โอวาทธรรมในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่...


“คนเราสิ่งที่ปฏิบัติยากที่สุดก็คือการแก้ไขตัวเอง” ถ้าพูดเรื่องกฎหมายก็ขัดใจพวกคนพาล พวกโจร พวกอาชญากร อาชญากรรม ถ้าพูดเรื่องศีลอย่างนี้ก็ขัดใจพระขัดใจเณร ขัดใจญาติโยมประชาชน...


วันนี้เป็นวันสำคัญที่ญาติโยมได้พาลูกหลาน คุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่าตายาย และเพื่อน ๆ มาอยู่วัดมาถือศีลมาประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อส่งท้ายปีเก่า เพื่อมาทบทวนตัวเองในชีวิตที่ผ่านมา จะได้ปรับปรุงปฏิปทาใหม่ปรับปรุงชีวิตใหม่ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก 



“น้ำฝนมันตกจากฟ้าสู่ยอดเขาไหลลงสู่ที่ต่ำ” 

พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีความเห็นที่ดี ที่ถูกต้อง ทำฝายทำเขื่อนเก็บน้ำ เพื่อทำประโยชน์ จิตใจของคนเราก็เหมือนกัน มันก็ไหลไปตามกระแสของสิ่งแวดล้อมตามความอยากความต้องการ

พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติมีสมาธิมีปัญญา เหมือนบุคคลคนหนึ่งที่ขับรถยนต์ยี่ห้อดีๆ ต้องคุมพวงมาลัยไปถึงจุดหมายปลายทางตามที่เราต้องการ เราต้องใช้สติเยอะ ใช้สมาธิมาก ใช้ปัญญาแยกแยะเรื่องผิดเรื่องถูก เรื่องดีเรื่องชั่ว เพื่อประคับประคอง เพื่อคอนโทรลตัวเองให้ตลอดปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจรวมถึงทรัพย์สินต่าง ๆ 

ในชีวิตประจำวันเราก็อาศัยคุณพ่อคุณแม่ที่บอกที่สอนตั้งแต่เด็ก ๆ เติบโตหน่อยก็อาศัยคุณครู ตลอดจนอาศัยพระเจ้าพระสงฆ์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ 



ทุก ๆ คนเกิดมาต้องฉลาดต้องเรียนรู้...

พระพุทธเจ้าของเราให้เราสังเกต ให้เราฉลาด จับเอาเลือกเอาแต่ในสิ่งที่ดี ๆ เพราะในโลกนี้มันมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี สิ่งที่ดี ๆ มันก็มีน้อย มันมีอยู่ในตำรับตำรา ในการเรียนการสอน แต่ไม่ค่อยจะมีใครประพฤติปฏิบัติกัน 

การแสวงหาข้าวของเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ เราเห็นแล้วก็มีมาก แต่คนที่มีศีลมีธรรม มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่างเป็นเยี่ยงอย่างเป็นสิ่งที่หาได้ยาก

ผู้ที่เกิดมาในบ้านในสังคมที่กำลังเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ต้องอาศัยการพินิจพิจารณา พยายามเน้นมาหาตัวเองปรับปรุงตัวเองแก้ไขตัวเอง เพื่อให้มีศักยภาพทั้งการเรียนการศึกษาทั้งการประพฤติปฏิบัติ  

โลกเขาก้าวไปไกลในการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ เราจะไม่ให้มีไม่ให้เป็นนั้นคงเป็นไปไม่ได้...

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นมาแก้ไขที่ใจของเรา แก้ไขที่สติปัญญาของเรา ให้มันเก่งขึ้นฉลาดขึ้น แก้ไขสมาธิของเราด้วย เราจะได้หนักแน่น เราจะได้สงบเย็น สติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบูรณ์ จิตใจของเราจะได้ไม่เป๋ จะได้ไม่เสียศูนย์

“คนเราสิ่งที่ปฏิบัติยากที่สุดก็คือการแก้ไขตัวเอง” 

ถ้าพูดเรื่องกฎหมายก็ขัดใจพวกคนพาล พวกโจร พวกอาชญากร อาชญากรรม ถ้าพูดเรื่องศีลอย่างนี้ก็ขัดใจพระขัดใจเณร ขัดใจญาติโยมประชาชน...

