ปอยออกหว่า ณ เวียงหวาย
เกศินี จุฑาวิจิตร
“โรงเรียนบ้านเวียงหวาย” เป็นโรงเรียนเล็กๆ ตั้งอยู่ที่อำเภอฝาง ต้นทางของดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่
หลายคนที่เคยไปเที่ยวสวนส้มที่ฝางหรือไปดอยอ่างขางจะรู้สึกถึง “พิษสง” ของทุกโค้งที่นั่น ...คำแนะนำที่พอจะมีและบอกต่อกัน ก็คือ หากรู้สึกวิงเวียน ก็พักสายตาเสียเถิด และถ้ามีที่ว่างมากพอ ก็อย่ารีรอที่จะนอนเหยียดยาวไปบนเบาะรถ ... โชคดีที่ฉันไม่รู้สึกอะไรทำนองนี้ เวลาเกือบสามชั่วโมงจากเชียงใหม่ถึงฝาง จึงถูกปล่อยให้เพลิดเพลินอยู่กับความทึบทะมึนของภูผาใหญ่น้อยและความเขียวขจีของพรรณไม้ที่หลากหลาย
ณ มุมหนึ่งด้านติดรั้วโรงเรียน เพิงเล็กๆ 4-5 หลัง ที่เป็นเพียงแคร่ไม้ไผ่ มุงด้วยหลังคาจาก แค่พอกันแดดอ่อนๆ และฝนบางๆ นั้น ถูกจัดให้เป็นฐานการเรียนรู้ของเด็กๆ พวกหนึ่งกำลังซ้อมรำนกรำโต ประกอบจังหวะ ดนตรีที่เร้าใจ พวกที่เหลือนั่งกระจายกันเป็นกลุ่มๆ บนเพิงนั้น บ้างพี่ช่วยสอนน้อง และบ้างเพื่อนช่วยเพื่อน พวกเขากำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้แห่ไปงานทอดกฐินที่จะมีขึ้นในตอนบ่าย ทั้งยังเตรียมทำ ต้นเทียนหรือโคมประดับเทียนสำหรับแห่ไปวัดในคืน “ปอยออกหว่า” ประเพณีที่ยังสืบทอดกันมาอย่างเหนียวแน่นของชาวไต หรือไทใหญ่...
“ปอย” เป็นภาษาคำเมือง แปลว่า งานบุญ ส่วนคำว่า “ออกหว่า” เป็นภาษาไทใหญ่ หมายถึง ช่วงออกพรรษา ดังนั้น “ปอยออกหว่า” จึงหมายถึง งานบุญที่จัดขึ้นในช่วงออกพรรษา ด้วยชาวไทใหญ่เชื่อว่าในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาอยู่บนสรวงสวรรค์นั้น เมื่อถึงเวลาออกจากพรรษา พระองค์ก็เสด็จลงมาโปรดสรรพสัตว์ในโลกมนุษย์รวมไปถึงสัตว์ในวรรณคดีโบราณ เช่น นกและสิงโต ในคืนแรมหนึ่งค่ำ สัตว์เหล่านี้จึงออกมาฟ้อนรำ อันเปรียบได้กับการแสดงความคารวะและแสดงความเริงร่ายินดีที่พระพุทธองค์ได้ลงมาเทศนาโปรดสัตว์โลก
เด็กๆ โรงเรียนบ้านเวียงหวาย เก่งนักเรื่องการรำนกรำโต
เก่งอย่างเหลือเชื่อก็ตรงที่การฟ้อนของพวกเขาสามารถสร้างอาคารอเนกประสงค์ได้หนึ่งหลัง เวลาเพียงหนึ่งปีเศษๆ กับเงินประมาณหนึ่งล้านกว่าๆ ด้วยการเก็บหอมรอมริบเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับจากการแสดง ...เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของอัตลักษณ์นักเรียนที่นี่ และเป็นหลักฐานชี้ชัดการจัดการตนเอง
ครูแดง ที่มีชื่อเต็มๆ ว่า กรวรรณ พนาวงค์ แม้จะเป็นครูตัวเล็กๆ แห่งบ้านเวียงหวาย แต่ก็นับได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการผลักดันและขับเคลื่อนให้เด็กๆ และชุมชนได้เข้ามามีบทบาทในการสืบสานวัฒนธรรมของตนเอง อุดมการณ์ของครูคือพลังภายใน เธอคิดและลงมือทำมานานกว่ายี่สิบปี ศูนย์เรียนรู้ทางวัฒนธรรม ไทใหญ่ ไม่ได้มีไว้เพื่อการสืบสานและต่อยอดเท่านั้น แต่เพื่อเป็น “พื้นที่ทางเลือก” ให้กับเด็กนักเรียนและเยาวชนที่สนใจทั่วไปอีกด้วย การเรียนการสอนของที่นี่ เลือกที่จะใช้วิธีบูรณาการท้องถิ่นศึกษาเข้ากับทุกสาระการเรียนรู้ อาจจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ครูทุกคนก็พยายาม ภายใต้การสนับสนุนของผู้อำนวยการนิทัศน์ หิรัญสุข
วิชาท้องถิ่นศึกษาและโครงการของครูแดงที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพของ สสส. คือ วิชาทักษะชีวิตของเด็กนักเรียน
การรำ การฟ้อน การประดิษฐ์โคมประทีปและอื่นๆ โดยนัยหนึ่ง หมายถึงการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมแห่งชาติพันธุ์ หากอีกนัยหนึ่งนั้นคือ “สื่อ” ที่ชักนำให้พวกเขาได้มาทำงานร่วมกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ถ้อยทีถ้อยเรียนรู้ ถูกบ้าง ผิดบ้าง ต่างประดิดประดอยแก้ไข ไม่ใช้เวลาไปอย่างสิ้นเปลืองเหมือนกับเด็กในเมืองที่จมจ่อมอยู่แต่หน้าจอสี่เหลี่ยม ในยามที่มือจับกระดาษพับหรือจับมีดเหลาไม้ ใจก็จดจ่อ นิ่งนานในสมาธิ ความสุขสะสมอยู่ลึกๆ ความละเมียดละไมและอ่อนโยนผุดพรายออกมากับสีหน้าและแววตา การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ สามัคคีคือพลัง “... หาไม่แล้วความเป็นไทใหญ่จะมีความหมายอันใดเล่า” เด็กคนหนึ่งบอกเราอย่างนั้น
ในวันนั้นคณะของเราได้พบกับคุณจอห์นและคุณจอย สองสามีภรรยาชาวอังกฤษ ที่มาหลงเสน่ห์เมืองฝาง พวกเขาเคยมาสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กที่นี่เป็นเวลานับปี และได้กลับมาเยือนอีกครั้งด้วยความคิดถึงในความเรียบง่ายของวิถีชีวิตชาวไตและสีสันแห่งวัฒนธรรม ศิษย์เก่าคนหนึ่งที่เริ่มโตเป็นสาว วิ่งเข้ามาหาคนทั้งคู่ด้วยความสนิทสนม คุ้นเคย แม้จะเขินอายด้วยภาษาปากที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ภาษากายและแววตาของเธอบ่งบอกในความรัก ... ฉันเฝ้ามองและแอบยิ้ม
หากจะไม่มีหัวใจไว้เพื่อการแบ่งแยกและกีดกันแล้ว ก็จะเห็นได้โดยไม่ยากว่า รอยยิ้มและเสียงร้องไห้ของเด็กชาวไทใหญ่ ไม่ได้แตกต่างจากเด็กของเรา และยิ่งถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ ความเป็นมาในฐานะ “ผู้ถูกกระทำ” จากประเทศเพื่อนบ้านของเรา และในฐานะของการเป็น “เด็กไร้สัญชาติ” ในบ้านเรา ด้วยหัวใจที่ไม่หยาบกระด้างจนเกินไป น้ำตาก็อาจรื้นขึ้นโดยง่าย
หลายคนอาจมองว่า การที่เด็กไร้สัญชาติเหล่านี้ได้รับการศึกษาที่รัฐจัดให้โดยภาษีของคนไทย ก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว มุมมองนี้อาจแคบเกินไป เพราะการศึกษาในระบบไม่ใช่ “ความดี ความงาม ความสุข” เสมอไป
การสนับสนุนให้เด็กๆ ได้มีพื้นที่สร้างสรรค์ เป็นทางเลือกของความสุข จึงเป็นเรื่องของความดีและความงามที่ผู้ใหญ่ทุกคนพึงกระทำ
อนุโมทนา สาธุค่ะ
เขียนได้ดีมากๆค่ะ ซาบซึ้ง กินใจนัก
อ่านแล้วอยากไปเที่ยวด้วยจัง
เมื่อไหรจะรวมเล่มออกมาให้อ่านค่ะ