การพัฒนาขีดความสามารถของบุคคลจะต้องเริ่มตั้งแต่จบการศึกษาใหม่ๆมีการปฏิบัติงานทางคลินิคพร้อมกับการศึกษาด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของวิชาชีพดีขึ้น และมีประโยชน์ต่อสังคมในการปฏิบัติการพยาบาลไม่ว่าจะเป็นพยาบาลระดับไหนสิ่งที่ต้องตระหนักคือเมื่อเข้าสู่วิชาชีพแล้ว การปฏิบัติงานต้องมีแบบลักษณะของวิชาชีพไม่ใช่อาชีพ วึ่งลักษณะวิชาชีพมีลักษณะดังนี้
1. มีความร่วมมือกัน กับบุคลากรจากศาสตร์หลายสาขาหรือรูปแบบสหวิทยาการ เนื่องจากปัญหาสุขภาพมีความวับซ้อนมากขึ้น และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆมากขึ้นดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนั้นยังมีผู้เชี่ยวชายเกิดขึ้นหลายสาขา บุคลากรจากทุกสาขาจึงต้องร่วมมือกันโดยใช้วิชาชีพของตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้รับบริการ
2. พยาบาลต้องรับผิดชอบในการตัดสินใจและผลที่ตามมา
3. การปฏิบัติต้องอาศัยพื้นฐานของความรู้ ทฤษฏีการค้นคว้าของศาสตร์ที่เฉพาะคือศาสตร์ทางการพยาบาลและใช้ความรู้จากศาสตร์สาขาอื่น เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติภายในขอบเขตความรับผิดชอบของวิชาชีพการพยาบาลนั้นคือการปฏิบัติเยี่ยงนักวิชาการ
4. มีเอกสิทธิ์ในวิชาชีพ คือมีอิสระในการปฏิบัติการพยาบาลที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของวิชาชีพ และการที่จะมีเอกสิทธิในวิชาชีพได้นั้นจำเป็นจะต้องเข้าใจอย่างแจ่มชัดในขอบเขตของวิชาชีพการมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้รับบริการจะช่วยให้พยาบาลเกิดความภาคภูมิใจ และมองเห็นคุณค่าของตนเองและพึงพอใจในงานที่ทำงานวิจัยต่างๆพบว่าความรู้สึกอิสระในการปฏิบัติการพยาบาลเป็นปัจจัยที่สำคัยที่สุดที่จะดึงพยาบาลที่มีคุณภาพไว้ในวิชาชีพ
5. เข้าใจปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อหาทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและประเทศชาติ และพยาบาลจะได้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายการสาธารสุขของประเทศ
6. มีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองในฐานะวิชาชีพคอยประเมินตนเองและรับฟังการประเมินตนเองและรับฟังการประเมินจากผู้ร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพื่อคงไว้วึ่งการปฏิบัติการพยาบาลให้ทันกับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ
แนวคิดของการปฏโบติการพยาบาลในลักษณะดังกล่าวเป็นความมุ่งมั่นที่จะคงไว้ซึ่งคุณภาพของการพยาบาล พยาบาลต้องการรับผิดชอบในวิชาชีพและเชื่อมั่นว่าการพยาบาลมี่วนที่จะส่งเสริมสุขภาพ สวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในโรงพยาบาล ในครอบครัว และในชุมชน