สู่ความเป็นผู้นำ: ก้าวแรกด้วยการพัฒนาทักษะการพูด
เฉลิมลาภ ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อยุคแห่งการแข่งขันทั้งในด้านวัตถุและจิตวิญญาณมาบรรจบกัน เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
การศึกษาของเรามีเป้าหมายเพื่อสร้างคนที่มีความเป็นผู้นำสูง ที่สำคัญ คำว่าผู้นำในที่นี้ มิได้หมายถึงผู้นำที่ถือ “อำนาจ” ความรู้ ทรัพย์สิน สิ่งมีค่าหรือมีความน่ากลัวอื่นใด แต่ผู้นำที่ควรจะเกิดขึ้นสำหรับศตวรรษใหม่ คือ
ผู้นำความคิด หรือผู้นำด้านปัญญาให้แก่คนหมู่มาก
ซึ่งขณะนี้ได้สูญเสียความเป็นมนุษย์ของตนเองไปทีละน้อย
ผู้นำความคิดข้างต้น มิได้มีหน้าที่เพียงแต่คิดวิเคราะห์ปัญหาหรือสร้างสรรค์สิ่งที่อยู่ในจิตนาการของตนเองให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่จะต้องเป็นผู้ที่สามารถ “นำเสนอ”
ความคิดหรือประเด็นเหล่านั้นไปสู่สาธารณชนได้อีกด้วย ผู้นำจึงมิได้มีหน้าที่เพียงแต่คิด แต่จะต้องสื่อสารความคิดของตนด้วยการพูด ให้กระจ่างแจ้งและสร้างศรัทธาในหมู่ผู้ฟัง
จึงจะถือว่าได้แสดงบทบาทของความเป็นผู้นำได้อย่างภาคภูมิ
การเรียนการสอนภาษาไทยมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างผู้นำ
เพราะการฝึกหัดด้านการพูดเป็นมาตรฐานการเรียนรู้มาตรฐานหนึ่งของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย แต่จุดอ่อนอย่างหนึ่งที่พบในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขึ้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ ก็คือ การกำหนดไว้เพียงแต่เฉพาะสาระการเรียนรู้เกี่ยวกับการพูดสื่อสาร การพูดรายงาน การพูดในโอกาสต่างๆ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ
สาระการเรียนรู้เกี่ยวกับ “ชนิดและประเภทของการพูด” น่าสนใจว่า
หลักสูตรแกนกลางฯ กลับมิได้กล่าวถึงสาระการเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องจิตวิทยาของผู้ฟัง
(Psychology
of audiences)
ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากต่อนักเรียนที่จะต้องเป็นผู้ฝึกหัดปฏิบัติการพูด
เมื่อองค์ความรู้เกี่ยวกับผู้ฟังหายไปจากสาระการเรียนรู้ ครูภาษาไทยจึงทราบแต่เพียงว่า ในระดับชั้นต่างๆ ผู้เรียนจะต้องพูดประเภทใดหรือหัวข้อใด
แต่ครูจะยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่า
การพูดประเภทนั้นจะประสบผลสำเร็จต่อผู้ฟังกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่อย่างไร เพราะผู้เรียนตั้งต้นการฝึกพูดจากการพิจารณาแต่เฉพาะหัวข้อและเนื้อหาบทพูดเท่านั้น
โดยมิได้คำนึงว่า ผู้ฟังจะเป็นใครหรือมีความต้องการอย่างไรบ้าง ดังนั้น
การสร้างความเป็นผู้นำจากการพัฒนาทักษะการพูด
ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าเขาจะต้องนำใคร
และจะสร้างความศรัทธาจากผู้ที่ฟัง (หรืออาจไม่ฟัง) เหล่านั้นได้อย่างไร
ครูภาษาไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการแสดงบทบาทของผู้นำในด้านการพูดและการสื่อสาร ทำอย่างไรจึงจะให้ผู้เรียนที่กำลังพัฒนาทักษะการพูดเกิดความเข้าใจว่า
ที่จริงแล้ว ผู้ฟังแต่ละคนมีการตอบสนองหรือมีปฏิกิริยาต่อการฟังผู้อื่นพูดแตกต่างกัน บางคนอาจมาฟังเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาสนใจ/สงสัย หรือบางคนอาจถูกบังคับให้มาฟังโดยไม่เต็มใจ
ความจริงเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า
ผู้ฟังแต่ละคนย่อมสามารถแสดงออกเพื่อตอบสนองต่อการฟังได้แตกต่างกัน และผู้ฟังก็จะใช้การเลือกว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจฟังก็ได้ ด้วยเหตุนี้
ในการพูดต่อที่ประชุมชนหรือในที่สาธารณะ
ผู้พูดที่จะประสบความสำเร็จจึงต้องมีหน้าที่ที่จะทำให้ผู้ฟังเลือกที่จะตั้งใจฟังการพูดของตนเอง ซึ่งกลวิธีพื้นฐานที่จะทำให้ผู้ฟังเลือกที่จะตั้งใจฟังมากกว่าปฏิบัติสิ่งอื่นๆ
ก็คือ
ผู้พูดจะต้องนำเสนอสาระหรือเนื้อหาการพูดที่ตรงกับความต้องการและ ความสนใจของผู้ฟัง ณ ขณะนั้น เพราะในมิติของการสื่อสาร ผู้ฟังจะตอบสนองหรือมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่ฟัง
มิใช่เป็นเพราะสิ่งที่ฟังนั้นมีเนื้อหาสาระเป็นอย่างไร
แต่จะตอบสนองไปตามความคิดเห็นหรือความเป็นตนเองมากกว่า ผู้ฟังจึงอยากจะฟังในสิ่งที่ตนเองต้องการฟังและปฏิเสธหรือต่อต้านสิ่งที่ตนเองไม่พึงปรารถนา
ด้วยเหตุนี้ นักพูดที่ดีซึ่งจะเป็นผู้นำที่กุมใจคนหมู่มาก
จึงจะไม่ตั้งคำถามว่าเรื่องที่ “เรา”
จะพูดคืออะไร แต่จะตั้งคำถามใหม่ว่า ผู้ฟังหรือ “เขา” อยากจะฟังเรื่องอะไรมากกว่า
นี่นับว่าเป็นคำถามแรกของการเตรียมตัวพูดในชั้นเรียนภาษาไทยที่ครูภาษาไทยส่วนหนึ่งอาจจะมิได้คำนึงถึง
จิตวิทยาผู้ฟังให้ความรู้แก่ครูภาษาไทยเพิ่มเติมอีกว่า
ผู้เรียนในฐานะนักฝึกปฎิบัติการพูด จะต้องมีความเข้าใจด้วยว่า
ผู้ฟังโดยส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะอิงหรือยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (egocentric) กล่าวคือ ผู้ฟังจะเลือกสนใจและตั้งใจฟังแต่เฉพาะสาร (messages) ที่มีผลกระทบต่อค่านิยม
ความเชื่อหรือความเป็นอยู่ของตนเองเป็นหลัก คำถามที่สำคัญสำหรับนักเรียนในฐานะนักพูดฝึกหัดคือ
จะหยิบยกเรื่องการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของผู้ฟังดังกล่าวนี้มาใช้ในการฝึกปฏิบัติการพูดอย่างไร
คำว่าการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางย่อมแสดงให้เห็นว่า
ผู้ฟังแต่ละคนมีประสบการณ์เดิมหรือความรู้อะไรบางอย่างเป็น “ทุน”
สำหรับการฟังมาแต่เดิมอยู่แล้ว
ซึ่งอาจจะมากน้อยแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม
กุญแจสำคัญสำหรับผู้เรียนในฐานะผู้ฝึกพูดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการพูดประการแรก
คือ นักเรียนจะต้องศึกษาในเบื้องต้นว่า
ผู้ฟังหรือกลุ่มเป้าหมายโดยส่วนใหญ่ในการพูดครั้งนั้นมีความรู้ ค่านิยม ความเชื่อหรือประสบการณ์เดิมอย่างไรบ้าง เพราะในที่สุดแล้ว
สารหรือเนื้อหาการพูดที่นักเรียนส่งไปก็ย่อมจะถูกตัดสินหรือตีความไปตามพื้นฐานที่แตกต่างกันเหล่านั้น การศึกษาผู้ฟัง (audiences
research)
จึงจะเป็นสิ่งที่ขาดไปเสียไม่ได้ในชั้นเรียนปฏิบัติการพูดของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ครูภาษาไทยเองจึงมีหน้าที่สำคัญที่จะต้องขยายศาสตร์ของการศึกษาวิจัยผู้ฟังให้ลึกซึ้งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้พ้นไปจากการมุ่งเน้นแต่เฉพาะการวิจัย
“หัวข้อ” ที่จะพูดเท่านั้น
ประการต่อมา
นักเรียนควรมีโอกาสที่จะนำข้อมูลที่ศึกษามาได้มาปรับสาระหรือเนื้อหาที่จะพูด
เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับผู้ฟัง กล่าวคือ
จะจัดการเนื้อหาหรือสาระที่จะพูดอย่างไร เพื่อให้ผู้ฟังเห็นว่า
สิ่งที่พูดนั้นมีผลกระทบหรือมีความสำคัญต่อชีวิตของเขาโดยตรง
และหากไม่ปฏิบัติตามจะเกิดผลเสียอย่างไร กล่าวโดยสรุปคือ
นักเรียนในฐานะนักพูดฝึกหัดจะต้องเข้าใจว่า
ผู้ฟังจะเข้าใจสารที่ส่งมาตามประสบการณ์ของตนเอง กล่าวคือ ผู้พูดคนเดียวกัน ส่งสารเดียวกัน
แต่ผู้ฟังต่างกันก็ย่อมตีความสารนั้นได้ต่างกัน หน้าที่สำคัญของนักเรียนคือ จะต้องค้นหาให้ได้ว่าประสบการณ์ที่ผู้ฟังมีอยู่แล้วคืออะไร
ซึ่งเมื่อใดที่พิจารณาเรื่องประสบการณ์ดังที่ว่ามา ปัจจัยอื่นๆ
ก็จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มเติมในทันที ทั้งในเรื่องของเพศ อายุ
ระดับความรู้ ภูมิหลังด้านสังคมและวัฒนธรรม เป็นต้น ดังนั้นจำเป็นจะต้องย้ำอีกครั้งว่า
กิจกรรมการเรียนรู้อย่างแรกของชั้นเรียนการพูดในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
มิใช่การวิเคราะห์หรือกำหนดหัวข้อตามประเภทของการพูด
แต่จะต้องเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจผู้ฟังของตนเอง เช่น กิจกรรมการสนทนา การสอบถาม การสัมภาษณ์ เป็นต้น จากนั้นจึงจะให้ผู้เรียนนำข้อมูลที่ได้ไปเลือกหรือกำหนดเนื้อหาของการพูดเป็นลำดับต่อไป
ผู้ที่จะก้าวหน้าสู่ความเป็นผู้นำในศตวรรษใหม่
หรือเป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่ ควรที่จะได้รับการฝึกหัดการพูดในชั้นเรียนภาษาไทยด้วยการพูดในสิ่งที่ผู้ฟังต้องการจะฟัง
อย่างไรก็ตาม ครูภาษาไทยควรที่จะย้ำเตือนด้วยว่า
ผู้นำที่แท้จริงนั้น ย่อมพูดในสิ่งที่ผู้ฟังอาจจะไม่อยากฟังด้วย ทั้งนี้
หากเห็นว่าสิ่งที่พูดเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง และการไม่พูดเท่ากับเป็นการทำให้ผู้ฟังต้องรับผลร้ายหรือเกิดความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่ง ในท้ายที่สุดนี้ บทสรุปของการสอนพูดในชั้นเรียนภาษาไทยจึงย้อนกลับมาที่หลักการง่ายๆ
ว่า “จงพูดในสิ่งที่เขากำลังคิด มิใช่พูดแต่เฉพาะสิ่งที่เราคิดเท่านั้น”
_______________________________________