก่อนที่จะย้ายกลับมาที่ขอนแก่น เจ้านายระดับภาคก็เรียกเข้าไปคุยด้วย ซึ่งก็ไม่ได้ตำหนิอะไรมากมาย เพราะด้วยสไตล์การทำงานที่บริษัทแห่งนี้คือ อยู่ด้วยกันแบบพี่แบบน้อง ใครอยากทำอะไรก็สามารถเสนอได้ แต่มีอยู่คำหนึ่งที่หัวหน้าพูดกับเราคือ พี่อยากให้เราทำงานแบบผู้ใหญ่ การทำงานจริงไม่ใช่เล่นขายของ อยากทำอะไรก็ได้ ซึ่งเราจะทำอะไรก็ไม่ผิดหรอก แต่มันเป็นประวัติการทำงานของเรา ถ้าเราเปลี่ยนตำแหน่งบ่อยก็จะเสียประวัติเรา ซึ่งดิฉันเองก็เข้าใจ หลังจากวันนั้น ดิฉันก็กลับมาทำงานที่ขอนแก่นในตำแหน่งที่ทำอยู่จนปัจจุบัน ไม่เปลี่ยนอีกเลยได้ประมาณ 3 ปีกว่า ถึงจะมีคนเสนอหรือมีตำแหน่งอื่นว่างเราก็ไม่สนใจ เพราะอยากทำหน้าที่ปัจจุบันของตัวเองให้ดีที่สุด ซึ่งดิฉันก็ทำได้ดี และได้รับหน้าที่ระดับภาค ทำให้ชีวิตการทำงานเราเปลี่ยนไป ไม่เหลาะแหละอีกต่อไป ทำงานป็นระบบมากขึ้น มีความเชี่ยวชาญในการทำรับผิดชอบมากขึ้น

 

 

 

นายพิธพงษ์ ปัททุม Ex.19 sec 4 รหัส 555740216-9

เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเราเก่งขึ้น จากการที่ถูก Coaching จากหัวหน้างานประจำแผนก
1. เหตุการณ์ทำให้รู้สึกหมดกำลังใจ
ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการทำงานของเราเอง ที่บริษัทแห่งหนึ่งที่สมุทรปราการ โดยเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องทำความเย็น เช่น แอร์บ้าน แอร์รถยนต์ ส่งให้กับบริษัทใหญ่ๆของประเทศ ได้แก่ ไดกิ้นส์, มิตซูบิชิ,ชาร์ป เป็นต้น และก่อนที่สินค้าจะถูกส่งไปยังลูกค้า ผมและลูกน้องต้องเป็นหน่วยควบคุมคุณภาพของสินค้า ให้มีมาตรฐานตรงตามที่ตั้งไว้ ก่อนส่งไปยังลูกค้า แต่แล้วก็มีสินค้าที่เสียหายหลุดไปยังลูกค้า ทำให้สินค้าถูกส่งกลับมาตรวจสอบใหม่ทั้งหมด โดยการต้องคัดแยกเครื่องทำความเย็นทีละตัว ทั้งหมดก็ประมาณ 400-500 ตัว ทำให้เสียเวลาในการทำงานมาก ลูกน้องก็ต้องมาเสียเวลาคัดแยก และต้องยอมอดหลับอดนอน เพื่อจะแก้ไขปัญหาให้ได้ และเกิดผลกระทบตามมา คือ สินค้าไม่ได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า และลูกค้าไปซื้อสินค้ากับคู่แข่งแทน ทำให้ถูกต่อว่าจาก ผู้จัดการโรงงานซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น ได้ถูกตำหนิอย่างรุนแรง ต่อหน้าลูกหน้าในแผนก ทำให้เราเกิดความน้อยใจและไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องต่อว่ากันแบบนี้ด้วย ซึ่งทำให้ท้อต่อการทำงานมาก และคนญี่ปุ่นเองก็ได้ดูถูกว่าคนไทยทำงานไม่เป็น ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้
พอออกมาจากห้องผู้จัดการแล้ว พี่ที่เป็นหัวหน้าแผนกเราเอง ก็ได้เข้ามาปลอบใจและให้ข้อคิดในการทำงานว่า เป็นธรรมดาที่เราต้องเรียนรู้จากการทำงานผิดพลาด พี่เองก็เคยผิดพลาดเช่นเดียวกัน พี่ก็ยังลุกขึ้นมาแก้ไขและตั้งใจทำงานให้มากขึ้น มีความรอบครอบมากขึ้น ซึ่งพี่เชื่อว่าน้องก็ทำได้ ซึ่งเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจเราได้อย่างดีมาก ไม่มีใครหรอกที่จะทำงานถูกต้องและไม่ผิดพลาดเลย ดีแล้วที่เราอายุยังน้อย เจอปัญหาแค่นี้อย่าไปยอมแพ้ ต้องสู้และพิสูจน์ตัวเองให้คนญี่ปุ่นเห็นว่าคนไทยเราก็ทำได้ และทำงานได้ดีไม่แพ้คนญี่ปุ่นเช่นกัน ถ้าเรายอมแพ้วันนี้แล้วลูกน้องจะทำอย่างไร (ซึ่งตัวผมเองได้มีลูกน้องที่ต้องดูแลประมาณ 10-20 คน) พอได้ฟังคำพูดจากพี่ที่มีประสบการณ์ที่มากกว่าเรา ทำให้เราได้ข้อคิดดีๆและกำลังใจที่จะสู้ใหม่และพิสูจน์ตัวเองให้ได้ หลังจากนั้นเราก็ได้มานั่งคิดพิจารณาในข้อผิดพลาดของเราว่าเกิดจากอะไร มีปัญหาที่ต้องแก้และเพิ่มตรงใหนบ้างเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอีก

2.สิ่งที่ทำให้เราเก่งขึ้นก็คงเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันจากที่เกิดขึ้น
อันดับแรกเลยคือกลับมาพิจารณาตัวเองก่อน หาข้อบกพร่องตัวเองและแก้ไข แล้วจึงนำไปแก้ให้กับลูกน้อง ทำให้เราได้กลับมาคิดและหาวิธีพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ซึ่งนับจากที่ได้ประสบการณ์ที่ผิดพลาดมา และมีคำสอนดีๆจากคนเก่งๆทำให้เราและลูกน้องในแผนกสามารถพิสูจน์ให้คนญี่ปุ่นเห็นว่าเราก้ทำงานเก่งได้ โดยมีผลงาน คือ ไม่มีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหลุดไปยังลูกค้าอีกเลยหรืออยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ลูกค้ายอมรับได้อยู่ จากการผิดพลาดครั้งนั้นทำให้เราได้กลับมาแก้ไขตัวเองและลูกน้อง โดยเราได้เพิ่มความรอบคอบในการตรวจเช็ค ,หาเครื่องมือที่ทันสมัยมาช่วยในการตรวจสอบ ,และเพิ่มความรู้ความสามารถให้กับลูกน้อง โดยส่งไปอบรมตามสถานที่ต่างๆและมีการทดสอบความรู้ลูกน้องเป็นประจำ ซึ่งในปีนั้นแผนกเราก็ได้รับรางวัลแผนกดีเด่นของบริษัทด้วย และถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นที่ใหน จะเป็นแผนกเราก่อนที่จะได้รับงาน เพราะมีคุณภาพในการทำงานที่ดี บริษัทของลูกค้าก็ให้การยอมรับมาเป็นอันดับหนึ่ง และพยายามผลักดันให้ลูกน้องได้แสดงความคิดเห็นและกล้าแสดงออก รวมถึงร่วมกันพัฒนาสินค้าให้ได้คุณภาพเพื่อจะแข่งขันกับคู่แข่งให้ได้ มีการส่งลูกน้องไปดูงานและร่วมปฏิบัติงานกับบริษัทใหญ่ๆเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับลูกน้อง ซึ่งจากคำพูดวันนั้นก็ทำให้เราได้มีแรงและแก้ไขพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้บางครั้งการทำงานผิดพลาดก็มีข้อดี ทำให้เรามีประสบการณ์ที่มากขึ้น รับมือกับปัญหาต่างๆได้ดีมากขึ้น กล้าตัดสินใจ และมีความเป็นผู้นำ พอเกิดปัญหาก็จะรู้จักวิธีแก้ไขและวางแผนว่าจะแก้ไขตรงใหนก่อนและตรงใหนสำคัญที่สุดที่ต้องดำเนินการก่อน

                                                                             นายพิธพงษ์ ปัททุม EX.19 sec 4 รหัส 555740216-9

 

เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเราเก่งขึ้น จากการที่ถูก Coaching จากหัวหน้างานประจำแผนก
1. เหตุการณ์ทำให้รู้สึกหมดกำลังใจ
ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการทำงานของเราเอง ที่บริษัทแห่งหนึ่งที่สมุทรปราการ โดยเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องทำความเย็น เช่น แอร์บ้าน แอร์รถยนต์ ส่งให้กับบริษัทใหญ่ๆของประเทศ ได้แก่ ไดกิ้นส์, มิตซูบิชิ,ชาร์ป เป็นต้น และก่อนที่สินค้าจะถูกส่งไปยังลูกค้า ผมและลูกน้องต้องเป็นหน่วยควบคุมคุณภาพของสินค้า ให้มีมาตรฐานตรงตามที่ตั้งไว้ ก่อนส่งไปยังลูกค้า แต่แล้วก็มีสินค้าที่เสียหายหลุดไปยังลูกค้า ทำให้สินค้าถูกส่งกลับมาตรวจสอบใหม่ทั้งหมด โดยการต้องคัดแยกเครื่องทำความเย็นทีละตัว ทั้งหมดก็ประมาณ 400-500 ตัว ทำให้เสียเวลาในการทำงานมาก ลูกน้องก็ต้องมาเสียเวลาคัดแยก และต้องยอมอดหลับอดนอน เพื่อจะแก้ไขปัญหาให้ได้ และเกิดผลกระทบตามมา คือ สินค้าไม่ได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า และลูกค้าไปซื้อสินค้ากับคู่แข่งแทน ทำให้ถูกต่อว่าจาก ผู้จัดการโรงงานซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น ได้ถูกตำหนิอย่างรุนแรง ต่อหน้าลูกหน้าในแผนก ทำให้เราเกิดความน้อยใจและไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องต่อว่ากันแบบนี้ด้วย ซึ่งทำให้ท้อต่อการทำงานมาก และคนญี่ปุ่นเองก็ได้ดูถูกว่าคนไทยทำงานไม่เป็น ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้
พอออกมาจากห้องผู้จัดการแล้ว พี่ที่เป็นหัวหน้าแผนกเราเอง ก็ได้เข้ามาปลอบใจและให้ข้อคิดในการทำงานว่า เป็นธรรมดาที่เราต้องเรียนรู้จากการทำงานผิดพลาด พี่เองก็เคยผิดพลาดเช่นเดียวกัน พี่ก็ยังลุกขึ้นมาแก้ไขและตั้งใจทำงานให้มากขึ้น มีความรอบครอบมากขึ้น ซึ่งพี่เชื่อว่าน้องก็ทำได้ ซึ่งเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจเราได้อย่างดีมาก ไม่มีใครหรอกที่จะทำงานถูกต้องและไม่ผิดพลาดเลย ดีแล้วที่เราอายุยังน้อย เจอปัญหาแค่นี้อย่าไปยอมแพ้ ต้องสู้และพิสูจน์ตัวเองให้คนญี่ปุ่นเห็นว่าคนไทยเราก็ทำได้ และทำงานได้ดีไม่แพ้คนญี่ปุ่นเช่นกัน ถ้าเรายอมแพ้วันนี้แล้วลูกน้องจะทำอย่างไร (ซึ่งตัวผมเองได้มีลูกน้องที่ต้องดูแลประมาณ 10-20 คน) พอได้ฟังคำพูดจากพี่ที่มีประสบการณ์ที่มากกว่าเรา ทำให้เราได้ข้อคิดดีๆและกำลังใจที่จะสู้ใหม่และพิสูจน์ตัวเองให้ได้ หลังจากนั้นเราก็ได้มานั่งคิดพิจารณาในข้อผิดพลาดของเราว่าเกิดจากอะไร มีปัญหาที่ต้องแก้และเพิ่มตรงใหนบ้างเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอีก

2.สิ่งที่ทำให้เราเก่งขึ้นก็คงเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันจากที่เกิดขึ้น
อันดับแรกเลยคือกลับมาพิจารณาตัวเองก่อน หาข้อบกพร่องตัวเองและแก้ไข แล้วจึงนำไปแก้ให้กับลูกน้อง ทำให้เราได้กลับมาคิดและหาวิธีพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ซึ่งนับจากที่ได้ประสบการณ์ที่ผิดพลาดมา และมีคำสอนดีๆจากคนเก่งๆทำให้เราและลูกน้องในแผนกสามารถพิสูจน์ให้คนญี่ปุ่นเห็นว่าเราก้ทำงานเก่งได้ โดยมีผลงาน คือ ไม่มีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหลุดไปยังลูกค้าอีกเลยหรืออยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ลูกค้ายอมรับได้อยู่ จากการผิดพลาดครั้งนั้นทำให้เราได้กลับมาแก้ไขตัวเองและลูกน้อง โดยเราได้เพิ่มความรอบคอบในการตรวจเช็ค ,หาเครื่องมือที่ทันสมัยมาช่วยในการตรวจสอบ ,และเพิ่มความรู้ความสามารถให้กับลูกน้อง โดยส่งไปอบรมตามสถานที่ต่างๆและมีการทดสอบความรู้ลูกน้องเป็นประจำ ซึ่งในปีนั้นแผนกเราก็ได้รับรางวัลแผนกดีเด่นของบริษัทด้วย และถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นที่ใหน จะเป็นแผนกเราก่อนที่จะได้รับงาน เพราะมีคุณภาพในการทำงานที่ดี บริษัทของลูกค้าก็ให้การยอมรับมาเป็นอันดับหนึ่ง และพยายามผลักดันให้ลูกน้องได้แสดงความคิดเห็นและกล้าแสดงออก รวมถึงร่วมกันพัฒนาสินค้าให้ได้คุณภาพเพื่อจะแข่งขันกับคู่แข่งให้ได้ มีการส่งลูกน้องไปดูงานและร่วมปฏิบัติงานกับบริษัทใหญ่ๆเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับลูกน้อง ซึ่งจากคำพูดวันนั้นก็ทำให้เราได้มีแรงและแก้ไขพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้บางครั้งการทำงานผิดพลาดก็มีข้อดี ทำให้เรามีประสบการณ์ที่มากขึ้น รับมือกับปัญหาต่างๆได้ดีมากขึ้น กล้าตัดสินใจ และมีความเป็นผู้นำ พอเกิดปัญหาก็จะรู้จักวิธีแก้ไขและวางแผนว่าจะแก้ไขตรงใหนก่อนและตรงใหนสำคัญที่สุดที่ต้องดำเนินการก่อน

น.ส. ภัทรภร จีระดีพลัง

น.ส. ภัทรภร   จีระดีพลัง

555740063-8  Sec.12


แก้ไขงาน
วิชา ความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ (910746)
"Coaching"


เรื่องที่ 1 “ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น”
  ด้วยดิฉันได้มีโอกาสไปเข้าค่ายพุทธธรรม ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดขึ้น พระท่านนำวีดีโอการคลอดลูกมาเปิดให้ดู และอธิบายว่ากว่าจะแม่จะเลี้ยงลูกมาจนเติบใหญ่ แต่งงานมีครอบครัว มาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย กว่าจะอุ้มท้อง คลอดเราออกมา กว่าจะเลี้ยงเรา ซึ่งเด็กบางคนตอนกลางคืนร้องไห้งอแง แม่ซึ่งเหนื่อยจากงานบ้านอยู่แล้วกลับต้องมาเลี้ยงลูกซึ่งร้องไห้ตอนดึกอีก แล้วพระท่านก็ได้ถามเพื่อนๆที่มาเข้าค่ายว่า เพื่อนคนไหนซึ่งแม่ตอนนี้ตายไปแล้วบ้าง ซึ่งก็มีเพื่อนหลายๆคนได้ออกไปหน้าเวที ซึ่งก็มีเพื่อนคนหนึ่งได้พูดว่า “ตัวเค้านั้นเป็นกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก อยู่กับป้า พ่อเค้าได้ทิ้งเค้าไป ส่วยแม่นั้นได้ตายไปตั้งแต่เค้ายังเด็ก ซึ่งตัวเค้านั้นไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าแม่เลย พอถึงวันแม่ทีไร เพื่อนคนอื่นก็มีแม่ ได้ไปเที่ยวกับแม่ มีแม่มาหาที่โรงเรียน มีโอกาสได้กอดแม่ ได้บอกรักแม่ แต่ตัวเค้านั้นไม่มีโอกาสได้บอกรักแม่เลยสักครั้ง” จึงอยากบอกเพื่อนๆว่า “เวลาไม่เคยไหลย้อนกลับ สิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ จึงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อในอนาคตจะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง” จึงทำให้ดิฉันได้มองย้อนกลับไปดูตัวเอง และมีเวลาให้พ่อแม่มากยิ่งขึ้น

เรื่องที่ 2 “ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น”
เนื่องจากช่วงปิดเทอมแม่ก็ให้ไปฝึกงานกับอาที่บ้าน ซึ่งอานั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับกระจกและอลูมิเนียม โดยเรามีหน้าที่คีย์ข้อมูลยอดขายลงในระบบคอมพิวเตอร์ วันหนึ่งมีพนักงานคนหนึ่งอยากจะขอหัวหน้างานลาหยุด ซึ่งปกติร้านนั้นจะมีวันหยุดให้พนักงานหยุดได้อาทิตย์ละ1วัน แต่ต้องสลับสับเปลี่ยนวันหยุดกันไป แต่แล้วหัวหน้างานไม่ให้พนักงานคนนั้นลาหยุด ซึ่งพนักงานคนนั้นก็ไม่พอใจ จึงเขียนใบลาออก และได้ลาออกไป หลังจากนั้นเราก็ได้นั่งกินข้าวกับพนักงานที่เหลือจึงได้มีโอกาสนั่งคุยกัน พี่ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “คนเราควรนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นไม่ใช่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งสังคมกับมนุษย์จะแยกจากกันไม่ได้ เพราะมนุษย์เริ่มเกิดมาก็ต้องอาศัยสังคม ต้องพึ่งพาอาศัยมนุษย์ด้วยกัน ต้องมีความสัมพันธ์กัน จะอยู่คนเดียวไม่ได้” และได้นำมาปรับใช้กับพนักงานภายในบ้าน

ปี2546 ผมจบการศึกษา จากคณะเทคนิคการแพทย์ สาขากายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ก่อนจบผมได้ไปฝึกงาน คือตอนนั้นพยายามโชว์ความแมนให้สาวๆเลือกที่ฝึกงานก่อนตัวเองจึงได้ไปฝึกงานที่  สถาบันราชประชาสมาสัย จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็น รพ.โรคเรื้อน ทางบ้านก็ไม่ค่อยอยากให้ไปกลัวติดโรคเรื้อนกลับมา ด้วยความที่เค้าไม่เข้าใจ ที่นี่เองที่ผมได้พบกับ อาจารย์สมเกียรติ มหาอุดมพร ที่เป็น clinical instructure ของการฝึกงานทางกายภาพบำบัด ตลอดสองเดือน ผมประทับใจมากกับการสอนของอาจารย์ ก่อนจบการฝึกงานอาจารย์ได้ให้ข้อคิดคื่อ

คนโชคดีชั้นที่หนึ่งคือ ได้ทำอะไรตามที่ตัวเองชอบ

คนโชคดีชั้นที่สองคือ ได้ทำอะไรที่ชอบแล้วสามารถบรรลุจุดประสงค์ของการทำงาน คือทำจนsucessนั่นเอง

คนโชคดีชั้นที่สามคือ ได้ทำสิ่งที่ชอบ ทำมันจนสำเร็จ และมีชื่อเสียง

คนโชคดีชั้นที่สี่คือ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ สำเร็จ มีชื่อเสียง และได้ตังค์

อาจารย์ย้ำว่าเงินอยู่หลังสุด ขอให้คุณมี purpose และมุ่งมั่น ทุกอย่างจะตามมาเอง

     ผมได้กลับไปที่คณะเรียนให้จบ ทบทวนตัวเองว่าผมชอบอะไร คำตอบคือ ผมชอบการทำงานที่รพ.โรคเรื้อนแห่งนั้นมากกว่าที่ๆผมฝึกงานมาทั้งหมดตลอดการศึกษา จึงกลับไปหาอาจารย์แต่ อาจารย์บอกว่าเราไม่มีตำแหน่งข้าราชการ แต่มีคนงานเงินเดือน3,990บาท ลาออก1คน ผมตัดสินใจทำทันที และนั่นคือเงินเดือน เดือนแรกของผม

  ไม่มีใครเข้าใจ ผมเลยว่าทำไมตัดสินใจเช่นนั้น อยู่ รพ.โรคเรื้อน ไกลครอบครัว เงินเดือนเท่าคนงานล้างห้องน้ำ ผมก็ไม่พูดอะไร ก็เดินตามแสงสว่างเล็กๆที่ผมมองเห็น เพราะผมเชื่อว่าโชคสี่ชั้นของผมต้องเริ่มจากงานที่ชอบก่อน

    รูปแบบงานที่นี่ไม่เหมือนที่ไหน เราได้เรียนรู้การทำงานแบบแปลกๆ ต้องทำแผลเน่าเฟะที่มือและเท้าคนไข้โรคเรื้อน นักกายภาพท่านอื่นก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่เรา แต่ก็คิดบวกว่าอย่างน้อยคนส่วนมากก็ทำไม่เป็นล่ะวะ อยากดังต้องแตกต่าง ก้มหน้าก้มตาทำงานไป อาจารย์ทำอะไรก็ทำตาม จนพักหลังๆเริ่มคิด พูด ทำ เหมือนอาจารย์ขึ้นทุกวัน จนบางคนบอกว่ามีเรื่องสงสัยแล้วพี่เกียรติไม่อยู่ ถามไอ้แนน(ผม)ก็ได้ ได้คำตอบเดียวกัน ตลอดห้าปีที่ทำงานร่วมกันวันละ12ชม อาทิตย์ละึุ6วัน(ตามอาจารย์ไปconsultให้เอกชน)

    จุดเปลี่ยนอยู่ที่วันหนึ่งคุยกับDr scott murrey ศัลแพทย์ชาวอังกฤษ ได้ชี้ว่าโรคเรื้อนน้อยลงทุกปี ไปทำเบาหวานเถอะมีแผลที่เท้าเหมือนกัน จึงทำให้เรามุ่งสู่เบาหวาน จุดนี้เองทำให้ชื่อเสียงเราโด่งดังเพราะประเทศไทยยังไม่มีบุคคลากรเรื่องเท้าเบาหวานมากนักในยุคนั้น เราได้มีโอกาสบรรยายตาม โรงพยาบาลของรัฐ เอกชน สมาคม จนถึงมหาวิทยาลัย เป็นอาจารย์พิเศษมากมาย

       จนวันนี้ได้ย้อนกลับมามองจุดเริ่มต้น ผมพบว่าผมบรรลุโชคทั้งสี่ขั้นโดยที่ผมไม่รู้ตัว ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่อง สนุกสนานในการทำงาน เพราะผมเดินตามแสงสว่างเล็กๆในตอนแรกคือpurposeที่อยากประสบความสำเร็จ ผมโชคดีที่มีอาจารย์แนะนำ ป้อนความรู้และโอกาส นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็มีความสุข ครับ

นายสุทธิวัฒน์ อัศวเมนะกุล

Coaching

เรื่อง : การถูก Coaching

เรื่องเมื่อสมัยยังเด็กที่เป็นเด็กชอบไปกับเพื่อนและกลับบ้านดึก มีอยู่วันนึงผมเองไปทำงานกับเพื่อนแล้วก็นั่งเล่นกับเพื่อนต่อที่บ้านเพื่อนซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าครอบครัวจะเป็นห่วง ซึ่งวันนั้นผมก็ได้กลับบ้านเวลาประมาณ ตี 3-4 เมื่อผมกลับมาถึงบ้านปรากฏว่าสิ่งที่เห็นคือ พ่อผมนั่งรอผมอยู่ในบ้าน พ่อไม่ยอมนอน และเมื่อเห็นผมเข้าบ้านพ่อก็ไม่พูดอะไรเลยไม่ดุด่าว่าตี แต่ผมกลับรู้สึกตัวเองว่า ผมทำไม่ถูกต้อง ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นการ Coaching อย่างนึงที่พ่อผมทำให้เรารู้สึก โดยที่ไม่ต้องมานั่งพูดบอกว่าเราทำไม่ถูกอย่างไร

