ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งในสายตาของบุคคลทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นคณะสงฆ์ หรือข้าราชการ ก็ล้วนแต่กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อเยาวชนของชาติ ควรได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีมากขึ้น แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
สภาพความเป็นจริงของศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ในรอบ ๑ ทศวรรษกว่า ๆ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ สามารถพูดได้เต็มปากในฐานะผู้ปฏิบัติงานว่า คณะสงฆ์ก็ดี หรือส่วนข้าราชการก็ดี ดีแต่พูดกัน จะเห็นชัดได้จากที่คณะกรรมการบริหารสำนักงาน ฯ ได้ประชุมนักวิชาการยกร่างระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.............. นำเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดพิจารณารับรองและประกาศให้เป็นงานของคณะสงฆ์ต่อไป
แต่ก็ถูกตีกลับคืนมาด้วยคำว่า “รับทราบ” แต่ไม่รับรอง จึงถือว่าทางคณะสงฆ์โดยมหาเถรสมาคมยังไม่รับรองศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เป็นงานของคณะสงฆ์อย่างสมบูรณ์
ส่วนทางราชการ คือ กรมการศาสนา ซึ่งเป็นผู้จัดสรรเงินอุดหนุนในการบริหารงานด้านต่างๆ ก็พิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนให้ศูนย์วัดต่างๆ น้อยมาก ประกอบกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบมีจำนวนเพียง ๒-๓ คนเท่านั้น การที่กรมศาสนาประกาศตั้งสำนักบริหารฯ ก็เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้จัดการบริหารกันเอง แต่งบประมาณที่จัดสรรอุดหนุนมาน้อยลงทุกปีๆ จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ นี้ ไม่มีงบประมาณให้สำนักงานบริหาร ฯ ได้จัดกิจกรรมต่างๆ เช่น เรื่องพัฒนาหนังสือแบบเรียน หนังสือคู่มือครู พัฒนาบุคลากรในศูนย์ทั่วไป และสื่อต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ที่จะนำไปอบรมเยาวชนอีกต่อไปเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้สำนักงานบริหาร ฯ ซึ่งกรมศาสนาได้ประกาศตั้งมาเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ นับรวบปัจจุบันเป็น ๑๔ ปีจะอยู่ได้อย่างไร ต่อไปก็คงจะต้องย้อนยุคถอยหลังไป ๒๐ กว่าปี คือ ต่างคน ต่างทำ ไม่ต้องอาศัยกรมการศาสนาหรือคณะสงฆ์อีกต่อไป
จากอดีตที่ผ่านมาได้ชี้ชัดแล้วว่า ราชการก็ดี คณะสงฆ์ก็ดี ไม่สนับสนุนส่งเสริมการศึกษาของศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์อย่างแท้จริง แล้วอย่างนี้งานพัฒนาเยาวชนของชาติจะดีได้และเจริญก้าวหน้าต่อไปได้อย่างไร
ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ในประเทศไทย ถ้าจะว่ากันแล้วมีโอกาสดีกว่าประเทศศรีลังกา เพราะมีสถานที่ หลักสูตร การเรียนการสอน อุปกรณ์ดีกว่า แต่เท่าที่ไม่เจริญหรือไม่เป็นที่นิยมของผู้ปกครองและนักเรียนเท่าที่ ควรเพราะ
๑. ปัจจุบันนี้ มีสิ่งที่จูงใจให้เยาวชนห่างเหินจากวัดหลายประการด้วยกัน เช่น ศูนย์การค้า สถานเริงรมย์ต่างๆ รายการโทรทัศน์ ซึ่งมีตลอดทั้งวัน
๒. บิดามารดาตามใจบุตรธิดา ปล่อยให้เที่ยวเตร่ตามชอบใจ พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลปล่อยให้เล่นเกมส์ต่างๆ เช่น เล่นเกมในอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
๓. บิดามารดาไม่สนใจในพระพุทธศาสนา ไม่เคยพาบุตรธิดาไปอบรมศีลธรรมที่วัด ตัวเป็นผู้บิดามารดาเอง ก็ไม่เคยเข้าวัด ฟังเทศน์ ฟังธรรม เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี
๔. ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนทั่วไปต้องมาหากินมากขึ้นจนไม่มีเวลาในการนำบุตรธิดาเข้าวัด
๕. สิ่งที่เป็นอบายมุขมอมเมาเยาวชน เช่น เหล้า บุหรี่ ยาเสพติดต่างๆ มีมากจนเยาวชนงอมแงม อยากที่รัฐบาลจะปราบได้
๖. งบประมาณการสนับสนุนจากภาคทางรัฐ ไม่พียงพอต่อการดำเนินงานการเรียนการสอนต่อไป
๗. การเรียนในระบบของโรงเรียนปกติ (ภาคบังคับ) ซึ่งมีกิจกรรม และการเรียนพิเศษ ต้องแข่งขันกันมากขึ้นทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และต้องไปเรียนพิเศษ กวดวิชา เพื่อสอบเข้าเรียนต่อในชั้นสูงขึ้นไป
๘. หลักสูตรการเรียนการสอน ของศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ไม่จูงใจ ไม่เร้าใจ ไม่ค่อยแน่นอน แล้วแต่ศูนย์ ฯ นั้นๆ จะเอาอะไรมาสอน สอนเอง สอบเอง ออกประกาศนียบัตรเอง
ข้อแก้ไขที่ทำให้ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาพอดำเนินการให้ไปได้ด้วยดี คือ
๑. บิดามารดา ต้องปลูกฝังให้บุตรธิดาไปวัด โดยบิดามารดาพาไปเอง และควรชักชวนให้บุตรธิดาได้เข้าเรียนในศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์
๒. บิดามารดา ครู ต้องหมั่นอบรมบุตรธิดาหรือนักเรียนของตนให้เห็นโทษของอบายมุข การเที่ยวเตร่สถานเริงรมย์ การเล่นเกมส์ต่างๆ ตลอดจนยาเสพติดทุกชนิด และบิดามารดา ครูอาจารย์ ต้องทำตัวอย่างที่ดีให้เด็กเห็นด้วย
๓. รัฐบาล ต้องสร้างหลักสูตรศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วประเทศ และพิมพ์แจกให้ทั่วถึง รวมถึงการวัดและประเมินผลให้เป็นไปตามหลักสูตรนั้น
๔. รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการของศูนย์ให้เพียงพอ หรือให้สามารถดำเนินการได้ตามสมควร
๕. การยกย่องเชิดชูเยาวชน ผู้ศึกษาและจบการศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์โดยวิธีใดวิธีหนึ่งให้มีเกียรติปรากฏในสังคม
ที่มา :-
พระเทพรัตนโมลี (เจ้าอาวาสวัดอนงคาราม และผู้อำนวยการ). หนังสือที่ระลึก ๔๙ ปี งานมอบประกาศนียบัตร พร้อมทุนการศึกษา ประจำปี ๒๕๕๖. วัดอนงคาราม กทม.
สาธุๆๆ
ได้ปัญหาและอุปสรรคครับเลยครับ