การสังเกตพฤติกรรมของคนในบุคลากร เราได้กระทำ 2 กรณีคือ ในเวลาที่ปฏิบัติงาน กับในเวลาที่สมาชิกเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ
สาเหตุของการสังเกตพฤติกรรมก็เพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ของงานนั้น หลายๆคนประสบความสำเร็จ เพราะได้มอบหมายงานให้กับคนนั้นอย่างถูกต้องและเหมาะสม
เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆคนพบว่า ไม่น่าจะมอบหมายงานนี้ให้กับคนนี้เลย แต่นั่นมันเป็นเรื่องของการปฏิบัติงานร่วมกัน ต้องรู้จักการเชื่อมั่นศรัทธาซึ่งกันและกัน ผลสัมฤทธิ์ของงานจะได้เกิด
ไม่ทราบว่า ที่อื่นๆจะเหมือนกันไหม งานที่ได้รับมอบหมายมีกรรมการร่วมทำงานหลายคน แต่มีคนทำงานเพียง 2 คนคือประธานกับเลขานุการ เมื่องานนั้นๆสำเร็จ ได้ให้ลงนามรับทราบ ก็ลงนามกันเฉย โดยไม่มีความรู้สึกใดใด โดยเฉพาะความละอาย งานแล้วงานเล่า บางทีแก้ตัวว่า ไม่รู้ ไม่้เห็นบอกให้ทำ
เหตการณ์ที่ครูอ้อยได้รับอุบัติเหตุ มีเพื่อนครูในกลุ่มได้ทำหน้าที่แทนหลายคน ครูอ้อยได้ขอบคุณพวกเขา และคิดเสมอว่า การที่ไม่เคยขาด ลา ป่วยเลยตลอดเวลา 33ปี หมายถึงไม่เคยรบกวนใครให้เข้ามาช่วยเหลือ แต่ระยะเวลานี้ มีเพื่อนครูลาคลอด หรือหยุดในระยะเวลายาวนานเช่น ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ครูอ้อยก็เข้าช่วยทุกครั้ง
จะถือว่าเป็นการกินแรงหรืออย่างไรก็สุดแล้วแต่ แต่นี่คืออุบัติเหตุ ซึ่งใครก็ตามไม่ปรารถนาที่จะให้เิกิดขึ้นกับตนเอง
ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว อะไรที่ดี จะจดจำและสัญญาว่าจะนำสิ่งที่ดีใ้ห้กับผู้ที่ได้ทำดีกับเราเสมอ ส่วนผู้ที่ไม่ประสงค์ดี เขาก็จะเดินอยู่ในหนทางที่เขาได้สร้างกรรมไว้เอง
บางคนเข้าใจเห็นใจเราที่เจ็บป่วย ช่วยเหลือ เกื้อกูล ซึ่งเป็นคนที่เราเคยช่วยเหลือมาแล้วทั้งนั้น ส่วนคนที่มองดูอยู่จะเข้าใจหรือไม่ ก็ไม่ปรารถนาล่ะ เพราะไม่นานเราก็จะหายดี แต่ในระยะนี้ที่เราขอร้องในความช่วยเหลือ ที่จะต้องไปกายภาพบำบัดเพื่อให้แขนนี้ปกติในเร็ววัน จัดตารางสอนอำนวยความสะดวกให้เราบ้างด้วยทางกายภาพพวกเขาก็เห็นว่าเราป่วย นอกจากจะไม่ช่วย ไม่ให้กำลังใจ ยังจะมีคำถามว่า จะสอนได้หรือ แขนเขียนหนังสือไม่ได้
บุคลากรในองค์กร มีคำนิยามแบบนี้ : ยามดี ผีผอมตอมกันแดก ยามถังแตก ผีอ้วนชวนกันหนี
ระยะนี้ครูอ้อยก็จะนั่งนิ่งๆ เฝ้าดูพฤติกรรมของคนในองค์กร ไม่รู้ความในของพวกเขา ไม่ได้คิดไปเอง แต่สัมผัสได้ ไม่ได้คิดแค้นอะไร เพียงแต่เรียกร้องสิทธิที่คนอื่นได้ แล้วทำไมมองข้ามเราไป การจัดตารางสอนให้เราสอนตอนเช้า ย่นเวลาภาคบ่ายให้ไปอยู่ตรงเช้า มันยากอะไร ถ้าเห็นใจกันย่อมทำได้ หากไม่เห็นใจกันก็สุดแล้วแต่ แต่เราก็ต้องรักษาตัวเอง ป่วยแบบนี้กานงานก็ลดหย่อนลงไปด้วยไม่มีขวัญและกำลังใจ ยามทำงานคิดถึงเราให้เราทำ แต่ยามเราป่วย จะช่วยก็ไม่ช่วย แถมยังขัดขวางเราอีก ไม่มีความพยายามจะช่วยเรา
การเรียนรู้พฤติกรรมของบุคลากรในองค์กร ยังไม่สิ้นสุด ตราบใดที่เรายังอยู่ ยังทำงานต่อไป
โดดเดี่ยวกับการทำหน้าที่สอนของเราไป เท่าที่เราจะทำได้
สส ไม่เข้าประชุมรัฐสภา เป็นตัวอย่าง ของความเลว คอร์รัปชั่น
ตรูไม่ทำงานตามหน้าที่ เป็นตัวอย่าง ของความเลว ปลูกผังให้เด็กเสีย
สวัสดีค่ะ
วัันนี้มาแปลก มาภาษาไทย
ต้องขออนุญาตนำข้อความนี้ไปให้ ท่าน ผอ.อ่าน
ด้วยเราอยากสอนร้อยละร้อย แต่เราเก่งเขาเลยให้ทำอย่างอื่นให้เขาด้วย
พฤติกรรมของคนในองค์กร เป็นสิ่งที่สำคัญมากค่ะ
องค์กรจะเดินหน้าหรือถอยหลัง ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมของผู้นำองค์กรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เพราะผู้นำองค์กร คือผู้เีดียวที่สามารถกำหนดทิศทางพฤติกรรมของคนในองค์กรได้
ทั้งทางตรงและทางอ้อม ขอบพระคุณบันทึกดี ๆ ที่น่าอ่านค่ะพี่อ้อย
บางครั้งเราก็ลืมไปว่าเรียนรู้เพื่ออะไร
สิ่งที่รู้น่าจะสามารถนำมาพัฒนาต่อยอดไ้ด้
ความรู้ถ้าเพียงรู้ก็ยังไม่เกิดประโยชน์มากนัก
เมื่อใดที่นำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเราต่อสังคมต่อส่วนรวมได้ จึงเป๊นความรู้ที่แท้จริง
ขอบคุณ อาจารย์ น้องชาย ดร.ชยพร แอคะรัจน์ มากๆค่ะ
สวัสดีคะพี่ครูอ้อย น้องไก่คะ คิดถึงนะคะ
ประสบการณ์ช่วยให้เราได้คิด ได้ข้อคิดหลายอย่างนะคะครูอ้อย เป้นกำลังใจให้นะคะ