นายสุทธิวัฒน์   อัศวเมนะกุล  Ex.19 sec.4 555740286-8

Coaching

เรื่อง การถูก Coaching

เรื่องเมื่อสมัยยังเด็กที่เป็นเด็กชอบไปกับเพื่อนและกลับบ้านดึก มีอยู่วันนึงผมเองไปทำงานกับเพื่อนแล้วก็นั่งเล่นกับเพื่อนต่อที่บ้านเพื่อนซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าครอบครัวจะเป็นห่วง ซึ่งวันนั้นผมก็ได้กลับบ้านเวลาประมาณ ตี 3-4 เมื่อผมกลับมาถึงบ้านปรากฏว่าสิ่งที่เห็นคือ พ่อผมนั่งรอผมอยู่ในบ้าน พ่อไม่ยอมนอน และเมื่อเห็นผมเข้าบ้านพ่อก็ไม่พูดอะไรเลยไม่ดุด่าว่าตี แต่ผมกลับรู้สึกตัวเองว่า ผมทำไม่ถูกต้อง ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นการ Coaching อย่างนึงที่พ่อผมทำให้เรารู้สึก โดยที่ไม่ต้องมานั่งพูดบอกว่าเราทำไม่ถูกอย่างไร

น.ส.อภิญญา  นาคเหลา 

555740097-1 sec.12

Coaching(แก้ไขงานค่ะ)

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

 

                    คือตอนปี 2 เจอวิชาเรียนที่ยาก พวกแคลคูลัส วิชาสาขาการเงินต่างๆและด้วยเกรดไม่ถึง 2 และยังติดเอฟ อีก 2 ตัว ซึ่งวิชาที่ติดเอฟจะไม่สามารถไปเรียนวิชาต่อเนื่องกับเพื่อนได้ ต้องไปเรียนแก้ก่อน ทำให้เกิดท้อ ร้องไห้ จะลาออกไปเรียนคณะใหม่ เพราะเรียนแล้วไม่เข้าใจ กลัวโดนไล่ออกเพราะเกรดไม่ถึงด้วย จึงได้ไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเรื่องจะขอลาออก อาจารย์เลยบอกให้ใจเย็นๆและอาจารย์ขอดูตารางเรียน และแนะนำว่าอย่าคิดมาก มีเพื่อนที่ประสบปัญหาอย่างนี้เหมือนกัน แต่เขาผ่านมันไปได้แค่เปิดใจและค่อยๆคิดปัญหามันแก้ได้ เราอ่อนจุดไหนก็ให้ขยันอ่านหนังสือ ไม่เข้าใจก็ถามอาจารย์ ให้เพื่อนช่วยติวเรียนเสร็จก็ให้กับไปทบทวน จึงได้นำสิ่งที่อาจารย์แนะนำมาใช้ และสิ่งที่รู้สึกมีกำลังใจคือ พ่อกับแม่ ท่านบอกว่าทำทุกอย่างให้เต็มที่สิ่งที่ผ่านมาแล้วให้ผ่านไปและพ่อได้ให้สัญญาว่าถ้าเกรดถึง 2.00 ขึ้นไปจะดูดบุหรี่ให้น้อยลงกว่าเดิม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้มีแรงผลักดัน ไม่ท้อในการเรียนทำให้จากเกรด 1 กว่าๆขึ้นมา2.28 ได้ วิชาที่ติดเอฟก็สามารถผ่านไปได้

เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                 ตอนอยู่ปี 3 มีโอกาสได้ไปฝึกงานที่เทศบาลที่หนองเรือและที่เทศบาลได้พาไปเที่ยวที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงและพี่ๆให้ดิฉันเป็นตัวแทนไปพูดแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับการมาเที่ยวและการมาฝึกงานที่นี่ โดยตอนนั้นดิฉันทั้งกลัวทั้งสั่นมากแทบจะร้องไห้เพราะเป็นคนกลัวไมค์ไม่เคยไปพูดบนเวทีคนเดียวเลย ซึ่งพี่ที่ดูแลดิฉัน(พี่จุ๋ม กาญจนา) เห็นดิฉันจะร้องไห้จึงคอยให้กำลังใจว่าไม่ต้องกลัว และได้ช่วยคิดสคิปพร้อมทั้งแนะนำว่าอยู่บนเวทีไม่ต้องตื่นเต้นค่อยๆพูด อย่ามัวแต่อ่านสคิปให้พูดเหมือนออกมาจากความรู้สึกของตัวเองต้องคอยมองหน้าท่านผู้ชมที่ดูเราอยู่ค่อยๆหันมองและยืนตรง มันเป็นธรรมดาตอนแรกที่พี่ไปพูดบนเวทีคนเดียวพี่ก็เป็นแบบน้องจ๋า ถ้าเราทำได้ ต่อไปเราจะไม่กลัวอีกเลย ทำให้ดิฉันได้คิดและตั้งสติ ทำสมาธิก่อนขึ้นไปพูด เมื่อขึ้นไปบนเวที ดิฉันสามารถทำได้ เมื่อมองลงมายังท่านนายกเทศบาล และพี่ๆที่เทศบาลกลับส่งรอยยิ้มและเสียงปรบมือมาให้ หลังจากนั้นดิฉันต้องมานำเสนองานกับอาจารย์เกี่ยวกับการฝึกงานทำให้มีความมั่นใจ กล้าแสดงออกมากขึ้น จนทำให้ดิฉันไม่กลัวการจับไมค์และพูดหน้าชั้นเรียนหรือบนเวทีอีกต่อไป

 

                                                                                                                                                  น.ส. ผกาสินี  ลิ้มตระกูล

                                                                                                                                              รหัส 555740053-1 sec.12 Y#14

 

Coaching ( แก้ I ค่ะ )

 

เรื่องที่ 1 :: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

 

    น่าจะเป็นช่วงที่เรียนอยู่ ม.4 จะขึ้น ม.5 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตกต่ำมากเนื่องจากว่าตอนนั้นติดเกมส์และไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ คือเวลาเรียนยังเอาเกมส์มาเล่น ทำให้เกิดความขี้กียจ เวลาจะสอบก็มาอ่านหนังสือช่วงใกล้ๆวันสอบจนทำให้ผลการเรียนตกต่ำจากเกรด 3 กว่า มาเหลือประมาณ 2.5 ทำให้ตัวเองรู้สึกกังวลมากเนื่องจากกลัวที่บ้านจะรู้เรื่องเกรด พอถึงวันที่อาจารย์เชิญผู้ปกครองมารับเกรดและพูดคุยกับผู้ปกครองวันนั้นพอกลับถึงบ้านก็ได้โดนพ่อแม่เรียกไปคุย ตอนแรกเครียดมากเพราะกลัวพ่อกับแม่จะด่า แต่ปรากฏว่าพวกท่านไม่ด่า แต่พูดให้เราได้คิดว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรพูดไปเรื่อยๆจนเรามานั่งคิดและปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่โดยการเปลี่ยนตัวเอง คือ เลิกเล่นเกมส์ และหันมาตั้งใจเรียนมากขึ้น จนเกรดขึ้นในที่สุด

 

เรื่องที่ 2 ::  เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

 

     ช่วง ม.ต้น ได้ไปเข้าแคมป์ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ซึ่งมีอยู่กิจกรรมหนึ่งที่ต้องมีการปั่นจักรยาน เพื่อนทุกคนในกลุ่มสามารถปั่นจักยานได้หมด ยกเว้นข้าพเจ้าคนเดียว เลยไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรม หลังจากกลับจากไปเข้าค่ายจึงเกิดความรู้สึกอยากปั่นจักรยานเป็น จึงได้ลองเอาจักรยานมาฝึกด้วยตัวเอง ซึ่งก็ทำไม่ได้สักที ล้มตลอด จนพี่ในหมู่บ้านเดินมาเห็นจึงได้มาช่วยสอนและแนะนำเทคนิคในการปั่นจักรยาน เช่น ใช้เท้าถีบรถออกไปทั้งซ้าย-ขวา แล้วยกขาขึ้นเหนือพื้น จะทำให้จักรยานพุ่งไปข้างหน้า ซึ่งจะเป็นช่วงที่เราต้องทรงตัว พอเราฝึกทรงตัวได้ก็จะสามารถปั่นจักรยานได้ ข้าพเจ้าจึงได้ลองทำตามเทคนิคที่พี่สอน ฝึกทุกวัน จนในที่สุดก็ขี่ได้

 

 

 

 

 

 

    

 

น.ส.ขวัญลดา ไชยจิตร

555740020-6  sec.12  Y#14

Coaching ( แก้ I ค่ะ )

1.ตอนที่รู้สึกตกต่ำแล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

                สมัยตอนเข้าเรียนปริญญาตรีใหม่ๆดิฉันค่อนข้างจะติดเพื่อน ทำกิจกรรมทุกอย่าง เที่ยวกลางคืน จนทิ้งการเรียน ไปเรียนบ้างไม่ไปบ้าง แล้วแต่ว่าวันไหนตื่นทันไม่ทัน จนผลการเรียนออกมาค่อนข้างแย่จากที่ไม่เคยติดFก็ติด วันที่เกรดออกวันนั้นทำให้ร้องไห้อย่างหนัก กลัวแม่จะรู้ว่าเกรดน้อย กลัวจะเรียนไม่จบ กลัวอะไรมากมาย จนย่ารหัสสังเกตเห็นว่าดิฉันซึมๆไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน ย่ารหัสเลยถามว่าเป็นอารายพี่สังเกตแกมาหลายวันล่ะ ดิฉันเลยเล่าให้ย่ารหัสฟังว่าดฉันกลัวจะเรียนไม่จบ กลัวโดนไทส์ก่อน ดูสิไม่เคยติดFก็ติดทั้งที่เป็นวิชาที่ง่ายๆ แถมเกรดที่ออกมาก็น้อยเหลือเกิน ย่ารหัสเลยบอกว่า ไอ้น้ำ เพราะแกมัวแต่โทษว่าแกทำกิจกรรม แกเที่ยว จนทำให้เกรดแกออกมาไม่ดี ทำไมแกไม่หันมามองล่ะว่าไอ้ที่ทำให้แกไม่ไปเรียนทิ้งการเรียน เป็นเพราะความขี้เกียจในตัวแก คนที่เขาเที่ยว ทำกิจกรรม แต่เขาไม่ทิ้งการเรียนก็มีเยอะ ดูอย่างพี่สิทำกิจกรรมก็ทำทุกอย่าง เที่ยวก็เที่ยว แต่พี่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในเมื่อเรามีหน้าที่เรียน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมาเรียน จะเที่ยวจะทำกิจกรรมทำเลยไม่มีใครว่า แต่ถึงเหนื่อยแค่ไหนเราก็ต้องมาเรียน คนอื่นเขาทำได้ พี่ก็เชื่อว่าแกทำได้ สู้ๆนะน้ำพี่เป็นกำลังใจให้ คำพูดของย่ารหัสในวันนั้นทำให้ดิฉันกลับมามองย้อนดูตัวแล้วว่าผลที่เกิดขึ้นมาเกิดจากตัวเราเอง สิ่งแรกที่ควรจะทำคือเปลี่ยนตัวเราเอง จากวันนั้นการเรียนดิฉันก็ดีขึ้น เกรดก็ไม่ได้มากแต่ก็พอทำให้ดิฉันทั้งเรียนทั้งทำกิจกรรมไปพร้อมๆกันได้อย่างมีความสุข

2.เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                สมัยเรียนปริญญาตรีดิฉันต้องลงวิชาเลือก แต่ด้วยความว่าติดเพื่อนและต้องเรียนรวมกับคณะอื่นๆอีกทั้งยังกลัวว่าจะไม่มีเพื่อนไปเรียนจึงเลือกลงเรียนวิชาดนตรีไทย(ระนาดเอก)ซึ่งตัวดิฉันเองไม่เคยเล่นระนาดมาก่อนเลย คาบแรกที่เรียนอาจารย์ก็ให้หัดอ่านโน๊ตเพลงก่อนคาบแรกยังพอผ่านไปได้แต่พอคาบเรียนที่2 ต้องสอบตีระนาดตามโน๊ตเพลงที่ท่องในคาบแรก สอบอยู่3ครั้งก็ยังไม่ผ่าน จนจะหมดเวลาอาจารย์เลยให้ผ่าน ดิฉันรู้เลยว่าการผ่านครั้งนั้นเพราะอาจารย์เห็นในความพยายามเลยให้ผ่านไม่ใช่เพราะดิฉันตีระนาดถูก เผอิญว่าวิชาที่เรียนมีพี่ที่เรียนเอกนี้มาช่วยสอนซึ่งอายุน่าจะราวๆเดียวกัน  พี่แกคงเห็นว่าดิฉันท่าจะไม่รอด คนลงเรียนวิชาเลือกทุกคนก็หวังจะได้เอ พีแกก็เลยพูดขึ้นมาว่าถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยบอกนะ พอพี่เขาพูดคำนั้นออกมา ดิฉันตอบกลับไปทันทีเลยว่า พี่ช่วยสอนการตีระนาดให้หนูหน่อย ไม่งั้นวิชานี้หนูคงอดได้Aแน่ ๆ พี่แกก็ใจดีช่วยสอน พี่แกจะนัดมาสอนวันที่ห้องระนาดว่าง หลังจากนั้นดิฉันก็เริ่มตีระนาดเป็นจนอาจารย์ที่สอนบอกว่ามีพัฒนาการดีขึ้นมากนับตั้งแต่วันแรกที่เห็น จนทำให้ผลการเรียนวิชานี้หนูออกมาได้Aตามที่คาดหวังไว้

 

 

 

 

ทิพยรัตน์ สวนสุวรรณ 555740006-0 y 14 sec 12

ทิพยรัตน์ สวนสุวรรณ 555740006-0 y 14 sec 12

Coaching

เรื่องที่ 1 เวลาที่รู้สึกตกต่ำ อล้วมีเหตุการณ์มาทำให้ดีขึ้น

เกิดขึ้นตอนเรียนสมัยป.ตรีคะ ตอนนั้นเข้าเรียนปตรี ที่คณะมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาเวียดนาม มีแต่คนมาถามว่าเรียนไปทำไม ทำไมไม่เรียนภาษาเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ฯลฯ ซึ่ง ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกแย่ เพราะเป็นสิ่งที่พ่อแม่บังคับมาเรียน (ใจจริงอยากเรียนการท่องเที่ยวและการ โรงแรมค่ะ เพราะเป็นคนชอบเดินทาง) เราก็เรียนไปเรื่อยๆ แบบไม่ตั้งใจเรียน พอมาวันนึง มีรุ่นน้องเข้ามา เราเลยถามน้องไปว่า ทำไมถึงอยากเรียนภาษาเวียดนาม น้องจึงตอบกับเราว่า เพราะหนูไม่รู้คะ หนูเลยอยากเรียน พี่เคยเรียนมาก่อน สอนหนูได้ไหมค่ะ หลังจากนั้นมาก็มีรุ่นน้องเริ่มมาถามเราเกี่ยวกับ ภาษาเวียดนาม ด้วยความที่เราชอบพูด ชอบสอนเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับรุ่นน้อง เวลาน้องมาถามการบ้าน เราก็อยากตอบ เราจึงตั้งใจเรียนมากขึ้น ศึกษาภาษาเวียดนามให้ลึกซึ้ง เพื่อจะตอบคนอื่นได้อย่างไม่อายใครค่ะ ภาษาที่เราไม่รู้ เราควรเรียนรู้ให้รู้อย่างถ่องแท้ และสามารถนำความรู้นั้น เผยแพร่ไปยังผู้อื่นได้



เรื่องที่ 2 เหตุการณ์ทำให้เราเก่งขึ้น

เกิดขึ้นตอนสมัยปตรีค่ะ ตอนนั้นไปฝึกงานอยู่ที่เวียดนาม และมีเพื่อนชาวเวียดนามเยอะมาก แรกๆ เราก็ยังพูดภาษาเวียดนามได้ไม่ดีนัก เวลาเจอเพื่อน เจอพี่คนไทยก็คุยแต่ภาษาไทย จนเพื่อนคนเวียดนามมาดุเราว่าอยู่เวียดนามทำไมไม่พูดเวียดนาม แล้วจะเก่งภาษาเวียดนามได้อย่างไร เรียนมาสามปียังพูดเวียดนามไม่ชัดเลย เค้าเป็นคนเวียดนามแท้ๆ ไม่เคยเรียนภาษาไทย ไม่เคยไปเมืองไทย ยังพูดไทยได้เลย ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็พูดภาษาไทยน้อยลง หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่พูดเลย คำไหนที่ฉันไม่รู้ ฉันก็ถามจากคนเวียดนามโดยตรง จนฉันฝึกงานครบ 4 เดือน ฉันมีพัฒนาการด้านภาษาเวียดนามดีมาก จนมีบริษัทมาติดต่อให้ไปทำงาน ในประเทศเวียดนามหลังจากเรียนจบ

นางสา่ว นฤมล มิตรเจริญพันธุ์

   น.ส. นฤมล มิตรเจริญพันธุ์

                                                                                                                                 รหัส 555740045-0 sec.12 Y#14

Coaching ( แก้ I ค่ะ )

เรื่องที่ 1 :: เวลาที่รู้สึกตกต่ำ แล้วมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

