ในการไป รพ.แต่ละครั้งที่ผ่านมา บางครั้งก็มีภรรยาไปเป็นเพื่อน บางครั้งก็ไปคนเดียว และด้วยที่การไปเป็นประจำทุกๆเดือน จึงทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับเพื่อนคนไข้บางคนที่จำกันได้และถูกนัดในรอบเดียวกัน ก้จะถามไถ่สาระทุกข์สุขดิบ
...บางคนก็ดูดีขึ้น
...บางคนที่เคยเดินมาก็เปลี่ยนเป็นนั่งรถเข็นมา
...บางคนที่นั่งรถเข็นมาเป็นประจำก็ห่างหายไป
ด้วยสาเหตุใดผู้เขียนไม่อยากจะคิดต่อ เพราะมันคือกฎธรรมชาติที่ทุกคนจะต้องเจอะเจอ
...........................
การมาตั้งแต่เช้าและต้องรอคิวทำคูปองบัตรประกันสังคม รอเรียกชื่อเพื่อชั่งน้ำหนักและวัดความดัน เป้นเรื่องปกติที่ทำใจได้สำหรับผู้เขียนและคงอีกหลายๆคนที่มาบ่อยๆ
คนไข้หรือญาติคนไข้บางรายที่คงเพิ่งมาใหม่ๆ จะรู้สึกเบื่อกับการรอเรียกชื่อ กังวลใจว่าเมื่อไหร่จะเรียกเสียที จนต้องเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่บ่อยครั้ง จนเจ้าหน้าที่ต้องประกาศให้รอเรียกชื่อตามคิว
ผู้เขียนจะใช้วิธีอ่านหนังสือที่เตรียมไปเองหรือนำมาจากชั้นวางตรงที่นั่งนั้น นั่นเป็นวิธีที่ทำให้เวลาหมุนไปโดยที่เราไม่ต้องไปกังวลกับมันว่ามันจะช้าหรือเร็ว เพราะมันก็หมุนของมันด้วยความซี่อตรงเสมอ
บางครั้งก็มีเหตุการณ์ให้ต้องวางหนังสือลงเพื่อดูเรื่องราวผู้คนที่อยู่รอบๆข้าง
"เตะเก้าอี้ทำไม รำคาญ" ลุงสุงอายุคนหนึ่งที่นั้งเยื้องไปข้างหน้าซ้ายมือ ลุกขึ้นเคาะไม้เท้ากับพื้นเสียงดัง ปั้ง พร้อมหันไปมองเด็้กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้แก
"ไม่เอาน่า นั่งลงเถอะ" ป้าที่น่าจะเป็นคู่ชีวิตพยายามฉุดให้นั่ง
"ก็มันใช้เท้าเตะเก้าอี้ทำไม รำคาญ" ลุงยังไม่หยุดบ่นขณะนั่งลง และหันมามองเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาขวางๆ ขณะที่เเด้กหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบโต้
ผู้เขียนเข้าใจความรู้สึกว่าลุงเป็นคนป่วย ไม่สบาย ระหว่างรอเรียกชื่อก็อาจจะหงุดหงิดได้ง่าย และเด็กหนุ่มที่นั่งข้างหลังไม่โต้ตอบเพราะคงจะเข้าใจและเห็นใจเช่นกัน เพราะเด็กหนุ้มก้คงจะมีญาติที่ป่วยเช่นเดียวกับหลายๆคนในที่นี้
มีคนที่นั่งข้างหน้าผู้เขียนถูกเรียกชื่อเก้าอี้จึงว่างลง ลุงคนที่ถือไม้เท้าพยายามลุกขึ้นเปลี่ยนที่มานั่งแทน ผุ้เขียนจึงหดขาเข้ามาใต้เก้าอี้ที่นั่งอยู่ จัดหนังสือและเอกสารให้เรียบร้อยด้วยกลัวว่าจะพลาดไปโดนลุงที่นั่งอยู่ข้างหน้า
....................
เกือบเที่ยงแล้วเสียงพยายาบาลเรียกชื่อผู้ป่วยผ่านไปอีกรอบ ไม่มีชื่อผู้เขียน จึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปซื้อน้ำดื่ม และเข้าห้องน้ำบ้าง
ขณะที่เดินผ่านหน้าลิฟท์ก็เจอยายกับตาคู่เดิมที่ทุกคนรู้จักมักคุ้น กำลังเปลี่ยนรถเข็นนั่งคนใหม่ แต่ด้วยวัยขนาดนั้นจึงยากต่อการขยับเปลี่ยน ผู้เขียนกับใครอีกคนจึงช่วยกันพยุงตาขึ้นและประคองให้นั่งลงบนรถคันใหม่ ยายบอกขอบคุณแล้วเดินกระเผลกๆเข็นตาไปที่เคาน์เตอร็พยาบาล
ยายกับตาน่าจะอายุราวๆเจ็ดสิบถึงแปดสิบ เห็นมารพ.เป็นประจำทุกเดือน โดยยายจะเป็นคนเข็น ยายขาไม่ค่อยดีจึงเดินกระเผลก แต่ท่าทางแข่งแรง เข็นตาไปได้อย่างสบาย หลายคนที่เห็นภาพนั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
"น่าเวทนาแท้ ไม่รู้ลูกหลานไปไหน"
สำหรับผู้เขียนคิดว่าลูกหลานตายายอาจจะไม่มีก็ได้ หรือมี อาจจะติดงานยุ่งจนไม่มีเวลามาดูแล หรืออาจจะเห็นว่าทั้งตาและยายต่างช่วยเหลือตัวเองได้ดีอยู่
ผู้เขียนไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านี้ แต่เห็นภาพตายายคู่นั้นเม่ือคราวก่อน เคยบอกทีเล่นทีจริงกับภรรยาว่า
" หากเราอายุยืนขนาดนั้น เราสองคนไม่รู้ใครจะเข็นใครนะ "
.....................
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาถึงตรงนี้
พ.แจ่มจำรัส
4 พฤษภาคม 2556
ขอบคุณเพลงประกอบจาก YouTube
แก่ลงต่างก็ช่วยดูแลกันและกัน นะคะ
วัสดีครับ
-ตามมาให้กำลังใจครับ
-ชวนแม่อุ้ยไข จอมดวง ปีนี้อายุครบ102 ปี มาให้กำลังใจด้วยครับ
แหม วางแผนอนาคตไกลเลย
ขอให้เดินคู่กันก็แล้วกันไม่ต้องเข็น
คิดเหมือนกันเลย