หลายวันนี้ดูหนังเรื่อง I AM ไปหลายรอบ หนังเรื่องนี้ไม่น่าจะมีใครนำมาฉายเมืองไทย ผมเองไปเจอในข่าว และที่สุดตามมาเจอในร้านวิดีโอ ยืนดู ช่างใจว่าจะซื้อหรือไม่มาหลายเพลา
ที่สุดก็ตัดสินใจซื้อมาดู ไม่ผิดหวัง หนังเป็นเรื่องราวของผู้กำกับหนังฮอลลีวู๊ด ชื่อดัง ที่หนังเคยได้รับรางวัลออสก้าร์ประเภทหนังตลก มาหลายเรื่องติดๆ กัน เช่นเรื่อง Nutty Professor หรือเรื่อง Bruce Almighty โดยมีดาราคู่บุญคือจิม แครี่ย์... เรื่องนี้ออกมาแนวการค้นหาตัวเอง เริ่มต้นด้วยเรื่องผู้กำกับท่านนี้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง เมื่อออกจากโรงพยาบาล กลับเจอปัญหาว่าประสามสัมผัสไวมากจนผิดปรกติด เช่นเจอหูแว่ว แสงจ้า เกิดภาวะที่ทรมานใจมาตลอด และโรคนี้ใครเป็นแล้ว หลายคนเลือกจะฆ่าตัวตาย คนนี้ก็เช่นกันคิดฆ่าตัวตาย ปลงใจเรียบร้อย แต่ฉุกคิดเรื่องหนึ่งคือเขาคิดว่าก่อนตาย น่าจะทิ้งมรดกอะไรให้โลกนี้หน่อย
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากเตียง พาช่างกล้องสี่คนไปตะเวนถามนักคิดในวงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน นักจิตวิทยา นักคิดระดับโลกทั้งตะวันออกตะวันตก โดยตั้งคำถามว่าปัญหาของโลกคืออะไรและทางออกอยู่ตรงไหน... ได้เรื่อง มีเรื่องราวดีๆ มากๆ จากนักคิดนักปรัชญาร่วมสมัยของเรา
ที่ผมชอบมากๆ คือตอนที่มีการเล่าถึงชาร์ล ดาร์วิน ผู้คิดทฤษฎีวิวัฒนาการ ที่ตามบันทึกพูดถึงการแข่งขันเอาตัวรอด เพื่อดำรงเผ่าพันธ์ต่อไปเพียงสองสามครั้ง แต่อ้างถึงการที่มนุษย์ที่เกิดมาเพื่อปกป้องดูแลคนอื่นกว่า 90 ครั้ง... น่าคิดมากๆ ว่าจริงๆ แล้วมนุษย์เกิดมาเพื่อรัก และดูแลคนอื่น ไม่ใช่เพื่อการแข่งขันแย่งชิง การสะสมทรัพยากรจริงๆ แล้วกลายเป็นการป่วยไข้ทางจิตของมนุษย์ เพราะผิดวิสัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
จากนั้นไม่ว่าจะถามใครที่เป็นปราชญ์ของโลก
ทบทวนความรู้ด้านชีววิทยา วิวัฒนาการ ที่สุดแล้วสามารถสรุปได้ว่าปัญหาของโลกมาจากการที่คนจำนวนมาก
ไม่รู้จักพอ การศึกษา สังคมที่กำหนดให้คนต้องแข่งขัน ชิงความเป็นหนึ่ง
กลายเป็นสังคมป่วยไป... ทางออก อยู่ที่ “การให้” ซึ่งจริงๆ
คือธรรมชาติที่แท้จริงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั่นเอง.. ถามว่ายากไหม.. ทำไงจะเปลี่ยนแปลงสังคม...
ที่สุดมีการสัมภาษณ์องค์ดาไลลามะ
ที่ท่านเองพูดว่า.. “สามารถเริ่มได้ด้วยการเปลี่ยนแค่วิธีคิด..
การกระทำจะตามมาเอง”
ซึ่งก็มีการทบทวนประวัติศาสตร์ หนังก็เผยให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ
เริ่มต้นจากการคิดของคนเล็กๆ ที่ดูไม่มีอำนาจ ทรัพยากรใดๆ
แต่ที่สุดก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้...
มีการยกสนุทรพจน์จองประธานาธิบดีโอบาม่า ที่ว่า “..
นี่คือความสำเร็จของคนคนหนึ่งที่ เมื่อ 40
ปีที่แล้ว พ่อเขาถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปในร้านของคนขาว”
เอาเป็นว่าถ้าท่านเกิดเร็วกว่านี้ไม่ได้เป็นประธานธิบดีแน่ๆ ...
การยุติการแบ่งแยกสีผิวในอเมริกาก็เริ่มจากคนกลุ่มเล็กๆ คือท่านมาติน ลูเธอร์
คิงส์ บาทหลวงชาวผิวดำ..
หนังเรื่องนี้สรุปลงด้วยการที่ค้นพบตนเองของผู้กำกับ ที่รวยมากมีบ้านเป็นคฤหาสถ์ ไปไหนมาไหนด้วยเครื่องบินเจ๊ท... ก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้มีความสุขนัก เลยขายบ้าน ขายเครื่องบิน ย้ายบ้านไปอยู่บ้านชั้นเดียวในถิ่นคนชั้นกลางชานเมือง แล้วขี่จักรยานไปทำงาน จากนั้นก็สมัครไปเป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัยชุมชนเล็กๆ เพื่อเล่าเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นที่เขาได้ไปรู้มาให้นักศึกษาฟัง..
หนังเรื่องนี้ดูแล้วสุดยอดมาก ผมถึงกับเอามาสอน เพราะสำหรับคนทำงานด้านพัฒนาองค์กรเชิงบวก จิตตปัญญาศึกษา Positive Psychology และ Appreciative Inquiry นั้น ดีมากๆ เพราะเนื้อหาในเรื่องก็คือทฤษฎีพื้นฐานนั่นเอง.. ที่ทำให้เราเข้าใจอะไรดีๆ มากขึ้น
เราจะเห็นจริงๆ สัมผัสได้จริงว่าเรามีพลังเปลี่ยนโลกได้
ผมว่าหนังเรื่องนี้คนในสังคมไทยทุกคนควรได้ดูครับ จะได้คิดอะไรอีกมาๆ
วันนี้เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ
Reference:
Picture 1: http://www.bbfc.co.uk/releases/i-am-2013
น่้าดูครับท่าน
ขอบคุณครับที่แนะนำ
ขอเชิญผู้สนใจบทความของ Thailand Appreciative Inquiry Network (AI Thailand) โดย อ.ภิญโญ แวะเข้าไปที่http://www.aithailand.org/ เพื่อดูบทความอื่นๆที่น่าสนใจนะค่ะ และขอเชิญแวะไปที www.ailearningcircle.com ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารอีกทางหนึ่งของ AI Thailand ค่ะ คลิกที่ไอคอนของ ailearningcircle ได้เลยค่ะ