    น่าจะเป็นช่วงที่เรียนอยู่ ม.4 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตกต่ำมากเนื่องจากคบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งสนิทกันมากตัวติดกันเลย เรากลายเป็นเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนไม่อ่านหนังสือ ทำให้เกิดความขี้กียจ ติดเพื่อนเพื่อนพูดอะไรก็เชื่อตามเพื่อนเวลาจะสอบก็มาอ่านหนังสือช่วงใกล้ๆวันสอบจนทำให้ผลการเรียนตกต่ำจากเกรด 3กว่า มาเหลือประมาณ 2 กว่า ที่บ้านก็รู้สึกว่าเราเปลี่ยนไป ไม่ตั้งใจเรียนเหมือนแต่ก่อนเกรดก็ตกลงมาก จนอาจารย์ท่านหนึ่งชื่ออาจารย์ เจิดชัย ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ ได้บอกเรากับพ่อว่าให้เราเลิกเล่นกับเพื่อนคนนั้น ตอนแรกเราก็โมโหไม่อยากเลิกเล่นด้วยแต่สุดท้ายพอเราเปลี่ยนกลุ่มซึ่งได้เล่นกับเพื่อนที่คบมาจนปัจจุบันนี้ ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นมาก เกรดจาก2กว่าๆก็ขึ้นมาจนได้ 3.75 พ่อดีใจมาก เราเองก็ดีใจที่ทำให้พ่อแม่ดีใจ เรากลายเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนจนถึงปริญญาตรีก็สอบโควตาติด ปริญญาโทก็สอบติด แต่เพื่อนคนนั้นที่เราเลิกคบไป ตอนนี้เรียนไม่จบและท้องก่อนแต่ง จนเรามานั่งคิดและปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่โดยการเปลี่ยนตัวเอง คือ ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อนดูคนออกว่าเป็นอย่างไร คอยบอกคอยสอนคอยเตือนอะไรก็ควรเชื่อเพราะบอกสอนแต่สิ่งที่ดีๆตัวเราเองก็ปรับไปในทางที่ดีขึ้นมากๆไม่งั้นตอนนี้ดิฉันคิดว่าถ้าไม่ปรับเปลี่ยนตัวเองคงจะไม่ได้มานั้งเรียนปริญญาโทอยู่ในขณะนี้

เรื่องที่ 2 ::  เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

     ช่วง มัธยมปลาย ได้มีการเรียนแบทมินตัน ซึ่งเรารู้สึกชอบตีมากแต่อยากตีเก่งๆ แต่เราตามไม่ทันเพื่อนท่าทางเรายังไม่ได้ตีไปไม่แรงเลยไม่ค่อยกล้าตีแบทมินตันกับเพื่อนโดยที่ตัวเองชอบกีฬานี้แท้ๆ จึงได้ไปซ้อมที่สนามแบทมินตันบ้านไผ่ มีรุ่นพี่ที่ตีแบทมินตันเก่งๆชื่อ พี่เปรม ได้สอนตีแบทสอนทุกอย่างค่อยๆสอนจนเรามีทักษะ ดิฉันจึงได้ลองทำตามเทคนิคที่พี่สอน ฝึกทุกวัน จนในที่สุดก็ตีได้ เรามั่นใจตีแบทมินตันอย่างถูกต้องสนุกกับการตีแบทมินตัน กล้าร่วมตีแบทมินตันกับเพื่อนๆสอบวิชาแบทมินตันก็ได้เกรด4 จนตอนถึงตอนนี้ดิฉันก็ยังตีแบทมินตันอยู่ ต้องขอขอบคุณพี่เปรมมากๆที่ทำให้ตีแบทได้และเก่งขึ้น

 

 

Business  Creativity   (  แก้ไขงาน)

นายธิติ ปราบ ณ ศักดิ์ 555740171-5 ex19 sec4

Positive Organization Development

“ Coaching ”

เรื่องที่ 1 : เวลาที่รู้สึกตกต่ำ และมีเหตุการณ์ที่ทำให้ดีขึ้น

                เวลาผมตกต่ำหรือรู้สึกตัวเองด้อยค่า จะกลับบ้านครับ เพราะไม่ว่าเราจะผิดพลาดในสายตาคนอื่นมากเท่าไหร่ หรือ อ่อนใจกับอะไรไม่เป็นใจ เพียงแต่กลับมาหาครอบครัว การกระทำบางอย่างของเราก็เป็นฮีโร่ในสายตาภรรยาและลูก เช่น

ในสายตาลูก:วาดรูปช้างสวยที่สุดในบ้าน  พับจรวดร่อนได้ไกลมากๆ

ในสายตาภรรยา:สามารถเปิดขวดที่ฝาปิดแน่นๆได้ทุกขวด หยิบของที่อยู่สูงๆได้   

อาจไม่ใช่เหตุการ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่แค่นี้ก็พอแล้วครับ ที่จะทำให้ดีขึ้น

               

เรื่องที่ 2 : เหตุการณ์ที่ทำให้เราเก่งขึ้น

                เจ้านายเป็นคนที่เก่งมากมีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยมาร่วม25ปี ขณะที่ผมเป็นเด็กจบใหม่เพียงสองเดือน ท่านมีวิธีสอนที่ทำให้ผมเป็นงานเร็วมากคือ โยนงานยากๆให้โดยที่คอยแนะแนวให้ไปพร้อมๆกัน

งานแรกที่ประทับใจ คือ อาจารย์ให้ร่วมทีมรักษาคนไข้ VIP ร่วมกับอาจารย์เลยซึ่งขณะนั้นคือ คุณมนตรี พงษ์พานิช(ขณะมีชีวิตอยู่) แต่อาจารย์ให้ทำการบ้านมาอย่างดีและแสดงศักยภาพให้ออกมาให้ได้มากที่สุดซึ่งครั้งนั้น ผลตอบรับค่อนข้างดี อาจารย์บอกว่าการที่ให้อยู่ร่วมทีมVIPตั้งแต่ยังไม่มีประสบการณ์จะทำให้เราคิดและตัดสินใจอะไรอย่างระมัดระวัง ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะให้งานง่ายๆกับเด็กๆ ทำให้ไม่ท้าทายและเด็กๆจะกลายเป็นคนเช้าชามเย็นชาม

เดือนต่อมา อาจารย์ให้ผมไปบรรยายแทนที่ ม.แม่ฟ้าหลวง ในหัวข้อที่เราถนัด ผมก็เครียดอรกเช่นเคยเมื่อบรรยายเสร็จ พี่พยาบาลและแพทย์ที่มาฟังได้มีการถามคำถามมากมายแต่เราสามารถตอบได้เพราะเป็นสิ่งที่อาจารย์พูดให้ฟังทุกวัน จนแพทย์ท่านหนึ่งถามว่า อาจารย์ทำงานมากี่ปีแล้ว ผมตอบไปว่าสองเดือนครับ

                สิ่งนี้เองทำให้ผมพบว่าการที่เราต้องเขย่งตลอดเวลา หรือได้รับผิดชอบงานที่ยิ่งใหญ่ และเราตั้งใจกับมันมันจะมีอะไรบางอย่างทำให้เราเก่งขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องได้รับโอกาสด้วย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท