เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 ผมได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องแนวคิด “การจัดกิจกรรมนิสิตกับการเรียนรู้กับชุมชน” ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มงานกิจกรรมนิสิต กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ภายใต้ชื่ออันเป็นทางการว่า “การจัดการความรู้สู่ผู้นำองค์กรนิสิต”
ปฐมนิเทศ : หนุนเสริมกำลังใจและติดอาวุธทางปัญญา
โครงการดังกล่าวนี้ ในอดีตผมเรียกเชิงวาทกรรมว่า “ค่ายภาคฤดูร้อน” เป็นกระบวนการเตรียมความพร้อม (ปฐมนิเทศ) ให้กับผู้นำค่าย ทั้งในมิติของขวัญกำลังใจและการติดอาวุธทางปัญญาให้กับนิสิต เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชุมชน ผ่านวิธีการถ่ายทอดและบอกเล่าหลากรูปแบบ ทั้งจากผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ หรือแม้แต่นิสิต เพื่อให้นิสิตได้มีโอกาสบอกเล่าประสบการณ์สู่กันฟัง และนั่นก็รวมถึงการเรียนรู้ผ่านสื่อหรือนวัตกรรมอื่นๆ
ปีนี้เท่าที่ได้รับรู้ข้อมูลมาดูเหมือนจะประสบปัญหาเรื่องงบประมาณอยู่ค่อนข้างมาก จึงไม่สามารถนำพานิสิตไปปฐมนิเทศและแลกเปลี่ยนเรียนรู้นอกสถานที่ได้ รูปแบบการของการฝึกปฏิบัติการทางภาคสนามจึงหดหายไปโดยปริยาย
ข้อจำกัดด้านงบประมาณไม่เพียงกระทบต่อการฝึกปฏิบัติการภาคสนามเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อการจัดแจงเรื่องเอกสารอ่านประกอบไปในตัว โดยส่วนตัวผมมองว่ากิจกรรมเช่นนี้คือ “ภารกิจ” อันสำคัญ เป็นกระบวนการ “ต้นน้ำ” ที่มหาวิทยาลัยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ เพราะการไปค่ายของนิสิต ไม่เพียงแค่ไปเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตัวเองเท่านั้น หากแต่แบกความเป็นมหาวิทยาลัยลงไปสู่ชุมชนอย่างเต็มบ่า
การจัดเวทีปฐมนิเทศที่เน้นการเรียนรู้ร่วมกันเช่นนี้ จึงนับเป็นกระบวนการแห่งการ “หนุนเสริม” อันยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการเสริมสร้างขวัญกำลังใจ ปลุกเร้าให้เห็นคุณค่าของการดำรงชีวิตผ่านการทำงานร่วมกันโดยมีชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ (สถานีชีวิต)
- ย้ำเน้นสถานะของการเป็นนิสิต สะกิดเตือนในอัตลักษณ์ของนิสิต (ผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน) รวมถึงการพยายามส่งมอบหลักคิดอันสำคัญๆ ในการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชน เพื่อให้นิสิตสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและสิทธิผลของการ “เรียนรู้คู่บริการ”
นอกจากนี้ ผมยังมองว่าเวทีดังกล่าว ยังเป็นโอกาสอันดีของการช่วยให้ผู้บริหารได้พบปะกับผู้นำค่าย ส่งมอบนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมอีกรอบ พร้อมๆ กับการช่วยให้บรรดาผู้นำค่ายได้โสเหล่ถึงการขับเคลื่อนค่ายของตัวเองให้เพื่อนต่างชมรมได้ฟังและรับรู้ไปในตัว --
เปิดเวที : ละลายพฤติกรรมและสะท้อนภาพรวมของค่ายแต่ละค่าย
ก่อนถึงห้วงเวลาที่ผมต้องทำหน้าที่วิทยากร
น้องๆ เจ้าหน้าที่ในกลุ่มงานได้รับบทบาทกิจกรรมละลายพฤติกรรมแบบง่ายๆ
เน้นการทักทาย ถามทักถึงสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบของแต่ละคน เรียกเสียงฮา เสียงหัวเราะได้ลงตัว ซึ่งดำเนินการโดยคุณณัฐภูมินทร์
ภูครองผาและคุณรุ่งโรจน์ แฉล้มไธสง ถัดจากนั้นก็ถึงคราวของการสะท้อนภาพรวมของแต่ละค่ายผ่านมุมมองของเจ้าหน้าที่ (สุริยะ สอนสุระ)
การสะท้อนข้อมูลแต่ละค่ายนั้น มีความน่าสนใจอยู่มาก เพราะช่วยให้แต่ละค่ายได้มองจุดเด่นจุดด้อยของกันและกันผ่านมุมมองของคนนอก (เจ้าหน้าที่) ยึดโยงถึงการให้คำแนะนำเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับหลักการเขียนโครงการในแต่ละโครงการไปในตัวแบบเนียนๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการตั้งชื่อโครงการ หลักการเหตุผล วัตถุประสงค์ หรือแม้แต่กระบวนการ หรือวิธีของการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย –
ผมว่าวิธีการเช่นนี้ จะช่วยให้นิสิตชาวค่ายได้มองเห็นภาพร่างทางความคิดของกันและกัน หรือเห็นภาพเชิงอัตลักษณ์ของค่ายแต่ละค่ายไปพร้อมๆ กับมองหยั่งลึกลงในค่ายของตัวเอง ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเขาแหละว่าจะนำข้อมูลที่เจ้าหน้าที่สะท้อนไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
ส่วนเจ้าหน้าที่นั้นถือว่าได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว ข้อมูลที่สังเคราะห์ออกมานั้น มีสถานะเป็นสารสนเทศและจดหมายเหตุชาวค่ายไปโดยปริยายแล้วก็ว่าได้ เพราะทำให้รู้เลยว่าปีนั้นๆ มีค่ายอะไรบ้าง ใครจัดค่ายบ้าง ค่ายและค่ายทำอะไรกันบ้าง ทำค่ายกันที่ไหน ฯลฯ
โสเหล่ : บอกเล่า ชวนถามทักตัวตนของแต่ละค่าย
ผมมีเวลาเพียง 1 ชั่วโมงในการพบปะพูดคุยกับผู้นำค่าย
กระบวนการบางอย่างที่ตระเตรียมมาถูกถอดทิ้งไป จึงเน้นการเล่าเรื่อง ชวนคิดตาม
หรือแม้แต่การถามทักให้แต่ละค่ายได้ตอบคำถาม
หรือแม้แต่บอกเล่าเรื่องราวตัวเองให้ค่ายอื่นๆ ได้รับรู้
ผมชวนคิดชวนคุยในหลายประเด็น อาทิ
· ถามทักถึงการได้มาซึ่งค่ายว่าก่อเกิดขึ้นอย่างไร มีกระบวนการสำรวจค่ายอย่างไร กิจกรรม/โจทย์ของค่าย เป็นความต้องการของนิสิตหรือชาวบ้าน หรือมีกระบวนการร่วมคิด ร่วมตัดสินใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (โดยเฉพาะชุมชน) มากน้อยแค่ไหน เสมือนการสอดแทรกหลักคิดของกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning Process) ไปแบบเนียนๆ
นอกจากนี้ผมยังไม่ละวางที่จะฝากแนวคิดแก่นิสิตชาวค่ายว่าการทำค่ายของคนหนุ่มสาวนั้น ต้องไม่ลืมที่จะหันกลับมาทบทวนตัวเองว่า เมื่อทำค่ายแล้ว เกิดการเติบโตใดๆ ในตัวตนของนิสิต
รวมถึงการหวนคิดถึงเรื่องราวหลากเรื่องในบ้านเกิดของตนเอง เพื่อทบทวนถึงประเด็นของจิตสำนึกรักษ์บ้านเกิด (เยาวชนจิตอาสา) หรือคุณค่าของตัวเอง (Self awareness) ไปพร้อมๆ กัน
· การปลุกเร้าให้นิสิตเห็นคุณค่าของงานค่ายที่เป็นเสมือนงานบริการวิชาการเหมือนที่อาจารย์ในแต่ละหลักสูตร
(1 หลักสูตร 1 ชุมชน) ได้จัดขึ้นตามนโยบายเชิงรุกของมหาวิทยาลัย
เพียงแต่เน้นย้ำแนวคิดว่างานค่ายนั้น
ต้องเป็นงานบูรณาการด้วยหลักคิด “เรียนรู้คู่บริการ” (Service
Learning) ไม่ใช่เน้นการ “ถ่ายทอด”
องค์ความรู้ โดยไม่สนใจทุนทางสังคม (Social
Capital) ของชุมชนนั้นๆ
· ปลุกเร้าให้นิสิตเชื่อมั่นว่างานค่ายเป็นกระบวนการเรียนรู้บนฐานคิดหลายอย่าง
เช่น การเรียนรู้ผ่านกลไกกิจกรรม/โครงการ (Project-based Learning) มุ่งการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (learning
by doing)
· ปลุกเร้าให้นิสิตเชื่อมั่นว่างานค่ายเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community
based) เสมือนห้องเรียนอีกห้องหนึ่งของนิสิต ซึ่งนิสิตจะต้องไม่แยกส่วนการเรียนรู้
อันหมายถึงคิดคำนึงถึงคลังปัญญาของชุมชน
(บวร : บ้าน วัด ส่วนราชการ)
· กระตุ้นให้นิสิตเห็นความสำคัญของการจัดค่ายด้วยแนวคิดของการจัดการความรู้อย่างเป็นระยะๆ
เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้(Knowledge sharing) ร่วมกันระหว่างนิสิตกับนิสิตและนิสิตกับชุมชน ทั้งในมิติของบริบทชุมชนและการงานหลักที่เกี่ยวโยงกับค่ายของแต่ละค่าย
รวมถึงการกระตุ้นให้นิสิตนำหลักของการบริหารจัดการในระบบ
PDCA ไปใช้ในค่ายให้เป็นรูปธรรม
สรุป : สำเร็จ หรือไม่สำเร็จ ที่สุดแล้วก็คือการเรียนรู้
ในท้ายที่สุด ผมฝากให้นิสิตได้เชื่อมั่นในวาทกรรมที่ผมพร่ำพูดมายาวนานว่า “ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้และการเรียนรู้...ไม่มีที่ใดปราศจากการเรียนรู้..เว้นแต่เราไม่เปิดใจที่จะเรียนรู้”
และขอให้เชื่อเสมอว่า เมื่อลงมือทำสิ่งใดอย่างเต็มกำลังแล้ว ความสำเร็จหรือความล้มเหลวไม่ใช่ปลายทางอันยิ่งใหญ่เสียทั้งหมด เพียงแต่อยากให้วิเคราะห์ว่าอะไรคือต้นสายปลายเหตุของความสำเร็จและความล้มเหลว เพราะนั่นคือ “ชุดความรู้” ของการทำค่าย และที่สุดของการทำค่ายก็คือ การได้ “เรียนรู้” ...
ซึ่งวันนี้ชาวค่ายก็กำลังเรียนรู้ถึงหลักคิดอันสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ---
ครับ,นี่คือเรื่องราวเล็กในเวทีดังกล่าว เป็นการปลุกเร้าหนุนเสริมก่อนการเดินทางไปออกค่าย และนี่คือกระบวนการหนึ่งของการพัฒนาผู้นำค่าย เพื่อให้ผู้นำค่ายเกิดแรงบันดาลใจและมีหลักคิดในการประยุกต์ใช้กับงานค่าย หรือแม้แต่การนำองค์ความรู้จากเวทีนี้ไปถ่ายทอดต่อมวลสมาชิกของตนเองตามหลักคิด "สอนงาน สร้างทีม" ที่ผมบุกเบิกและทิ้งเป็นวาทกรรมในสายธารการพัฒนานิสิตเมื่อหลายปีก่อน
หมายเหตุ
ค่ายในสังกัดองค์การนิสิต
· ค่ายเยาวชนรุ่นใหม่ หัวใจคุณธรรม รุ่นที่ 2 วันที 8-10 มีนาคม 2556 ณ โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย2 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น (ชมรมเทิดคุณธรรม)
· ค่ายอาสาสร้างสนามเด็กเล่น วันที่ 5-7 มีนาคม 2556 ณ โรงเรียนชุมชนกุดโดดวิทยาคม อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ค่ายนี้จะมีการสร้างสนามเด็กเล่น (สภานิสิต)
· ค่ายความรู้นี้พี่ให้น้อง ครั้งที่ 11 วันที่ 6-8 มีนาคม 2556 ณ โรงเรียนบ้านแสนสุข ตำบลนาสีนวล อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม (ชมรมรุ่นสัมพันธ์)
· ค่ายนอกหน้าต่างสานสายใยแห่งฝัน ปันสายใยแห่งรัก ถักทอแรงใจสร้างอาคารเรียนให้น้อง ครั้งที่ 10 วันที่ 6-16 มีนาคม 2556 ณ โรงเรียนบ้านโคก สหกรณ์เทพรักษา ตำบลหนองกุงธนสาร อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น (ชมรมนอกหน้าต่าง)
· ค่ายเฮ็ดไป่งตุ้มป่า ตอน คนสร้างป่าพาสร้างโป่ง วันที่ 6-10 มีนาคม 2556 ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย (ชมรมสานฝันคนสร้างป่า)
· พัฒนาจิต วันที่ 5-8 มีนาคม 2556 ณ วัดป่าโพธิญาณ ตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี (ชมรมพุทธศาสน์)
· ค่ายสานชุมชน คนรักสุขภาพ วันที่ 4-6 มีนาคม 2556 ณ บ้านหนองจิก ตำบลนาห่อม อำเภอทุ่งศรีอุดม จังหวัดอุบลราชธานี (ชมรมยุวทูตนมแม่)
· ค่ายทอฝันสานสัมพันธ์เพื่อน้อง ครั้งที่ 11 วันที่ 4-10 มีนาคม 2556 ณ โรงเรียนบ้านหนแงแฮหนองเหล็ก ตำบลหนองเหล็ก อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม (ชมรมทอฝัน)
· ค่าย 28 ปี อาสาพัฒนา ห้องน้ำเพื่อน้อง วันที่ 6-18 มีนาคม 2556 ณ โรงเรียนบ้านเหล่าหุ่ง ตำบลเหล่าไฮ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร (ชมรมอาสาพัฒนา)
· ค่ายศึกษาวิถีวัฒนธรรมพื้นบ้าน วันที่ 4-6 มีนาคม 2556 ณ บ้านหนอกจิก ตำบลห่อม อำเภอทุ่งศรีอุดม จังหวัดอุบลราชธานี (ชมรมมรดกอีสานใต้)
· ค่ายสานสัมพันธ์พี่น้องคาทอลิกกับชุมชน (ชมรมนิสิตคาทอลิก)
· ค่ายสร้างกุศล คนหอใน มมส วันที่ 5-6 มีนาคม 2556 ณ วัดป่าภูผาแดง ตำบลหนองอ้อ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี (ชมรมสานสายใยร่วมชายคา)
ค่ายในสังกัดสโมสรนิสิต
· ค่ายชมรมถนนผู้สร้าง สายที่ 9 วันที่ 6-15 มีนาคม 2556 ณ โรงเรียนบ้านหนองไผ่ ตำบลเสาเหล้า อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ (ชมรมถนนผู้สร้าง สังกัดสโมสรนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์)
· ค่ายครูอาสาสู่ชนบท ครั้งที่ 11 วันที่ 11-17 มีนาคม 2556 ณ โรงเรียนบ้านสังข์ ตำบลบึงนคร อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด (ชมรมครูอาสา สังกัดสโมสรนิสิตคณะศึกษาศาสตร์)
· ค่ายครูบ้านนอกอาสาพัฒนาโรงเรียน ครั้งที่ 11 วันที่ 9-13 มีนาคม 2556 ณ โรงเรียนบ้านท่าเยี่ยมโนนคอม ตำบลธาตุ อำเภอวานรนิวาศ จังหวัดสกลนคร (ชมรมครูบ้านนอก สังกัดสโมสรนิสิตคณะศึกษาศาสตร์)
ทำงานหนัก อย่าลืมพักบ้างเน้อ คุณแผ่นดิน ;)...
เป็นงานที่น่าปลื้มใจนะคะ
ทุกชอตคือนาทีที่ยิ่งใหญ่แห่งการเรียนรู้ค่ะ
คิดถึงตอนเป็นนิสิตค่ะ (มันนานมากกกก แล้ว) 555
มีความสุขกับวันหยุดสุดสัปดาห์นะคะ
ขอบคุณคะ ได้แนวคิดทั้งการพัฒนาตนเองและให้คำแนะนำนักศึกษาในการทำค่าย
เคยไปเข้าค่ายหมอชนบทครั้งหนึ่ง น่าเสียดายที่เมื่อกลับเข้ามาในสังคมเมืองโรงเรียนแพทย์
เราก็รีบตัดสินใจทั้งที่ยังมองภาพไม่ชัด..แต่ก็ไม่เป็นไรคะ
เพราะได้ 'ชุดความรู้' หนึ่ง ที่ช่วยให้เราทำอะไรเป็นประโยชน์มากขึ้นในอนาคต
"เมื่อลงมือทำสิ่งใดอย่างเต็มกำลังแล้ว ความสำเร็จหรือความล้มเหลวไม่ใช่ปลายทางอันยิ่งใหญ่เสียทั้งหมด เพียงแต่อยากให้วิเคราะห์ว่าอะไรคือต้นสายปลายเหตุของความสำเร็จและความล้มเหลว"
ขอเรียนรู้ด้วยคนค่ะ
ยังยอดเยี่ยม เปี่ยมคุณภาพเช่นเคยนะคะ
ผมได้อะไรดีๆ จากบันทึกนี้ครับ...ขอบคุณครับ
ทำงานมากจริงๆ
ชอบการถอดบทเรียนจากการทำกิจกรรมกับนิสิตครับ
ขอให้มีความสุขกับการทำงานครับ
เข้ม ครับท่าน
เข้ามาบ้านนี้แล้วมีเรื่องไปบอกต่อชุมชนเสมอ นำสิ่งดีดีสู่ชีวิต
เป็นมหาลัยที่เด่นทั้งเรื่อง เรียน และปฏิบัติจริง ๆ ครับ