คนเรามันต้องขัดใจตนเอง มันต้องฝืนต้องทน ถึงแม้มันจะเหนื่อย หรือมันจะแน่นหน้าอกก็ช่างหัวมัน เพราะกิเลสมันต้องขัดใจตัวเอง มันเครียด มันแน่นหน้าอก เราฝึกบ่อย ๆ ฝืนบ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเห็นประโยชน์ในการทวนกระแส...

พระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ ท่านบำเพ็ญทุกรกิริยาเน้นทางกาย ๖ ปี ที่นี้ท่านมาพิจารณาตัวเอง ตอนที่วัยเด็กในวันแรกนาขวัญท่านสามารถเข้าสมาธิได้เข้าสมาบัติได้

การจะแก้ไขตัวเองต้องแก้ไขที่จิตที่ใจ เพราะในใจของคนทุก ๆ คนมีพญามารเยอะ มีเสนามารมาก จิตใจของเราทุกคนยังไม่ค่อยได้เป็นมนุษย์ จะทำความดีอย่างนี้ไม่ค่อยได้ พญามารก็คอยมาเสี้ยมสอนเรา ทนความอยากทนกิเลสของตัวเองไม่ได้จนต้องทำบาปไป ใจมันก็ไม่อยากหรอกแต่มันทนความอยากไม่ไหว



เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าท่านรับข้าวมัทธุปายาสจากนางสุชาดา เมื่อพระองค์เสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว พระองค์ท่านเอาถาดทองคำมาอธิษฐานจิตว่า “ถ้าข้าพเจ้าจะได้บรรลุธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอให้ถาดทองคำไหลทวนน้ำ ทวนกระแส ถาดทองคำก็ไหลทวนน้ำ ทวนกระแสไป” 

จากนั้นท่านก็มานั่งสมาธิขัดบัลลังก์บนหญ้าคา ๘ กำที่นายโสตถิยะนำมาถวาย พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานว่า “แม้หนังเอ็นกระดูกเท่านั้นจักเหลืออยู่เนื้อและเลือดของข้าพเจ้าจะเหือดแห้งไปก็ตามที  ถ้าข้าพเจ้าไม่ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมลุกจากอาสนะที่นั่งนี้...”

พระพุทธเจ้าท่านผจญภัยในความรู้สึก ท่านระลึกชาติได้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารคือการที่เราทำตามใจตามอารมณ์ตามกิเลสของตัวเอง 

พระพุทธเจ้าท่านเข้าสมาธิ พญามาร เสนามารมากันเป็นกองทัพสนั่นหวั่นไหว พระพุทธองค์ก็ไม่ได้สะทกสะท้าน สุดท้ายพญามารต่าง ๆ ก็พ่ายแพ้ไป สุดท้ายก็ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นที่เคารพสักการะของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุด ท่านได้เสวยวิมุติสุขอยู่ ๔๙ วัน 

สัปดาห์แรกท่านทรงเข้าอนุบุพพวิหาร ๙ ตลอด ๗ วัน สัปดาห์ที่ ๒ ทรงประทับยืนเพ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ มีพระเนตรไม่กระพริบสิ้น ๗ วัน สัปดาห์ที่ ๓ ทรงเดินจงกรมตลอด ๗ วัน สัปดาห์ที่ ๔ เสด็จประทับนั่งในเรือนแก้ว(รัตนฆรเจดีย์) เพื่อพิจารณาธรรม ๗ วัน  สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จประทับนั่งที่โคนต้นอัชปาลนิโครธ ทรงขับไล่ธิดามารทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี สัปดาห์ที่ ๖ ประทับที่ต้นมุจลินทร์ ฝนติดต่อกัน ๗ วัน พระยานาค แผ่พังพานกั้นฝนถวาย และสัปดาห์ที่ ๗ ทรงนั่งสมาธิขัดบัลลังก์ที่ต้นราชายตนะ ท่านก็ทรงพิจารณาว่าการละตัวละตนมีความสุขมาก สลดสังเวชในการเกิดของตัวท่านเองและคนอื่น 

ที่เราทุกข์ยากลำบากเพราะว่าเราปล่อยให้ชีวิตของเราสบาย ๆ ที่ไม่ได้พัฒนาเอาสิ่งที่ดีและไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม

เราไม่ได้เอาสิ่งที่ดี ๆ มาประพฤติปฏิบัติคุณธรรมของเรามันจึงไม่เกิด...

พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกเราสอนเราไม่ให้เราแยกการประพฤติปฏิบัติธรรม ออกจากหน้าที่การงานในชีวิตประจำวันนะ 

ให้เราเป็นผู้ที่ทำการทำงานเพื่อเสียสละ เพื่อมีความสุข เพื่อมีฐานะอยู่ดีกินดี มีบ้านมีทรัพย์สินมั่นคง มียานพาหนะในการอำนวยความสะดวกสบาย แล้วก็มี “คุณธรรมประจำกายวาจาของเรา”

ถ้าเราทิ้งธรรมะชีวิตของเรามันก็มีปัญหาลุ่ม ๆ ดอน ๆ ติด ๆ ขัด ๆ เพราะศีลของเราไม่ดี คุณธรรมของเราไม่มี บาปกรรมของเรามันเยอะ

เราอย่าไปคิดว่าถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วจะไม่พออยู่พอกิน เพราะคนทางโลกเขามีความเห็นแก่ตัวไม่มีศีลไม่มีธรรม เราอย่าไปคิดอย่างนั้น 



เราจะควบคุมตัวเองได้ ตัวเองจะกราบไหว้ตัวเองได้ ตัวเองก็ต้องเป็นคนดี

เราจะควบคุมคนอื่นได้ก็เพราะเราเป็นคนดี เป็นคนมีศีลมีธรรม มีสัจจะ ซื่อตรง              เป็นที่ไว้ใจของทุก ๆ คน เขานับถือ เขาไว้ใจกัน...

คนเราทุกวันนี้อยู่ในครอบครัวอยู่ในสังคม อยู่ที่ไหนที่เราไม่ไว้ใจก็เพราะไม่มีศีลมีธรรม แม้แต่งเครื่องแบก็เป็นได้แต่เครื่องแบบแต่จิตใจไม่มีศีลมีธรรม

คนเรามันกิเลสมาก ปัญญามันน้อย มันไปกลัวความดี กลัวความถูกต้อง...

พระพุทธเจ้าท่านให้พระทุกรูป เณรทุกรูป ญาติโยมทุกคนพากันพิจารณาตัวเองจะได้ปรับปรุงแก้ไข เพราะว่ามันดี มันสมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข 

เราจะเป็นคนขี้เกียจเหมือนแต่ก่อนไม่ได้นะ...! ติดสุข ติดสบาย หลงในเรื่องอยู่เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องปากเรื่องท้องไม่ได้นะ เพราะชีวิตของเรามันแก่ไปทุกวัน เราปฏิบัติไปทำงานไป อยู่กินไปวัน ๆ รวยก็ไม่รวย เงินเก็บก็ไม่มี คุณธรรมก็ไม่มี 


คนเรามันแก่นะ... 

เมื่อเราเป็นเด็กอยู่ ถ้าเราไม่ตั้งใจเรียน ไม่อดทน ไม่เสียสละจริง ๆ อนาคตมันก็ต้องลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนกับที่เราไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเราเป็นหนุ่มเป็นสาว ทำงานไปไม่ได้เก็บเงินเก็บสตางค์มีแต่กินแต่เที่ยว บางทีติดลบ ต้นเดือนยังไม่พอใช้ 

ชีวิตของเรามันอันตรายนะ... กุลบุตรลูกหลานที่เกิดจากเรามันก็ต้องจนแน่นอน จนทั้งกายจนทั้งใจ

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเก็บเงินเก็บสตางค์เพื่อตั้งครอบครัวตั้งฐานะ เราจะไปดื่มเหล้า  ดื่มเบียร์ สรวลเสเฮฮา มันคงตั้งหลักตั้งฐานไม่ได้ 

ถ้าใครเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้ากล่าวต้องแก้ไขใหม่ เพราะเราจนก็ไม่มีใครจนกับเราเราทุกข์ก็ไม่มีใครทุกข์กับเรา เราจนเราทุกข์ลูกหลานเราก็จนลูกหลานมันก็ทุกข์ 


ทำวัตรสวดมนต์มันไม่อยากทำก็ต้องทำ นั่งสมาธิมันไม่อยากนั่งก็ต้องนั่ง ใจจะได้สงบ ใจจะได้มีคุณธรรม เพื่อละอบายมุขต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โทรศัพท์ โทรทัศน์และอินเตอร์เนท

บางคนก็สงสัยนะ ทำวัตรสวดมนต์มันจะได้อะไร...?

การทำวัตรนี้ประการแรกก็คือได้ทำวัตร ทำวัตรสวดมนต์ให้ใจอยู่กับบทสวด อย่าไปใจร้อน ให้ใจเย็น ๆ สวดให้ถูกอักขระ สวดให้ใจสงบ บางคนสวดก็ไม่อยากสวดจะเอาแต่นั่งสมาธิ อย่างนี้เรียกว่าคนขี้เกียจ 

ทำวัตรสวดมนต์ก็ดีได้คุณธรรมนะ...

เหมือนกับเราทานอาหารเราก็หายเหนื่อยหายหิวตั้งหลายชั่วโมง การทำวัตรสวดมนต์ก็เพื่อดึงจิตใจเข้าหาศีลหาธรรม 

การทำวัตรสวดมนต์ทำที่ไหน...?

อยู่ที่บ้านเราก็ทำที่ห้องนอนของเรานั่นแหละ พระพุทธรูปไม่มีก็ให้มีพระพุทธเจ้าที่จิตที่ใจ 

พระพุทธเจ้าที่แท้จริงคือพระบริสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ คือความประเสริฐบริสุทธิ์ผุดผ่อง เรากำลังประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ให้เน้นที่จิตที่ใจของเรา ไม่ต้องไปสวดที่ห้องพระก็ได้

คนที่เป็นพ่อแม่... ลูก ๔-๕ ขวบ ต้องหัดให้ลูกกราบพระไหว้พระให้เป็นลูกกราบพระไม่เป็นพ่อแม่ก็ไม่บอกไม่สอน อย่างนี้ไม่ถูกต้อง

เราเลี้ยงลูกต้องเลี้ยงทั้งกายทั้งใจ...

บางคนไม่เข้าใจเลี้ยงได้แต่กาย แต่เราไปยุ่งแต่งานยุ่งแต่ธุรกิจไม่ได้เลี้ยงใจ เด็กมันนอนหัวค่ำ เสียเวลาหน่อยก็ให้เสียสละ 


“จะฝึกลูกยากจนหรือมีคุณธรรมก็ขึ้นอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่...”

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเลี้ยงทั้งกายทั้งใจจึงจะสมควรเป็นตำแหน่งของพ่อของแม่ 

พวกสัตว์ทั้งหลายเขาเลี้ยงลูกทางกายไม่ได้เลี้ยงทางใจเหมือนมนุษย์ 

มนุษย์แปลว่าผู้มีใจสูง ทำแต่ความดี ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ถ้าเราเป็นคนก็ทำทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งบาปทั้งบุญ 

เลี้ยงลูกก็เลี้ยงเฉพาะกายไม่ได้เลี้ยงใจ เวลาลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วเราก็แก้ไขไม่ได้ เราก็ไปทุกข์กับเขา ทุกข์ตอนแก่เพราะเขามีปัญหา 

ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ต้องรู้จักกาลเวลาที่จำเป็นจะต้องสอนลูก...

เมื่อเด็กเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ รุกรี้รุกรนแล้วพูดสอนลูก ใช้สรรพนามไม่เรียบร้อยสอนลูก ครอบครัวเราเลยเร่าร้อน “พ่อก็เผาแม่ แม่ก็เผาลูก เป็นครอบครัวมหาภัย ครอบครัวตกนรก” เพราะเราไม่ได้สอนลูกให้ถูกวิธีตั้งแต่เด็ก ๆ 

เมื่อเป็นอย่างนี้ เราต้องฝึกพูดดี ๆ พูดเพราะ ๆ ลูกเราจึงจะรักเรา ลูกเราจึงจะเกิดความอบอุ่น ถ้าไม่อย่างนั้นปัญหาต่าง ๆ มันก็เกิดขึ้นกับเราตามมา

ชีวิตประจำวันของเรามันก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มันไปรับเอาแต่สิ่งภายนอกมายึดมาถือ มันจึงเครียดเป็นโรคประสาท

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราปล่อยเราวางเราทิ้ง เพราะของพวกนี้มีอยู่ประจำโลกเราจะเกิดมาหรือไม่ก็ตามมันก็จะมีเกิดขึ้นอย่างนี้

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราอยู่กับตัวเอง อย่าไปแบกโลก ไม่ให้นินทาใคร หรือถ้าใครมาว่าเรา พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เราพูดต่อเรื่องต่อความ ท่านบอกให้เราขอบคุณเขานะ...

ดูตัวอย่างเมื่อครั้งพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าท่านส่งพระสาวกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านตรัสถามสาวกว่า 

เวลาไปเผยแผ่ธรรมะ เวลาเขาว่าให้ท่าน ท่านจะทำอย่างไร...? 

สาวกตอบว่า  ถ้าเขาว่าให้ก็ดีกว่าเขาตีพระเจ้าค่ะ 

เมื่อเขาตีเธอเธอจะทำอย่างไร…? 

สาวกตอบว่า  เมื่อเขาตีก็ยังดีกว่าเขาฆ่าพระเจ้าค่ะ 

เมื่อเขาฆ่าเธอเธอจะทำอย่างไร...? 

สาวกตอบว่า  เมื่อเขาฆ่าก็ยังดีกว่าเราฆ่าเขาพระเจ้าค่ะ

ศาสนาอื่นลัทธิอื่นเขาอิจฉา ใครก็เคารพนับถือแต่พระพุทธเจ้า เขาจ้างคนมาด่า พระอานนท์ทนไม่ไหวจึงขอให้พระพุทธเจ้าหนีไปอยู่ที่อื่น แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่า 

“ปัญหาต่าง ๆ มันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจของเราไม่มีปัญหาทุกอย่างมันก็ไม่มีปัญหา...” 

เพราะใจเรามีตัวตนเราจึงไปต่อล้อเถียงเขา อย่าไปนินทาคนอื่น พูดเรื่องคนอื่น ไปว่าคนอื่นไม่ดี มันจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่...

ขออนุโมทนากับญาติโยมทุกคนที่มานอนวัดมาประพฤติปฏิบัติธรรม 

ขอความดี ขอบุญกุศลที่ได้กระทำแล้วนั้น ได้หนุนส่งให้ชีวิตให้จิตให้ใจ ให้การดำเนินชีวิตเจริญงอกงาม รุ่งเรืองทั้งครอบครัวและอาชีพการงาน พบความสุขความสงบร่มเย็น มีสวรรค์ มีมรรคผลพระนิพพานจนถึงที่สุดในชีวิต


พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย

เช้าวันจันทร์ที่ ๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

หมายเลขบันทึก: 515184เขียนเมื่อ 5 มกราคม 2013 07:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มกราคม 2013 07:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

สาธุ...อ่านๆไป ได้สติ เพลินดีเหมือนกัน 

เป็นสัจธรรมแน่แท้ดีเสมอ

“คนเราสิ่งที่ปฏิบัติยากที่สุดก็คือการแก้ไขตัวเอง” 
...

  • อ่านแล้ว ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ -- กว่าจะมองเห็นสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง คือ "พร่องความรับผิดชอบ"
  • 30 กว่าปีในชีวิตผ่านไป กว่าจะเข้าใจเหตุที่กักขังตนเองไว้ ไม่ใช่ความผิดของใคร 
  • สิ่งนี้ใครบอกเราไม่ได้ เพราะจะโกรธ ขัดขืน  แต่ตัวเราพบเอง จำนนเอง และเริ่มปฎิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเอง
  • ขอบคุณมากคะ สำหรับของขวัญปีใหม่นี้

สาธุค่ะ

กับการเริ่มต้นที่ดี ในวันที่ดีนี้

ไม่ได้อ่านบันทึกของอาจารย์นานแล้ว...เป็นบุญที่ได้อ่านอีกครั้ง...

ฉะนั้น แก้ไขตัวเองเป็นเรื่องจำเป็นมาก ใช่เลยค่ะ

คิดถึงอาจารย์เสมอครับ...หายไปนานมากครับ...อาจารย์คงสบายดี...ผมสบายดีมากครับ

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท