ผมชอบการทำงาน "นอกกรอบ" ไปพร้อมๆ กับการ “อิงระบบ”
โครงการคลินิกกีฬาวอลเลย์บอล ของชมรมวอลเลย์บอล มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่จัดขึ้นภายใต้นโยบายเชิงรุก “1 ชมรม 1 ชุมชน” เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เข้าข่ายในสิ่งที่ผมกล่าวถึง
โดยปกติชมรมสังกัดด้านกีฬาของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มักไม่ค่อยได้จัดกิจกรรมในทำนองการบริการวิชาการแก่สังคม ( เรียนรู้คู่บริการ) เท่าใดนัก เนื่องเพราะส่วนใหญ่ ติดอยู่ในกรอบภาระหน้าที่ของการฝึกซ้อม เก็บตัว ประลองทีม เพื่อก้าวสู่การชิงชัยในสนามแข่งขันตามโปรแกรม หรือมหกรรมต่างๆ
ด้วยเหตุนี้งบประมาณจากเงินค่าบำรุงกิจกรรมนิสิตและกีฬาที่ถูกผ่องถ่ายไปยังชมรมด้านกีฬา จึงมักถูกนำไปใช้ในกระบวนการที่ผมกล่าวอ้างถึงข้างต้นแทบทั้งสิ้น
นอกจากนั้น นิสิตในชมรมวอลเลย์บอล ยังได้ขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมชุมชนไปในตัว ด้วยการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชุมชน ศึกษาข้อมูลทั่วไปของชุมชน ตลอดจนการช่วยกันเขียน “เรื่องเล่าเร้าพลัง” (Storytelling) เพื่อสะท้อนผลการเรียนรู้กลับสู่มหาวิทยาลัยทุกคนเลยก็ว่าได้
ครับ- ผมชื่นชมการทำงานในลักษณะเช่นนี้มาก แทนที่จะดุ่มเดินแบกเอา “ความรู้” ของความเป็น “นักกีฬา” ไปถ่ายทอดโดยตรง แต่กลับเสริมเติมแต่งกิจกรรมให้หลากหลายขึ้นกว่าเดิม เรียกว่าก่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างให้ได้มากที่สุดก็ว่าได้ ถึงแม้ความรู้ที่นำไปถ่ายทอด จะเป็นห้วงระยะสั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับ “นักเรียน” ได้อย่างมากโข ทั้งในเรื่องกีฬา การสร้างจิตสำนึกต่อโรงเรียน ชุมชน การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ หรือแม้แต่การถามทักถึง “อนาคต” ของนักเรียนเอง
กระบวนการเช่นนี้ ผมถือเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน หรือแม้แต่การแนะแนวการศึกษาในอีกรูปแบบหนึ่ง หากเอาจริงเอาจังก็สามารถนำไปพัฒนาเด็กๆ ในชุมชนได้อย่างไม่ต้องกังขา ขึ้นอยู่กับว่าโรงเรียน หมู่บ้าน อบต. จะเห็นความสำคัญ และลุกมาขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัย หรือภาคส่วนอื่นๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่องแค่ไหน เพราะบางเรื่อง . ก็ไม่จำเป็นต้องฝังตัวรอรับสถานเดียว –
เช่นเดียวกับกระบวนการเติมพลังทางปัญญาให้กับพวกเขา ด้วยการฝึกปรือให้นักกีฬาเรียนรู้ชุมชนร่วมกัน ฝึกประสานงานชุมชน ฝึกการออกแบบ วางแผนกิจกรรม ฝึกการแบ่งงาน มอบหมายงาน ฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฝึกการสื่อสาร (สอน) นักเรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับ “วอลเลย์บอล” เรียกได้ว่างัดเอาประสบการณ์ตรง (ปัญญาปฏิบัติ) ของแต่ละคนออกมาใช้ให้เป็นอาวุธก็ว่าได้
ครับ-กิจกรรมบูรณาการหลากหลายเช่นนี้ สะท้อนถึงแนวทางการพยายามสร้างทักษะชีวิต หรือกระบวนการเรียนรู้ (ทักษะการเรียนรู้) ให้แก่นิสิตที่น่าสนใจ เพราะนิสิตไม่เพียงได้เรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้เพื่อนและทีมเท่านั้น หากแต่ยังได้เรียนรู้ชุมชนไปพร้อมๆ กับการได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน ซึ่งเป็นการทำในสิ่งที่ตนเองถนัดอย่างไม่ขัดเขิน
ทั้งปวงนั้น ต้องปรบมือให้กับ โค้ช โดยเฉพาะเจ้านุ้ย (จันเพ็ญ ศรีดาว) ที่กล้าหาญพอที่จะพานิสิตฉีกกระบวนการ “สร้างทีม” ในสนามแข่งขันไปสู่การ “บริการสังคม” เสริมคุณค่าในตัวนิสิตผ่านการเรียนรู้ร่วมกันและแบ่งปันสู่สังคมร่วมกัน แถมยังปิดท้ายด้วยการกระตุ้นให้แต่ละคนถอดบทเรียนการเรียนรู้ออกมาเป็น “เรื่องเล่า” และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการตรวจทาน เพื่อพิมพ์เผยแพร่เป็นจดหมายเหตุชีวิตของนักกีฬาและมหาวิทยาลัยในวาระ การ “เป็นที่พึงของสังคมและชุมชน”
หมายเหตุ
1.ภาพโดย จันเพ็ญ ศรีดาว และทีมงาน
2.จัดขึ้นเมื่อวันที่ วันที่ 1 กันยายน 2555
เป็นรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจและเหมาะกับวัยและพลังมากครับอาจารย์
ขอบคุณพี่นัสมากค่ะ...นุ้ยเองก็ได้แบบอย่างมาจากไอดอลคือพี่นัสนั่นเอง.....ขอยืมกระบวนการมาใช้กับเด็กๆ...ได้ผลดีมากๆค่ะ หลังจากวันนั้น ความเป็นทีมของเราก็เหนียวแน่นมากยิ่งขึ้นค่ะ.
ขอบคุณมากค่ะ
มาให้กำลังใจค่ะ
งานนี้เด็กได้รับประสบการณ์จากการลงมือทำเองอย่างชัดแจ๋ว ปัญหาอุปสรรค การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อมาโดยไม่ได้รับเชิญ....แต่พวกเขาก็ดำเนินงานผ่านไปด้วยความเรียบร้อบ เห็นได้อย่างชัดเจนสิ่งหนึ่งก็คือ "ความอดทนอดกลั้นในการทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นในวันนั้น"
กรอบ.....บางครั้งคือสิ่งที่ใจเราสร้างขึ้นมาครอบตัวเราเอง
ขอบคุณมากค่ะ
สุดยอดมาก ทำงานอย่างต่อเนื่องเลยนะครับ
ยอดเยี่ยม ค่ะ อาจารย์ มอบดอกไม้ให้กำลังใค่ะ
สวัสดครับ คุณทิมดาบ
เห้นด้วยนะครับว่างานทำนองนี้เหมาะกับวัยของคนหนุ่มสาว ได้ใช้ทั้งกำลังกาย. กำลังใจ หรือแม็แต่กำลังสมอง
ผสมผสานกับความสรวลเสเฮฮา ก็พลอยให้การเรียนรู้สนุกไปด้วย
ขอบคุณครับนุ้ย.
อย่างน้อยเราทุกคนก็ล้วนบุกเบิกกระบวนการเรียนรู้แบบนี้มาพร้อมกัน. ถ้าไม่มีทีมงานที่เปิดใจ. ก็ยากยิ่งต่อการพิสูจน์ถึงกระบวนการที่สร้างม
ยิ่งวันนี้มีการนำไปใช้ต่อ. ยิ่งถือว่าสำเร็จ และมคุณค่า
สำหรับนุ้ย. ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของน้องๆ ในทีมเหมือนกัน...นั่งในใจพวกเขา. แล้วล่ะ
สวัสดีครับ คุณปุญญิศา แสนบุ่งค้อ
สวัสดีครับ คุณปริม pirimarj...
สวัสดีครับ อ.KRUDALA
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
...การหยุดนิ่งไม่ทำงาน มัเหมือนคนที่สมองเสื่อมแล้วครับ การงาน ทำไปบ่นไป ก็ดีกว่าไม่คิด ไม่ทำ หรือคิดแล้วไม่ทำ ครับ...55
ครับ ครูทิพย์
ยังไง ก็ขอให้กำลังใจกับครูทิพย์ด้วยเช่นกันนะครับ ขอให้เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์
ทั้งต่อตนเอง-สังคม นะครับ