วัฒนธรรมการเรียนรู้ : เมื่อสิ่งของอันเป็นที่รักของเราถูกขโมยไป


มันเป็นช่วงจังหวะที่สิ่งของจะหายไป

           เมื่อสิ่งของอันเป็นที่รักของเราถูกขโมย...ช่วงที่ผมบวชเป็นสามเณรน้อย ๆ พักอยู่วัดสว่างอารมณ์  อ. ท่าอุเทน จ. นครพนม นั้นในเช้าวันหนึ่งมีชายพเนจรมาขออาศัยกินข้าวกันบาตรกับผม...ด้วยความสงสารเห็นว่าเดินทางมาจากกรุงเทพฯ  ผมเลยช่วยเหลื่อทั้งจัดสบู่ยาสีฟันให้เป็นทาน...

            แล้วผมก็ไปเรียนหนังสือ...โดยที่ชายคนนั้น...ขอพักอยู่ที่หน้าห้องผม...เพียงแค่ 2 ชั่วโมงเศษ  ผมก็กลับมา...และไม่เห็นชายผู้นั้นเสียแล้ว...ตรวจสอบสิ่งของมีกระปุกออมสิน...ที่ตนเองอุตส่าห์เก็บไว้เพื่อเป็นทุนเรียนต่อมีเงินอยู่ในนั้นหลายร้อยบาท  มันหายไปพร้อมกับชายคนนั้น...

           ช่วงที่ผมบวชเป็นพระสงฆ์พักอยู่ที่วัดบางเสาธง  เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ  มีเด็กชายวัยรุ่นติดยา...มาขอกินข้าวก้นบาตรที่กุฏิผมอยู่...ในเช้าวันหนึ่ง...ผมเมตตาให้กินข้าว...และผมต้องไปลงทำวัตรสวดมนต์ที่อุโบสถ...พอกลับขึ้นกุฏิ...กระปุกออมสินอีกเช่นกันมันหายไป...และตามไปเจอซากถูกทุบกับกำแพงวัดนั้นเอง...

            ช่วงที่ผมเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ มอ. ปน.  เมื่อ 3 ปีที่แล้ว  วันนั้นเป็นวันเสาร์ปกติผมจะกลับบ้านที่นครศรี ฯช่วงวันหยุด...แต่วันนั้นขณะอยู่ในห้องทำงานด้านวิจัย...มีเสียงคนเดินมาหยุดที่ข้างนอกหน้าห้องแล้วจับหมุนลูกบิดตรงที่ล๊อกกุญแจ...เสียงดังก็อกแก็ก ๆ 

                 ผมลุกขึ้นจากที่นั่ง...ย่องไปส่องดูที่ตาแมวเป็นรูกระจกเล็ก ๆที่ประตู...เห็นชายหนุ่มใส่เสื้อสีขาวแขนสั้น...กำลังเลือกอะไร...( รองเท้าหนังชั้นดีที่ผมใส่ไปทำงานประจำ )...แล้วถือลงไป...หายไป...

                   ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นรองเท้า...ประมาณ 15 นาทีผมเอ๊ะใจเลยเปิดประตูมาตรวจดูจึงรู้แน่ว่ามันมาขโมยรองเท้า...

                   จาก  3 กรณีดังกล่าว  กรณีแรกผมได้ข้อคิดว่า   เพราะความไว้ใจภัยจึงตามมา...ดังนั้น   อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคนจนเกินไป...

                      กรณีที่สองผมได้คติว่า...บางครั้งเราเอ็นดูเขาเอ็นเราขาด...เพราะมีคนประเภทกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา...และกรณีหลังผมลงมาบอกคนงานที่มาพักอยู่กับ อ. ที่อยู่ห้องใกล้ ๆกันได้ทราบ...คือไม่ยอมให้ใครมาลูบคม...

                    เพราะห้องนี้มีคนนอกเข้ามาอยู่มาเล่น...คนงานถามลักษณะหัวขโมย...แล้วเขาสงสัยว่าน่าจะเป็นคนที่เขารู้จัก...เพราะเขาเห็นมันมาและมีลักษณะตรงอย่างที่ผมบอก...

                       เขาจึงตามไปถึงบ้านของขโมยคนนั้น...รุ่งขึ้น  รองเท้าคู่นั้นกลับมาอยู่ที่เดิมครับ...ฮา ๆ เอิก ๆสำหรับอุทาหรณ์สอนใจก็คือ

อย่าเชื่อคนง่ายครับ...
หมายเลขบันทึก: 53764เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2006 06:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ตั้งสมมติฐานว่า อาจารย์คงถอดรองเท้าไว้หน้าห้อง และขัดถูรองเท้ามันเรียบน่าใส่ จนคนอื่นอดใจไม่ได้ขอเอาไปใส่(ฟรี)มั่ง

ที่แฟลตก็มีขโมยขึ้นพักใหญ่ๆค่ะ จนเขียนบันทึก ไว้ เรื่อง กรงขังค่ะ

คนขโมย  คิดว่าอาจารย์เป็นคนใจดี  เลยขอแบ่งปันไปบ้างนะค่ะ

สวัสดีครับ  คุณจันทรรัตน์

            ขอบคุณครับที่คุณตั้งสมมุติฐานอย่างนั้น...ผมอ่านไปก็ขำไปด้วยครับ...ตามที่จริงเราน่าจะดีใจว่า...สิ่งที่เราชอบก็ยังมีคนอื่นมาชอบเหมือนเราด้วย...ฮา ๆ เอิก ๆ...

              ที่ผมเล่าเรื่องนี้...เป็นช่วงที่ผมอยู่แฟลตชั้น 4  ชึ่งเป็นชั้นสุดท้ายเพื่อน...พอสอบถามเพื่อน อ. ด้วยกันทุกท่านล้วนเก็บรองเท้าไว้ในห้องทั้งนั้นเลยครับ...

              ผมไม่ดูตาม้าตาเรือเอง...คือไม่ดูตัวอย่างของผู้ที่อยู่ก่อนว่าเขามีธรรมเนียมอย่างไร...ฮา ๆ เอิก ๆ

ขอบคุณครับ

จาก...umi

สวัสดีครับ  คุณกัลปังหา

           ผมไม่แน่ใจว่าคนขโมยจะเดาใจผมถูกขนาดนั้น...ฮา ๆ เอิก ๆ...

            อยากได้สิ่งใดควรขอเอา...และสิ่ใดที่เราควรให้ได้ก็ให้ไปเลยครับ...ไม่ใช่มาขโมยเอาไปอย่างนี้...

             แต่ส่วนมากพวกหัวขโมยมักเป็นผู้ร้ายปากแข็ง...คือ  เราถามว่า...ลักของไปหรือเปล่า...ตอบ...เปล่าทันทีเลย...ไม่ยอมรับความจริง...ฮา ๆ เอิก ๆ.

ขอบคุณครับ

จาก...umi

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท