เหตุผลที่ทำให้รัก


เมื่อผิดหวังในรักที่ต้องเลิกร้างห่างลา  การจะมีรักอีกครั้งจึงต้องใช้เวลานานพอสมควร  อาจจะพูดได้ว่า  เข็ดแล้ว  ไม่ต้องการมีความรักอีกแล้ว   เพราะอยู่คนเดียวมาเป็นเวลา 6 ปี  สบายดีแล้ว  กับการที่ต้องมีใครอีก  จะอึดอีดอีกหรือ


แต่ลองมาฟังเหตุผลที่ทำให้รักเขา  คนต่อไปที่มารักเราก่อน  ไปขอกับคุณพ่อด้วยตนเอง  ไม่ได้ปิดบังอะไรเลยด้วยการพาลูกสาวไปด้วย  และทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเราเองและพ่อแม่ญาติพี่น้องเกิดความพอใจ  


รวมทั้งตัวเองด้วยที่กำลังงงงวยกับคำพูดที่เขากล้าที่จะขอเรากับคุณพ่อ  และไม่ได้ปรึกษาเรามาก่อนเลย  เรายังตะลึงกับการกระทำของเขาพอสมควร  ตามระยะทางที่กลับมาทำงานก็ยังถามตัวเองเลยว่า  พร้อมแล้วหรือ  เริ่มรักเขาแล้วหรือยัง   


นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ  พ่อแม่พี่น้องของเราก็ไม่เห็นด้วย  เพื่อนๆก็ไม่เห็นด้วยสักคน  ที่จะแต่งงานใหม่ทั้งๆที่เราสบายดีแล้ว  ลูกก็โตหมดแล้ว  จะมารับภาระเลี้ยงดูลูกเขาอีกหรือ  แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นเจ้าชายที่จะเป็นฝ่ายดูแลเราให้มีความสุขมากกว่าเดิมได้  หลากหลายเหตุผล  แต่แล้วเราก็ต้องตกลงจดทะเบียนสมรสกับเขา  ด้วยเหตุผลธรรมดาคือ  เขาเป็นพ่อที่รักลูกมาก  มีความรับผิดชอบกับลูก  เท่านี้เองที่เราตัดสินใจ  เพราะเราไม่เคยเห็นผู้ชายที่รักลูกมากขนาดนี้


แต่แล้วถึงเวลาแล้วที่เราต้องตัดสินใจ  เมื่อจดทะเบียนสมรสกันในัวนที่ 28 กรกฎาคม  2536 เจ้าหน้าที่ได้มาบอกว่า  ให้ไปเข้าพิธีสมรสพระราชทานที่กรุงเทพฯ   เพราะเราเป็นสมาชิกคุรุสภา  เราทั้งสองคนได้เชิญญาติและเพื่อนมาเป็นสักขีพยานได้อีกด้วย  วันนี้เองลูกสาวคนเล็กของเราถามเราว่า  แม่จ๋า  ทำไมแม่ต้องแต่งงานใหม่  แม่จะทิ้งหนูไปหรือ  เป็นคำถามที่เราเจ็บปวดใจมาก  ไม่ใช่ไม่สามารถที่จะตอบลูกได้  แต่สักวันหนึ่งลูกคงเข้าใจ  ปัญหาเริ่มก่อหวอดขึ้นมาอีกแล้ว

  

แต่ความโชคดีและเป็นมงคลได้เข้ามาสู่ชีวิตคู่ของเรา  ได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่  และแต่งงานด้วยในวันเดียวกัน  ญาติของเราญาติของเขาเพื่อนฝูงมาร่วมอวยพรมากมาย  ยินดีที่มีบ้านใหม่และแต่งงานด้วย  เป็นงานที่แปลกกว่าคนอื่นเพราะมีลูกยืนอยู่ด้วย  ในวันที่ 2 ตุลาคม 2536  ปีเดียวกันคือวันขึ้นบ้านใหม่และแต่งงาน


สองเดือนต่อมา  คุณสมนึก  มาบอกเราว่า  ต้องย้ายไปทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะไม่มีตำแหน่งที่โคราช   เราเลยต้องใช้สิทธิย้ายตามสามีไปทำงานที่กรุงเทพฯ  เพื่อดูแลพ่อแม่ตามที่เราคิดเอาไว้ตั้งหลายปีแล้ว  โอกาสนี้เองที่ทำให้เราได้เปลี่ยนจากชีวิตครูบ้านนอก  มาช่วยราชการเป็นครูที่สอนในกรุงเทพฯ  เรื่องที่ดีเข้ามาในชีวิตเราอีกครั้ง  ดีใจมากที่ได้กลับมาหาพ่อแม่น้องๆอีก  


หอบลูกทั้งสองมาด้วย ลูกของตัวเองทั้งสองคนเรียนที่โคราช  ย้ายที่เรียนให้ลูกคงจะไม่ยาก ด้วยเหตุผลของความรักลูก  เขาไม่ได้รักแต่ลูกของเขา  แม้กระทั่งลูกของเรา  เขาก็ดูแลอุปการะช่วยเหลือเป็นอย่างดี  (จะเล่าในบันทึกต่อไป)  


แต่เรื่องของความไม่พอใจก็ยังครุกรุ่นอยู่  ด้วยคำว่าเสียเปรียบ  เขามาอยู่ในความคิดของญาติเรา  และคำว่า  แม่เลี้ยงใจร้ายเข้ามาอยู่ในความคิดของญาติเขาเรายังไม่หมดกรรม  ต้องใช้หนี้กรรมอีก

หมายเลขบันทึก: 519087เขียนเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2013 16:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2013 21:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

ชีวิตคือละคร เรื่องราวของชีวิตเป็นบทประพันธ์ตามธรรมชาติ

ตัวเอกในเรื่องคือตัวเราเองและหวังว่าตอนต่อไปขอให้มีแต่เรื่องแฮปปี้ๆนะครับ

มาลงชื่อว่าติดตามอ่านและให้กำลังใจ ชื่นชมในการต่อสู้ชีวิตของครูอ้อยค่ะ

พี่ครูอ้อยได้ขายลิขสิทธิ์ทำเป็นละครแน่เลยค่ะนี่ โอ๋เป็นนักอ่านนิยายตัวยงมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ยังไม่เคยอ่านเรื่องไหนที่พล็อตเรื่องสลับซับซ้อนเท่าเรื่องของพี่ครูอ้อยเลย นี่แหละหนาเขาถึงบอกว่าชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย...

ชีวิตเต็มไปด้วยสีสันนะคะ....จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ  ขอบคุณค่ะ

ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตเลยครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท