ย้อนอดีต อ.ไพบูลย์..เล่าให้ฟังหนังเรื่องอวตาร


เรารู้จักธรรมชาติดีแค่ไหน ? รู้เท่ากับชาวดาวแพนเดอร่าไหม ? แล้วเราเลือกที่จะทำลาย หรือเลือกที่จะรักษาธรรมชาติไว้ ?















                                                                 "ผมว่ามนุษย์มีหางนี่แปลกนะ

                                               ที่แปลกกว่านั้นมันเสียบปลั๊กกับต้นไม้ได้มันเหมือนมีเส้นประสาทอยู่"

                                                                                                                          อ.ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม

                                                                                                                                4 กพ. 2553

                                                      (เป็นคำพูดของอาจารย์ เมื่อการประชุมคณะกรรมการสภาองค์กรชุมชน ที่พอช.)




         ผมกำลังนึกย้อนอดีตไปนานพอสมควร และสมัยที่ตัวเองเขียนงานที่ Blog prachatai งานเขียนหนึ่งของผมก็คือ เรื่องที่ผมได้ยินมาในอดีต เมื่อ วันที่ 4 กพ. 2553 อ.ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ได้เข้าร่วมประชุมที่ พอช. ในฐานะประธานคณะทำงานอนุฯกรรมการสภาองค์กรชุมชน ผมเองก็ได้เข้าประชุมกับท่านในครั้งนั้นผมเองยังไม่รู้จักใครเลย เพียงแต่รู้ว่าอาจารย์มาเป็นประธานที่ประชุมวันนี้ ผมเห็นท่าน ท่านร่าเริงแจ่มใสยังโอบอ้อมอารีอยู่เสมอ และยังยิ้มแย้มและไม่มีทีท่าของการเจ็บป่วยให้เห็นแม้แต่น้อย ในระหว่างรอประชุมนั้นอาจารย์ได้เล่าให้ฟังเรื่องต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องสมัยท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือเรื่องอื่นๆ แต่ที่ผมมาสะดุดนั้นไม่ใช่เรื่องอะไร  แต่เป็นเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟังว่า "วันก่อนผมได้ไปดูหนังมา เรื่อง อวตาร ใครไปดูมาแล้วบ้าง ผมไปดูมาแปลกนะมนุษย์มีหางที่สามารถเอาหางของตัวเอง เชื่อมต่อกับธรรมชาติต้นไม้สิ่งต่างๆได้  และที่สำคัญนะในหนังต้นไม้มันเยอะไปหมดเลย"



อวตาร....หนังเล่าว่า

     อวตาร” (AVATAR) ภาพยนตร์สุดอลังการเรื่องผลงานของ ผู้กำกับเจมส์ คาเมรอน ได้ถูกถ่ายทอดไว้ให้ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ซึ่งเป็นที่โด่งดังและถูกกล่าวขวัญถึงทั่วโลกมากที่สุดเรื่องหนึ่ง อวตารเป็นภาพยนตร์ที่ให้ทั้งความสนุก สีสันของภาพที่งดงาม น่าตื่นตา และการติดตามเรื่องราวอันเรียบง่าย แต่เร้าให้ผู้ชมตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ด้วยความยาว 3 ชั่วโมงเต็ม ด้านเทคนิคคงไม่ต้องเอ่ยถึงกันมาก ซึ่งทราบกันดีอยู่ว่า เจมส์ คาเมรอน ได้สรรค์สร้างฉากที่สวยงามบรรเจิด และสร้างตัวละครแอนิเมชันที่ดูเหมือนจริงด้วยการผสมผสานเทคนิคพิเศษกับการ เคลื่อนไหวจริงของเหล่านักแสดง อย่างทุ่มเทและลงตัว

        

          อวตาร คือร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่ลอกเลียนแบบให้เหมือนชาวนาวี บน “ดาวแพนโดรา” มีลักษณะคล้ายมนุษย์ รูปร่างสูงใหญ่มีหาง ผิวหนังมีลายสีน้ำเงินเต็มตัว เรืองแสงได้ยามค่ำคืน เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนดวงดาวแพนโดรา ดวงตาเปล่งประกายสุกใสสีเหลืองโทนน้ำตาล มีดั้งจมูกใหญ่เหมือนสิงโต มีฟันเขี้ยวที่ยาวแหลม



                    ทีมนักวิทยาศาสตร์ นำทีมโดย “เกรส” หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ออกแบบวิจัยและสร้างร่างเสมือนของชาวนาวี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พาหนะ” นี้ขึ้นมา ด้วยวิทยาการชั้นสูง (ซึ่งบอกว่าเป็นยุคอนาคตที่ชาวโลกไฮเทคมากๆ) โดยการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อให้ออกมามีรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวนาวีอย่างกับแกะ โดยร่างจะหายใจหรือเคลื่อนไหวได้ด้วยจิตของมนุษย์เจ้าของร่างอวตาร ผ่านเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เสมอ

      


          “เจค ซัลลี่” พระเอกของเรื่องผู้มีขาพิการทั้งสองข้าง เป็นตัวแทนของกองทัพทหารฝ่ายมนุษย์โลก ที่ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่โดยการใช้ร่างอวตารเป็นสื่อในการติดต่อกับชาวนาวี ที่แท้จริง บนดาวแพนโดราของพวกเขา เจคต้องเข้าไปใช้ชีวิตและคลุกคลีกับชาวนาวี ระหว่างนั้นเขาได้เรียนรู้และฝึกฝนตนเองให้อยู่และเป็นอย่างชาวนาวี การทำงานของเจคถูกใช้เพื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญเพื่อแผนในการโน้มน้าวให้ชาวนาวียอมโยกย้ายถิ่นฐานและออกไปจาก ดินแดนที่พวกเขาเคยอยู่ อันจะเป็นการเปิดทางสะดวกในการขุดเจาะแร่พิเศษ “อันออบเทเนียม” ที่มนุษย์โลกตีราคาไว้ด้วยมูลค่าสูงลิบลิ่ว และจะนำเอากลับไปยังโลกของตน ซึ่งในที่สุด ผู้นำแห่งกองทัพได้ชักจูงให้ผู้นำแห่งการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ ใช้การบุกโจมตีด้วยอาวุธอย่างรุนแรงเพื่อขับไล่ชาวนาวีออกไปให้พ้นทาง



โทรุมัคโต .....วีรบุรุษเผ่านาวี


          เมื่อหนังหักมุม มนุษย์จากฟ้ากลับปราชัยธรรมชาติ  ท้ายสุดเหตุการณ์ทุกอย่างกลับมา.....เมื่อธรรมชาตินั้นสามารถชนะได้อีก ครั้ง  นี่กระมังที่เขาเรียกว่าธรรมชาติลงโทษ ผูงมังกรบินและสัตว์อื่นๆ รวมถึงธรรมชาติ รวมพลังกันโจมตีกองทัพมนุษย์ผู้รุกรานทั้งหลายที่เรียกว่าอนารยชน ในตอนหนึ่งบอกว่า "“มนุษย์ ทำร้ายแม่ตนเอง” แม่ที่นี้ชาวนาวีหมายถึงธรรมชาติขุมพลังที่เกาะเกี่ยวกันไว้ ต้นไม้แห่งชีวิตที่ทุกสรรพสิ่งประสานกันอยู่ ทั้งชาวนาวี  มังกรบิน หรือแม้กระทั่งการประสานสู่การเป็น โทรุมัคโต สัญลักษณ์แห่งการกลับใจและการพลิกฟื้นของเจค ที่กลับมาดูแลธรรมชาติ เผยในท่าทางชายผู้ขี่มงกรบินยักษ์ ที่นานกว่าหลายชั่วคนนักที่จะเป็นผู้กำชัยได้ในฐานะ โทรุมัคโต เพื่อประกาศพื้นที่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หนังเรื่องนี้ สะท้อนและกำลังบอกว่า คนจากฟ้า (หมายถึงพวกเรา) ที่กำลังทำร้ายแม่ตัวเอง ดังเจคที่ได้ประกาศตัวเอง ในฐานะโทรุมัคโตเพื่อเป็นผู้รวมพลังชาวนาวีและกอบกู้ว่า ว่า :                

 

               "มาช่วยกัน บอกพวกเขาว่า โทรุคมัคโต เรียกพวกเขา"

              "บัดนี้ท่านจะได้ สู้ศึกร่วมกับข้า พี่น้องข้า ทั้งชายหญิง "

"เราจะแสดงให้คนจากฟ้ารู้ว่า พวกเขาไม่สามารถได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ."



ความนัย.....จากอวตาร 



           จากความน่าสนใจของหนัง นี่แหละครับคงเป็นจุดเล็กที่ผมเขียนบทความเรื่องนี้ ในเรื่องอวตาร ที่ท่านเล่าให้เราฟังในวันนั้น จากประโยคของอาจารย์เรื่องหนังอวตารนี่เอง "ผมก็มานึกเอาเองว่าหากเรามีหางที่สามารถเชื่อมต่อสื่อสารกันได้รับรู้ความ รู้สึกระหว่างกันบ้างก็น่าจะดีแน่ เพราะบางครั้งการที่เราไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกคนอื่นได้ สิ่งนั้นเองก็ทำให้คนอื่นก็ไม่เข้าใจเราเองเช่นกัน"  เพราะคิดว่าหนังเรื่องนี้แม้แต่อาจารย์เองก็สนใจต้องมีอะไรดีแน่

            "ผมตัวเองว่า บนความรู้สึกว่าคนเราไม่เคยพอจริงๆนะครับว่าไหม ที่เราดั้นด้นเข้ามาในที่นี่ก็เพื่อ แร่อะไรสักอย่างนี่แหละ ที่เป็นที่อยู่ของมนุษย์มีหาง แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ก็พยายามเพื่อเข้าใจพวกมนุษย์เหล่านี้ ผมกำลังนึกถึงอะไรรู้ไหม ก็จะไปไล่ที่เขายอมทำทุกวิถีทางเลย ท้ายสุดไม่ได้เป็นอย่างนั้น อำนาจยิ่งใหญ่ที่แท้จริงไม่ได้เป็นของมนุษย์กลับแปลกที่ยิ่งใหญ่นั้นคือ ธรรมชาติ ในเรื่องที่สื่อสารสายใยชีวิตของคนและธรรมชาติโดยการใช้หางของตัวเองประสาน กับทุกสิ่ง  ที่มีช่องทางเพื่อการเชื่อมต่อกัน

          ท้ายสุดมนุษย์ก็คือตัวเล็กๆคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้ธรรมชาติและเราเองก็ใช้มัน อย่างบ้าคลั่ง ขณะที่ผมบ่นนี่ผมก็ยังคิดว่าผมเองก็ใช้พลังงานพอสมควรเลยครับทั้งแอร์ ไฟฟ้า สารพัดที่ผมจะใช้มันลงไปได้  และที่กระตุกแนวคิดผมที่อาจารย์พูดคือ ต้นไม้มันเยอะไปหมด แต่เดี๋ยวนี้หละบ้านเรายังเยอะแบบนั้นหรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าหาคำตอบพอสมควร" และเราเองก็คงต้องหาคำตอบต่อไป...


     เรารู้จักธรรมชาติดีแค่ไหน ?
 รู้เท่ากับชาวดาวแพนเดอร่าไหม ?
 แล้วเราเลือกที่จะทำลาย หรือเลือกที่จะรักษาธรรมชาติไว้ ?

ในหนังเขาอาจจะสร้างจินตนาการไปถึงดาวดวงอื่นแต่เรื่องจริงมันก็เกิดขึ้นบนดาวโลกของเรานี้แหละประเทศที่เจริญทางวัตถุมากๆ รุกรานเข้าไปในพื้นที่เพื่อเข้าไปแก่งแย่งกอบโกยทรัพยากร และ

มองว่าชาวป่า ชาวบ้านว่า "โง่" ไม่รู้อะไรทั้งๆที่ชาวป่าเขารู้จักโลกในธรรมชาติของเขาเป็นอย่างดี(ก็คงเหมือนกับว่ามนุษย์มีหางสื่อสารกับต้นไม้ได้กระมัง)คนในเมืองต่างหากที่ "ไม่รู้" และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับป่าและธรรมชาติ มีแต่การเสาะแสวงหาและใช้ทรัพยากรอย่างไม่รู้จักพอ



                                    "เมื่อธรรมชาติอยู่ไกลเรายิ่งขึ้น และขณะเดียวกันเรายิ่งหนีธรรมชาติไปอีก" ลองฟังเพลงประกอบดูนะครับเราจะได้รับรู้ธรรมชาตินั้นยังมีความลับอยู่ ผ่านเพลง The secret garden

    




บันทึกนี้ดัดแปลงจากงานเขียนเดิม : เมื่อ 3 ปี เมื่อครั้งเรายังเป็นเด็กและลองเอาเล่าอีกครั้ง  ผ่านอีกชุดประสบการณ์ ผ่านอีกเวลา และยังรำลึกถึงอาจารย์ไพบูลย์นักพัฒนาสังคมและนักการธนาคารที่ทำให้ผมได้ฟังและเรียนรู้ ขอบคุณครับทุกท่าน   บันทึก ณ ท่าน้ำนนท์ 17 เมษายน 2556


หมายเลขบันทึก: 533182เขียนเมื่อ 17 เมษายน 2013 21:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน 2013 22:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

เป็นบันทึกที่สะท้อนมุมมองได้น่าคิดมากค่ะ

 เรารู้จักธรรมชาติดีแค่ไหน ?
 รู้เท่ากับชาวดาวแพนเดอร่าไหม ?
 แล้วเราเลือกที่จะทำลาย หรือเลือกที่จะรักษาธรรมชาติไว้ ?

* ขอร่วมรำลึกถึงคุณไพบูลย์ คนดีของแผ่นดิน..

* ขอบคุณแง่คิดดีๆจากบันทึกนี้ที่สะท้อนความสมถะเรียบง่าย ในการดำเนินวิถีชีวิตแบบรักธรรมชาติ..ให้คุณค่าของเพื่อนมนุษย์ และการเผื่อแผ่ต่อสังคมอย่างจริงใจค่ะ

   อิงจันทร์    ขอบคุณมากนะครับครูที่เข้ามาเยี่ยมชม พอมามองย้อนไปตอนเขียนอายุน้อยกว่านี้จะเป็นอีก 1 อารมณ์ ส่วนเขียนปัจจุบันก็เป็นอีก 1 อารมณ์ครับ 

  นาง นงนาท สนธิสุวรรณ 

                  พี่นงนาทครับอาจารย์ไพบูลย์เล่าให้ฟังเรื่องนี้ผมเองก็ถามเรื่องนี้มันดีอย่างไรจึงไปดูครับ พบ่วามันดีจริงการเล่าเรื่องที่ง่ายๆของหนังและเทคโนโลยีนั้นยิ่งทำให้หนังน่าสนใจและน่าดูครับ   ขอบคุณพี่นงนาทที่มาเยี่ยมนะครับ

มีท่านใครคิดเหมือนผมบ้างครับ

ว่าบันทึกทุกบันทึกของ "คุณลูกหมูเต้นระบำ" ทำให้หัวใจได้เต้นอย่างมีความสุข

เป็นสีสันหนึ่งที่งดงามของโกทูโนว์

รบกวนว่าเขียนเรื่อยๆ นะครับ...อยู่ให้นานๆ ที่สุด

หลงรักเข้าเสียแล้วครับ

(คิดถึงอาจารย์ไพบูลย์ด้วยนะครับ)


ขอคารวะความคิดเห็นของท่านไพบูลย์ด้วยครับ

ผมพลาดที่จะได้ทำงานกับท่านตอนท่านมาทำงาน สัจจะออมทรัพย์ที่หนองสาหร่าย กาญจนบุรีครับ

    ทิมดาบ    ขอบคุณพี่มากครับถ้ามีเวลาจะเขียนปกติครับ ยอมรับว่าหลงรักในมิตรภาพและหลงในบรรยากาศพี่น้องของบอร์ดนี้ไปแล้วครับ เพราะการแลกเปลี่ยนและความรักจากบอร์ดนี้มีพลังในการที่จะอยากเขียนในการที่จะอยากเล่าและในการที่จะแบ่งปันครับ ไม่มีอะไรผิดถูกแบ่งปันกันและเรียนรู้ร่วมกันครับ ขอบคุณพี่นะครับที่เข้ามาเยี่ยมชม

   ขจิต ฝอยทอง


อาจารย์ครับ ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชม อาจารย์ไพบูลย์แนวคิดท่านเป็นแนวคิดเศรษฐศาสตร์การพัฒนาที่ปรับประยุกต์ใช้ได้จริงๆครับ 


เขียนซะผมอยากดูและเสียดายที่ยังไม่ได้ดู

ขอบคุณครับ

   พ.แจ่มจำรัส    ขอบคุณนะครับพี่ที่มาเยี่ยมชมครับ เรื่องนี้น่าจะนานมากสัก 3 ปี แต่เนื้อหาและเทคนิคดีจริงๆ ครับ 

ชอบหนังเรื่องนี้มาก ชมสองครั้ง  ขอบคุณที่นำมาฟื้นความจำอีกครั้งค่ะ

ตันติราพันธ์    ขอบคุณมากครับที่เข้ามาเยี่ยมชม หนังเรื่องนี้กำลังบอกเราเรื่องธรรมชาติและคนครับ....

แวะมาร่วมรำลึกถึงอาจารย์ไพบูลย์ด้วยคนนะครับ คุณลูกหมู


ปล. ภาพประจำตัวดูแล้วอารมณ์ดีนะครับ เหมือนบินได้จริง

รออ่านบันทึกนะครับ

  ขอบคุณมากครับพี่แสงที่เข้ามาเยี่ยม...สบายดีนะครับพี่ช่วงนี้ครับ


  • เป็นหนังที่ชอบอีกเรื่องตรงภาพสวย idea ดี
  • มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เกะกะระรานได้น่าสะพรึงกลัวที่สุด  แต่สุดท้ายความดีย่อมชนะเสมอ
  • แต่ละคนดูหนัง จะรับสารได้ต่างกันค่ะ  พี่ชอบความคิดจากบันทึกนี้ และคิดต่อไปว่า  "ถ้าเราสามารถเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้ เราคงจะรับรู้ได้ว่าธรรมชาติเจ็บปวดกับการรุกรานของมนุษย์มากแค่ไหน"

ขอบคุณมากครับพี่ ที่มาเยี่ยมชม ผมเอาเพลงนี้มาฝากป่ากำลังบอกเรา..ผ่านเพลงป่าตะโกน 


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท